เย็นวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘ ได้นั่งคุยกับกับหลานสาว (ติ๊ก) และคุณตาอ้วน
ศรีวิรัตน์ “เกี่ยวกับชีวิตและการทำบุญ”
ซึ่งคุณตาอ้วนได้เล่าว่าดีใจที่ในชีวิตได้ถวายพระประธานแก่วัดต่างๆ
ในอำเภอสุวรรณภูมิไปแล้ว ๙ องค์ และได้เตรียมตัวเพื่อจะไปจากโลกนี้ไว้แล้วเช่นกัน
โดยคุณตาอ้วนบอกว่า “ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย จะเร็วหรือจะช้าก็แล้วแต่ละคน
หากไม่อยากตายก็ไม่ต้องเกิด”
ที่นี้ขอวกเข้าเรื่องเกี่ยวกับคุณตาอ้วนและการบวช ซึ่งท่านมีโอกาสเรียนไม่สูง
คือ เรียนถึง ป.๒ และมีโอกาสเรียน ป.๒ ได้เพียง ๕๐ วันเท่านั้น
ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อตามแม่ไปทำมาหากิน จนกระทั่งเมื่ออายุ ๒๒ ปี ได้มีโอกาสบวช
พรรษาแรก ณ วัดสว่างโพธิ์ทอง (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) พอพรรษาที่ ๒
ได้ย้ายไปจำพรรษา ณ วัดเหนือสุพรรณวราราม (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) ซึ่งพรรษานี้สามารถที่สอบผ่านนักธรรมตรี
และต่อมาพรรษาที่ ๓ ต้องกลับไปจำพรรษา ณ วัดสว่างโพธิ์ทอง อีกครั้งหนึ่ง
โดยครั้งนี้ ต้องมาทำหน้าที่ในตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดสว่างโพธิ์ทอง
(เนื่องจากท่านเจ้าอาวาสได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ตำบลหัวโทน ในฐานะเจ้าคณะตำบลหัวโทน) แต่เมื่อพ้นพรรษาที่
๓ แล้ว ปรากฏว่าได้ตัดสินใจลาสิกขา เนื่องจาก ด้วยเหตุผล คือ “ไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส
เพราะคิดว่ายังมีความรู้น้อย”
เมื่อลาสิขาแล้ว พ.ศ.๒๔๙๕ ได้ตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพ
พักกับญาติที่ท่าเรือคลองเตยโดยประกอบอาชีพที่ใช้กำลัง คือ “ถีบสามล้อ”
ทั้งนี้ ได้ทำมาหากินแถวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจอดสามล้อประจำที่ตลาดสามย่าน
และหาปั่นสามล้อหากินแถวหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (แสดงว่าครั้งหนึ่งพ่อเคยเป็นเด็ก
“สามย่าน”) สำหรับค่าเช่าสามล้อวันหนึ่ง
๑๐ บาท (สำหรับรถใหม่) และประมาณ ๗ บาท (สำหรับรถเก่า) วันหนึ่งๆ สามารถเหลือหักค่าเช่าแล้วประมาณวันละ
๒๐-๓๐ บาท โดยที่ค่ารถสามล้อเริ่มจากราคา ๑ บาท ถึงประมาณ
๑๐ บาท (ระยะทางจากท่าเรือคลองเตยมาถึงหัวลำโพง ๘ - ๑๐ บาท) อย่างไรก็ดี
มีครั้งหนึ่งเกือบตายที่จะต้องปั่นสามล้อพร้อมคนนั่งผ่านสะพานยศเส (สะพานยศเส คือ สะพานกษัตริย์ศึก ซึ่งเป็นสะพานที่ให้รถไฟผ่านซึ่งสูงชันมาก)
ด้วยค่าจ้างผ่าน ๕ บาท (ระยะทางจากเจริญผลไปโรงพยาบาลหัวเฉียว) และเมื่อครั้งหนึ่งจำได้ว่าในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม
พ.ศ.๒๔๙๕ เวลา ๒๐ น. จอดรถ (สามล้อ) เพื่อนั่งฟังข่าววิทยุ (เสียงตามสายเสาไฟฟ้า)
ดีใจอย่างอย่างยิ่งที่ได้ยินว่ามีพระประสูติกาลพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ต่อมา เพื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่งในวันเพ็ญเดือนหก
