Nuffnang Ads

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "อริยสัจ ๔"

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "อริยสัจ ๔" เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงมอบสั่งสอนไว้ให้พุทธศาสนิกชนน้อมนำจดทำนำไปปฏิบัติ 

อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ ๔ เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยบุคคล หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ 

ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง


มรรค คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ ๓. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ ๗. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ ๘. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง
(ที่มา https://goo.gl/Wifahi)





อริยสัจสี่
เป็นสิ่งดีมีทุกคน
ความทุกข์พาเวียนวน
ไม่หลุดพ้นวนต่อไป

สาเหตุที่เกิดทุกข์
ไม่มีสุขสมุทัย
โลภโกรธหลงเรื่อยไป
ย่อมทุกข์ใจในทุกตอน

ดับทุกข์คือเป้าหมาย
เกิดแล้วตายไม่กลับย้อน
นิโรธให้ถาวร
อำนวยพรตอนเป็นคน

มรรคแปดทางสายกลาง
ทุกก้าวย่างสั่งกมล
ธรรมมีดีเหลือล้น
ย่อมผ่านพ้นไม่วนมา

เข้าใจให้เข้าถึง
ธรรมที่พึ่งถึงทุกครา
มัชฌิมาปฏิปทา
นำชีวาพาสุขเอย

ปภาวีร์ 
๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑

ธรรมะเพื่อชีวิตตอน “ชีวิตมีเคล็ดลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ..กำจัดความกลัวให้ได้”

ธรรมะเพื่อชีวิตตอน “ชีวิตมีเคล็ดลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ..กำจัดความกลัวให้ได้”

ก่อนอื่น ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณเจ้าของคลิปมา ณ โอกาสนี้


“ชีวิตมีเคล็ดลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ..กำจัดความกลัวให้ได้”
พระธรรมคำสั่งสอนในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง ว่าการกำจัดความกลัวให้ได้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องฝึก จิตใจของตัวเองไม่ให้มีความกลัวหลงเหลืออยู่ ซึ่งแน่นอนว่าในชีวิตประจำวันนั้นเรามีความกลัวในเรื่องต่างๆ มากมาย เข้ามาในชีวิตในหลายๆ เหตุการณ์

   ดังนั้นจะทำอย่างไรให้จิตใจของเราไม่มีความกลัว ซึ่งก็จะเป็นสิ่งที่อาจจะเรียกว่าค่อนข้างจะยากอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากท่านใดได้ฝึกจิตของตนไม่ให้มีความกลัวเกิดขึ้นย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของผู้นั้น เพราะฉะนั้นชีวิตมีเคล็ดลับเพียงอย่างเดียว ดั่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้หรือว่ามอบคำสอนไว้ให้พวกเราพุทธศาสนิกชนได้น้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลต่อตนเอง
============
ความกลัวมีทุกคน
จิตหมองหม่นพ้นไม่ได้
ความกลัวเกิดอย่างไร
เกิดที่ใจให้รู้ตัว

เคล็ดลับของชีวิต
คือฝึกจิตคิดไม่กลัว

ทำดีอย่าทำชั่ว
ไม่เมามัวตัวของตน

อยู่กับปัจจุบัน
ทุกคืนวันหมั่นอดทน

ผ่านมาอย่าไปสน
เดี๋ยวผ่านพ้นตนได้ดี

ความกลัวเพราะนึกคิด
ธรรมใกล้ชิดในฤดี

กลัวสิ้นในทันที
คิดทำดีมีต่อไป

เคล็ดลับได้ทุกคน
แต่ต้องสนค้นเข้าใจ

กลัวสิ้นในทันใด
กล้าสุดใจในเรื่องธรรม

เคล็ดลับอยู่ที่ใจ
ต้องเข้าใจให้จดจำ

ความกล้าลงมือทำ
จิตตอกย้ำกลัวสิ้นเอย

ปภาวีร์ 
๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงพ่อจรัญ การสอนลูก"

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงพ่อจรัญ การสอนลูก" คติธรรมคำสอนของท่านหลวงพ่อจรัญสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่ "ลูก" ว่าจะสอนลูกอย่างไร ดังนั้น จึงขอเชิญชวนทุกท่านอ่านได้ตามรูปภาพต่อไปนี้ 


คติธรรมคำสอนของท่านหลวงพ่อจรัญข้างต้นทุกครอบครัวที่มีลูก คุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องใส่ใจในการสอนลูกให้ดีๆ เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราสอนลูกในช่วงเวลาที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด  คือ "หลังจากสวดมนต์ไหว้พระ"