โดยได้จำพรรษา ณ วัดเหนือสุพรรณวราราม (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) โดยการบวชครั้งที่สองนี้ได้สอบผ่านนักธรรมโท
และ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗ เจ้าคณะอำเภอสุวรรณภูมิได้แต่งตั้งให้มีฐานานุกรม “พระสมุห์อ้วน
ปิยะธรรมโม” ได้รับมอบหมายเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอสุวรรณภูมิ
ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับพระวินัยของสงฆ์และเป็นคณะกรรมการด้านดังกล่าว อย่างไรก็ตาม
ก็พยามยามสอบนักธรรมเอกอยู่ ๓ ปี แต่ก็ไม่ผ่าน เนื่องจาก ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ
เพราะต้องทำหน้าที่ปฏิบัติวัด ดูแลพระ ดูแลเณร รวมทั้งเด็กวัดที่พ่อแม่นำมาฝากพักที่วัดเพื่อโรงเรียน
ช.วิทยา (ปัจจุบันยุบไปแล้ว)
โรงเรียนสามัญ (ปัจจุบันคือโรงเรียนสุวรรณภูมิวิทยาลัย) โดยมีเด็กวัดมีประมาณแต่ละปี
๒๐ คน การที่จะต้องปฏิบัติวัดเลยไม่ได้เรียนอ่านหนังสือเพื่อสอบนักธรรมเอกได้ไม่เต็มที่
และในที่สุดก็หมดความเพียรทางศาสนา จึงได้ลาสิกขา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อออกมาครองฆราวาสประกอบสัมมาชีพปกติ
นั่น เป็นบุญของคุณตาอ้วนที่ได้เข้าสู่ร่มกาสาพัสตร์ ๒ ช่วงของชีวิต
รวมเป็นจำนวน ๑๒ พรรษา ซึ่งท่านก็ได้ทำเต็มกำลังความสามารถของท่านแล้ว
และที่สำคัญคือ ผลบุญที่ท่านเคยบวชมาแล้ว ทำให้ท่านได้เข้าถึงธรรมะได้ไม่ยาก โดยผ่านการอ่านหนังสือธรรมะ
การได้ฟังธรรม (จาก mp3 หรือ ทางโทรทัศน์)
ทำให้ท่านได้ซาบซึ้งรสพระธรรมได้ง่าย
ไม่มีข้อสงสัยในพระรัตนตรัย รักษาศีล ๕ อย่างมั่นคง จิตใจระลึกถึงพระคุณพระศรีรัตนตรัย
(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) อยู่เป็นประจำ และที่สำคัญคือ คิดเสมอว่าตัวเองต้องตาย
และเตรียมตัวตายไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเช้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘
ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ณ วัดสว่างโพธิ์ทอง ท่านได้บอกลูกและหลานๆ
ไว้เมื่อตายแล้วให้เอากระดูกมาไว้กับองค์ธาตุของญาติๆ บริเวณแถวซุ้มประตูโขงของวัดฯ
ดังนั้น สรุปได้ว่า “เมื่อพ่อบวชเป็นพระ” ท่านได้พยายามเต็มที่ในหน้าที่ของตน
และเมื่อพิจารณาด้วยจิตของตนว่าไม่ไหวท่านก็หยุด
แต่ก็ไม่เคยหยุดในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
รวมถึงระลึกตนอยู่เสมอว่าเมื่อขณะที่มีชีวิตอยู่ให้หมั่นทำความดี ไม่ต้องกลัวตาย
ความตายจะมาถึงเมื่อไรไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือ เตรียมตัวตายไว้แล้ว ชีวิตคนเราก็มีเพียงแค่นี้แหละครับท่านทั้งหลาย
(อ่านเพิ่มเติมต่อ เรื่อง “บันทึกของพ่อ ... ลูกขอบันทึกต่อ” ได้ที่ http://msrivirat.blogspot.com/2014/06/blog-post.html)
ปภาวีร์
๔ มกราคม ๒๕๕๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น