และเป็นธรรมเนียมที่ผู้เขียนจะต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านทุกท่านได้โปรดพิจารณาชี้แนะแนะนำเพื่อการปรับปรุงพัฒนาแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ดังนี้

พ่อแม่ต้องสอนลูก  
สอนให้ถูกตามเวลา
สอนลูกต้องนำพา  
สิ่งมีค่าพาให้ดี

สอนตั้งแต่ในท้อง  
ธรรมหมั่นท่องถูกต้องดี
สอนธรรมให้ยิ่งดี  
ส่งผลดีมีแน่นอน

อย่าสอนตอนทานข้าว 
อาจจะเศร้าเราอย่าสอน
ทำการบ้านอย่าสอน   
ยิ่งจะนอนสอนไม่ดี

ต้องพาท่องสวดมนต์   
สู่กมลสนให้ดี
ไหว้พระเป็นสิ่งดี  
นำชีวีดีต่อไป

ต้องสอนหลังไหว้พระ   
มีมานะจะสุขใจ
สอนลูกให้เข้าใจ  
ว่าทำไมให้สวดมนต์

พ่อแม่เป็นตัวอย่าง  
เป็นก่อร่างทางหลุดพ้น
สอนลูกสุขทุกคน  
ไม่หมองหม่นพ้นทุกข์เอย


ปภาวีร์ 
๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วิธีการดับทุกข์"

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วิธีการดับทุกข์"   พุทธศาสนิกชนทุกท่านสามารถที่จะรับชมรับฟังเมตตาธรรมจากท่านหลวงปู่เปลี่ยน ได้จาก YouTube ต่อไปนี้ 
https://www.youtube.com/watch?edit=vd&v=gjUzq4O9W2M

คติธรรมคำสอนของท่านหลวงปู่เปลี่ยน ข้างต้น หลายๆ ท่านทราบดีอยู่แล้ว เรามนุษย์ทุกคนจะต้องหา "วิธีดับทุกข์" ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน ดังนั้น หากว่า สามารถดับทุกข์ได้ย่อมจะมีความสุขนิรันดร์กาล

และเป็นธรรมเนียมที่ผู้เขียนจะต้องขออนุญาตฝากกาพย์ยานี ๑๑ ไว้ให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้โปรดกรุณาพิจารณาชี้แนะแนะนำเพื่อการแก้ไขให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไป ดังนี้

อันวิธีดับทุกข์  
พบความสุขนิรันดร์กาล
ดับทุกข์ธรรมประสาน  
ให้เชี่ยวชาญงานยิ่งใหญ่

ดับทุกข์สุขอย่างยิ่ง  
ธรรมแท้จริงนิ่งที่ใจ
ดับทุกข์ให้เร็วไว  
ดับที่ใจให้มากมี

ดับทุกข์อาจจะยาก  
เพียรให้มากอยากทันที
ดับทุกข์ในชีวี  
เกิดผลดีมีที่ตน

ดับทุกข์ได้ที่ไหน  
ธรรมเข้าใจใส่กมล
ฝึกมั่นหมั่นอดทน  
เพื่อหลุดพ้นจนนิพพาน

ต้องทำในวันนี้  
เร็วยิ่งดีมีเบิกบาน
ดับทุกข์ให้เชี่ยวชาญ  
อีกไม่นานสำราญใจ

ตั้งใจให้ดีดี  
หาวิธีดับทุกข์ได้
นิพพานได้เร็วไว  
สุขยิ่งใหญ่ในใจเอย

ปภาวีร์ 
๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๑

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงพ่อจรัญ อย่าได้หลงลืมท่าน"

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงพ่อจรัญ อย่าได้หลงลืมท่าน" คติธรรมคำสอนของท่านหลวงพ่อจรัญเกี่ยวกับการอย่าหลงลืมท่าน "ท่าน" ในที่นี้ คือ "พ่อและแม่" ดังนั้น จึงขอเชิญชวนทุกท่านอ่านได้ตามรูปภาพต่อไปนี้ 


คติธรรมคำสอนของท่านหลวงพ่อจรัญเกี่ยวกับการไม่ลืมพ่อไม่ลืมแม่ เป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องให้ความสำคัญที่สุดในชีวิต  ดังนั้น เราทุกคนจะต้องสนองคุณของพ่อแม่ให้ดีที่สุด  

และเป็นธรรมเนียมที่ผู้เขียนจะต้องขออนุญาตท่านผู้อ่านทุกท่านได้โปรดพิจารณาชี้แนะแนะนำเพื่อการปรับปรุงพัฒนาแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ดังนี้

วันเกิดของทุกคน  
สุขกมลสนพ่อแม่
สนองคุณของแท้  
อย่าให้แย่แม่พ่อเรา

อย่าลืมในพระคุณ  
พ่อแม่หนุนคุณก่อนเก่า
เลี้ยงดูแต่วัยเยาว์  
เรื่องหนักเบาเรารู้ดี

อย่าให้ท่านอดอยาก  
พระคุณมากในชีวี
พ่อแม่บุพการี  
น้อมทำดีมีพระคุณ

บุญคุณอันยิ่งใหญ่  
อยู่ในใจไว้เป็นทุน
ต้องสนองพระคุณ  
น้อมเป็นบุญหนุนต่อไป

พ่อแม่ต้องนึกถึง  
เป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่
วันเกิดในคราวใด  
นึกถึงไว้ให้มากมี

พระคุณอันใหญ่หลวง  
พ่อแม่ห่วงลูกคนนี้
ทดแทนคุณทันที  
น้อมชีวีเพื่อท่านเอย

ปภาวีร์ 
๗ มกราคม ๒๕๖๑

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)


"นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก" เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เมื่อครั้งสมณศักดิ์ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ หนังสือดีๆ ที่ควรจะหาอ่าน



♡♡♡♡
นรกหรือสวรรค์
อย่างไรกันรู้ให้ดี
นรกย่อมไม่ดี
สวรรค์มีดีแน่นอน

นรกใจร้อนรุ่ม
มีหลายขุมใครไปก่อน
ตายไปได้ทุกตอน
ไม่กลับย้อนมาเป็นคน

ความตายชายหรือหญิง
เป็นความจริงหนีไม่พ้น
นรกทุกข์กมล
ต่างเวียนวนไม่พ้นกรรม

นรกเพราะทำชั่ว
จิตเมามัวเป็นประจำ
ไม่ใฝ่ในพระธรรม
ชั่วกระทำนำต่อไป

สวรรค์เพราะทำบุญ
ทานเกื้อกูลหนุนจิตใจ
สวรรค์อยู่ไม่ไกล
อยู่ในใจเมื่อทำดี

สวรรค์นรกต่างวนเวียน
หมุนปรับเปลี่ยนทุกชีวี
ตัดกรรมได้ยิ่งดี
เย็นฤดีมีนิพพาน

ปภาวีร์ 
๘ ธันวาคม ๒๕๖๐

### เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านไตร่ตรอง 
### 
ในส่วนของชีวิตหลังความตายทุกคนย่อมไม่ทราบว่าจะไปที่ใด

เรื่องของนรกและสวรรค์ต่างๆ นั้น เราอาจจะถูกสอนตั้งแต่ตอนเป็นเด็กๆ ย่อมจะเห็นภาพนรก ย่อมจะเห็นภาพสวรรค์ชั้นต่างๆ ในสถานที่ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามหรือสถานที่จัดแสดงที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องพุทธศาสนา

แน่นอนว่าเรื่องของสวรรค์นรกยังเป็นส่วนที่อยู่ในวัฏสงสาร นั่นคือ เวียนว่ายตายเกิด หากว่าจิตของเราเมื่อตายแล้วยังคิดในเรื่องของสิ่งที่ไม่ดี เรื่องของความชั่ว เรื่องของความทุกข์ร้อนในใจ ก็อาจจะมีผลจากกระทำกล่าวนำไปสู่นรกในภูมิต่างๆ เมื่อใช้กรรมหมดแล้วก็ยอมกลับไปเกิดในชั้นที่สูงกว่าหรือเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ได้มีโอกาสทำบุญก็อาจจะสามารถสู่ชั้นสวรรค์ชั้นฟ้า เมื่อหมดอายุขัยก็ใช้ชีวิตอยู่บนสวรรค์ตามผลบุญกุศลที่ได้กระทำกันมา หลังจากนั้นเมื่อหมดบุญกุศลในชั้นสวรรค์ดาวดึงส์หรือชั้นต่างๆ ก็ต้องกลับวนเวียน เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ที่กล่าวมานั้นก็เป็นส่วนที่ข้อมูลของในหนังสือตำราคำสอนต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้อ่านได้ฟังได้รู้ได้ค้นคว้ามาบ้างแล้ว

ดังนั้น จะเห็นว่าในเรื่องของนรกสวรรค์ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่หลุดพ้นเกิดการเวียนว่ายตายเกิด เกิดการดับเกิดการไปสู่ชั้นภูมิต่างๆ ตามผลการกระทำที่ฝังอยู่ในจิตใจของแต่ละคน ฝังในดวงจิตของแต่ละคน บางครั้งอาจจะบอกว่านรกเป็นภาพอย่างนี้ สวรรค์เป็นภาพอย่างนี้ อันนี้ก็อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของแต่ละคน อาจจะเคยเห็นภาพ อาจจะเคยไป อาจจะเคยสัมผัส อันนี้ก็ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวได้ จะต้องทดลองตายจริงๆ แล้วถึงจะสามารถรู้ด้วยตนเองว่านรกเป็นอย่างไรสวรรค์เป็นอย่างไร

แน่นอนว่าในเรื่องการตายก็คงไม่มีความอยากตาย สำหรับทุกคน ทุกท่านล้วนแต่ไม่อยากตาย ทุกคนล้วนแต่ยังต้องการเป็นมนุษย์ แต่ในที่สุดแล้วเราก็หนีไม่พ้นกันทุกคน เพราะเมื่อตายแล้วก็มี 2 ทางเลือกหรือ 3 ทางเลือกก็แล้วแต่ 
## ทางเลือกที่ 1 เป็นนรก 
## ทางเลือกที่ 2 แล้วกลับมาเป็นมนุษย์ 
## ทางเลือกที่ 3 ก็ขึ้นสู่ชั้นภูมิสวรรค์ที่สูงขึ้น 
ซึ่งก็อาจจะมีสามทางเลือกวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกเท่าไหร่ ที่จะสลับกับเปลี่ยนไประหว่างโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก == > “ไตรภูมิ”

อย่างไรก็ตาม หากท่านใดไม่ว่าจะอยู่ในบรรพชิต ฆราวาส หรือว่าเพศชายเพศหญิง หรือว่าวัยชราวัยรุ่นก็ตามแต่ หากสามารถกำหนดจิตของตนได้ในการเลือกที่จะไป ไม่วนอยู่ในไตรภูมิอย่างที่กล่าวแล้ว ก็คิดว่าน่าจะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า “การหลุดพ้นเป็นสุขอย่างแท้จริง” นั้นคือ ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “นิพพานดับแล้วซึ่งทุกข์หมดทั้งสิ้น”

สำหรับนิพพานเป็นหน้าตาอย่างไร อันนี้ก็คงไม่สามารถบอกกล่าวได้ เพราะไม่ทราบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากว่าในจิตใจของเราที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีความรู้สึกว่าไม่ร้อน ไม่เป็นทุกข์ ไม่หมองหม่น ก็เชื่อว่าจิตใจของเราจะไปสู่ในส่วนที่เรียกว่าความสุข สำหรับจิตใจที่ร้อนรุ่มหมองหม่นนั้นก็มีหลายสาเหตุเกิดจากการกระทำของเราเองไม่ว่าจะเกิดจากความโลภ ความหลง ความโกรธในเรื่องต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าความโกรธ ความหลง ความโลก นั้นล้วนแต่เป็นปัจจัยหรือสาเหตุนำมาซึ่งทำให้จิตใจนั้นรุ่มร้อน

เมื่อไม่อยากรุ่มร้อน ไม่อยากเป็นทุกข์ ก็ต้องหาวิธีการพ้นทุกข์นี้จาก ๓ ภูมิ : นรก มนุษย์และสวรรค์ ในที่สุดเมื่อหลุดพ้นจากสามโลก (ภูมิ) ไปแล้วก็เชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่วนเวียนกลับมาในวัฏสงสารอีกต่อไป

ปภาวีร์




วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ธรรมเพื่อชีวิต ตอน "วันพระ ขึ้น 15 ค่ำ" 3 ธันวาคม 2560

วันที่ 3 ธันวาคม 2560 เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติที่มีวันพระข้างขึ้นข้างแรมเป็นมาตั้งแต่มีโลกใบนี้มีพระจันทร์คู่กับโลก
กล่าวสำหรับวันพระที่ขึ้น 15 ค่ำเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น ถือว่าเป็นสิ่งพิเศษที่วนรอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นวันที่เราเห็นพระจันทร์ใหญ่กว่าปกติที่ใหญ่กว่าปกติ ก็เหตุเพราะว่าดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้ามาใกล้กับโลกของเรา และเกิดสิ่งที่เรียกว่าแรงดึงดูดระหว่างมวลมากยิ่งขึ้นเมื่อมวล 2 สิ่งก็คือ โลกและดวงจันทร์ได้เข้ามาใกล้กันมากยิ่งขึ้นก็เกิดแรงดึงดูดระหว่างกัน ซึ่งจะเห็นว่ามีลักษณะธรรมชาติที่เรียกว่าน้ำขึ้น คำว่าน้ำขึ้นในที่นี้ก็คือน้ำที่ผิวโลกนั้นถูกดึงดูดด้วยแรงระหว่างกฎของธรรมชาติระหว่างโลกกับดวงจันทร์ สำหรับโลกของเรานั้นมีปริมาณน้ำกว่าร้อยละ 70 ก็ย่อมจะทำให้เกิดเห็นความแตกต่างจากวันอื่นๆ ทั่วไป ในวันพระขึ้น 15 ค่ำที่นี่เกี่ยวโยงกับตัวมนุษย์คนเราก็คือว่า ร่างกายของมนุษย์คนเรานั้นโดยทั่วไปจะมีน้ำอยู่ภายในร่างกายอยู่ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณเช่นกัน ซึ่งก็สอดคล้องกับปริมาณของน้ำบนโลกใบนี้ ดังนั้น ในวันพระขึ้น 15 ค่ำเมื่อน้ำบนโลกถูกแรงดึงดูดระหว่างมวล ย่อมจะส่งผลต่อปริมาณน้ำในร่างกายไปด้วย จะเห็นว่าในวันพระขึ้น 15 ค่ำนั้นตัวเราเองอาจจะมีความรู้สึกว่ามีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น อาจจะเกิดจากแรงกระตุ้นของแรงดึงดูดระหว่างมวลโลกกับดวงจันทร์ก็เป็นได้ (อันนี้ก็ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมเนื่องจากผู้ที่เขียนพูดที่พูดขนาดนี้ก็ถือว่ามีความรู้ด้านนี้เพียงนิดเดียวนิดหน่อยเท่านั้นเอง)

ที่นี้ในวันพระที่กำหนดมาหลายร้อยปีพันปีตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนไทยนั้นสมัยก่อนนั้น เข้าใจว่าการที่เรามีวันพระวันโกน (วันโกนก็คือวันที่ก่อนวันพระ 1 วันนั้น กำหนดให้ผู้คนนั้นได้เริ่มสงบสติ สงบใจในการเข้าวัดฟังธรรม) และวันพระก็เป็นวันหยุดประจำเรื่อยมา แต่ในห้วงเวลาที่ผ่านมายังไม่ถึงร้อยปีนั้น รัฐบาลไทยได้กำหนดปรับเปลี่ยนวันหยุดให้เป็นวันเสาร์วันอาทิตย์ตามระบบสากลของโลกทั่วไป ในปัจจุบันก็เลยการเปลี่ยนวันหยุดจากวันโกนวันพระมาเป็นวันเสาร์อาทิตย์ นั่นก็เพราะเหตุผลทางโลกมนุษย์สากลเพื่อให้เป็นไปเหมือนกับระดับนานาชาติที่กำหนดไว้

แน่นอนว่าถ้าหากท่านใดไม่ยึดเกี่ยวกับเรื่องการหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์อาจจะกำหนดตัวเราจิตใจของเราในการหยุดในวันโกนและวันพระทุกๆ ครั้ง ก็จะเป็นวันหยุดของจิตใจหยุดภายในใจของเราโดยการหาความสงบทางใจ ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นวันโกนก็เป็นวันหยุดทั้งใจทำใจให้สงบ ยิ่งวันพระต่อมาก็ยิ่งทำใจให้สงบทำใจให้ผ่องใส ทำใจให้มีสมาธิให้นิ่งก็ยิ่งจะเกิดผลดีต่อการพักผ่อนทางจิตใจ ส่วนการวันหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์ก็หยุดตามปกติของโลกมนุษย์ไปก็เป็นการหยุดทางกายทางร่างกายไป แต่ถ้าหากท่านใดจะลองปรับเปลี่ยนวันหยุดทางจิตใจให้เป็นปกติต่อไปของตน โดยตั้งใจหยุดทางใจในวันโกนและวันพระทุกๆครั้ง ก็เชื่อว่าใน 1 ปีซึ่งจะมีวันโกนวันพระอยู่ประมาณ 50 กว่าครั้งเหมือนกับสัปดาห์เสาร์อาทิตย์ทั่วไปมีประมาณ 52 สัปดาห์ ก็จะสามารถทำให้จิตใจของเรานั้นมีความสงบมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หากท่านใดสามารถทำได้ทุกวันก็ยิ่งจะเป็นผลดีต่อจิตใจของตนทำจิตใจให้มีความสงบมากที่สุดย่อมจะพบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

ที่นี่ในวันพระนั้นตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เกิดก็คือ การละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตใจให้ผ่องใส สามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะต้องทำให้ได้ในวันพระและควรจะต้องทำให้ได้ในทุกๆวันยิ่งจะดี สำหรับในเรื่องของการทำจิตใจให้ผ่องใส นั่นจิตเป็นใหญ่จิตเป็นหลัก ถ้าหากว่าเรากำหนดจิตให้มีความผ่องใสบริสุทธิ์เรื่องของการทำชั่วก็ย่อมไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อไม่ทำชั่วก็จะเกิดผลดีตามมาอย่างแน่นอนในที่สุด เพราะฉะนั้นหลักใหญ่ใจความของเราของวันพระของเราก็คือเริ่มที่จิตของเรา สั่งจิตสั่งใจของเราให้นิ่งให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใสมากที่สุด ก็เชื่อว่าจะนำไปสู่ในส่วนที่ดีที่งามที่สุดอย่างแน่นอน และประการสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้เสมอก็คือเรื่องของความไม่ประมาทความไม่ประมาทนี้ก็สอดคล้องกับเนื้อเรื่องของการมีสติอยู่ทุกเมื่อสติอยู่ทุกเมื่อ ก็คือจิตรู้อยู่ทุกขณะว่าเป็นอะไรทำอะไรสิ่งใดอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่าจะผ่านหรือเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น ทั้งร่างกาย และที่สำคัญก็คือนี่แหละ "ทางจิตใจ" เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่เข้ามากระทบผ่านประสาททั้งหลายของตัวร่างกายคนเรา

ดังนั้น วันพระไม่มีหนเดียว มีอยู่อย่างที่กล่าวไปแล้วประมาณ 52 วันต่อปีโดยประมาณและถ้าหากเราเพิ่มวันโกนไปอีก 1 วัน ก็คือวันที่ก่อนวันพระ 1 วันนั้นก็จะรวมไปประมาณ 100 วันต่อปี ดังนั้นเราจะมีวันที่ทำใจให้สงบพบกับความสุขอยู่ประมาณ 100 กว่าวันใน 1 ปีก็ประมาณ 1 ใน 3 ของปีนั้นๆ หากเราสามารถทำได้ย่อมจะพบในสิ่งที่เราควรจะพบทางจิตใจและเมื่อนั้นคงจะสามารถหาคำตอบด้วยตัวของแต่ละคนแต่ละท่านได้ว่าทำไมเราถึงจะต้องทำใจให้สงบที่สุด ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสที่สุด

และวันนี้ก็เช่นเดียวกันเป็นวันพระก็ต้องปฏิบัติตามตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ตามคำสอนของหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ หลวงน้า และพระสงฆ์เพื่อพวกเราจะได้พบความสุขอย่างแท้จริง
วันนี้วันพระ
♡♡♡♡♡
วันนี้เป็นวันพระ
ต้องลดละสิ่งเมามัว
ทำดีไม่ทำชั่ว
มองดูตัวของเราเอง

ตั้งจิตและตั้งใจ
ไหว้พระไว้ไม่กลัวเกรง
อย่าทำเป็นนักเลง
คอยอวดเบ่งอยู่ร่ำไป

สร้างจิตเงียบวันพระ
มีมานะทำดีไว้
เงียบจิตในจิตใจ
สุขฤทัยในทันที

วันพระจะได้พร
ธรรมมาก่อนต้องทำดี
กราบพระในวันนี้
นำชีวีมีพ้นภัย

วันพระสงบเย็น
จิตบำเพ็ญเห็นภายใน
ทำดีทำต่อไป
สุขยิ่งใหญ่ใจเย็นเอย
ปภาวีร์ 
๓ ธันวาคม ๒๕๖๐
FB : ธรรมะเพื่อชีวิต โดย ปภาวีร์
**** หมายเหตุ
เป็นความคิดเห็นส่วนตัว อาจจะผิดพลาด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ทั้งนี้เป็นการพูดแล้วให้โทรศัพท์แปลงเสียงเป็นข้อความ (อาจจะมีที่ผิดพอสมควร)