Nuffnang Ads

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อมีคำว่า "ลา" ก็ย่อมมีคำว่า "จาก"

หลายครั้งในชีวิตของคนเรานั้นย่อมจะมีคำว่า "ลา" การลาเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งสองสิ่งจะต้องแยกออกจากกันด้วยระยะห่างที่สามารถจะวัดออกมาเป็นหน่วยต่างๆ ตามที่มนุษย์กำหนด อีกทั้งการลาอาจจะบ่งบอกถึงการยุติการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เคยกระทำเป็นประจำตามหน้าที่ การลาอาจจะทำให้เรามีความรู้สึกว่าทั้งเศร้าเสียใจหรืออาจจะดีใจก็ได้ ตัวอย่างเช่น การลาพักผ่อน เป็นการหยุดทำหน้าที่ที่เคยปฏิบัติชั่วคราว และเราก็นำตัวของเราไปสู่อีกที่หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสบายผ่อนคลายพักผ่อนมีความสุข และการลาอีกอย่างที่อาจจะทำให้เกิดความทุกข์และเศร้า ก็อาจจะเป็นการลาออกจากงาน (โดยที่เราถูกบังคับให้ลาออก) เห็นหรือยังครับว่า การลานั้นทำให้เราทั้งมีความสุขและทุกข์ไปด้วยกันแล้วแต่สถานการณ์และโอกาส

การลาทำให้เราผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเหตุผลคือ "การลา" มักจะคู่กับ "การจาก" การลาทำให้เรานั้นจะต้อง "จาก" ในสิ่งที่เราเคยทำหรือเคยปฏิบัติ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วการลามักจะทำให้เกิดความเสียใจโดยส่วนมาก เมื่อเราได้เห็นได้รู้ว่าเมื่อไรจะมีการลา เรามักจะเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากให้เกิดการลาเลย โดยบางครั้งเราอาจจะเคยเห็นเคยได้ยินคำว่า "ลา" นั้นมีหลายประเภท เช่น ลาบวช ลากิจ ลาพักผ่อน ลาศึกษาต่อ ลาออก เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะหลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่ายังมีลาอีกอย่างหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยได้ "ลา" หรือ ได้เคยปฏิบัติ สิ่งนั้น คือ "ลาตาย" เพราะเหตุใดที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง "ลาตาย" เพราะการลาตายเป็นสิ่งที่เราหลีกหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน การลาตายทำให้เราจะต้องจากกับสิ่งที่รักสิ่งที่เราเคยห่วงแหนเคยผูกพัน การลาดังกล่าวทำให้เราต้องจากห่างจากสิ่งที่เราเคยรัก ทำให้เราเกิดความเสียใจเศร้าใจ

อย่างไรก็ตาม หากเราทุกคนได้เรียนรู้ว่าการลานั้นไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสียหายเลย เป็นสิ่งเราจะต้องเรียนรู้และยอมรับว่าการลาเป็นเรื่องที่เราจะต้องพบประสบกันทุกคน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขอให้เราทุกคนมาเรียนรู้ "การลา" ย่อมจะคู่กับ "การจาก" และสิ่งหนึ่งที่จะทำให้การลาและการจากเกิดความสุข คือ เราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้ว่าการลามันเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ทำไมเราจะต้องให้เรื่องสมมติดังกล่าวมาทำร้ายเราให้เสียใจ เราจะต้องสามารถกำหนดให้เรื่องการลาเป็นเรื่องปกติในของชีวิตของเราให้ได้

หลายๆ คนอาจจะเคยมีความรู้สึกว่าอยากจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ อาจจะเป็นเพราะปัญหาในการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาก็แล้วแต่ ซึ่งการลาออกเป็นหนทางหนึ่งของการยอมแพ้ในสิ่งที่เราคิดว่าเราไม่สามารถอดทนต่อไปได้ เพราะหากเราจะทำต่อไปเราจะเกิดความทุกข์อย่างหาที่สุดมิได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วการลาออกเป็นหนทางทางเลือกสุดท้าย (และสุดท้ายจริงๆ ) ที่เราจะเลือก ดังนั้น อย่าให้การลาออกเป็นทางเลือกที่เราเลือกโดยที่เราไม่อยากจะเลือกจริงๆ ขอให้การลาออกเป็นการทางเลือกสำหรับที่เราจะเดินทางไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนเท่านั้นครับ

และสุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้เราทุกคนได้เรียนรู้ว่า เมื่อ "ลา" ก็จะต้องมี "จาก" เมื่อมี "จาก" เราก็ไม่ต้องไม่เสียใจเศร้าใจ

เมื่อลา ก็ต้องจาก
เมื่อจาก ก็ต้องห่าง
เมื่อห่าง ก็ต้องไป
เมื่อไป ก็ต้องกลับ
เมื่อไม่กลับ ก็ต้องลับจากกันในที่สุด

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สิ่งร้ายๆ จะต้องกลายเป็นดีในที่สุด

เมื่อวานเย็น (๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔) ผู้เขียนได้เจอน้องเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเขาได้บอกว่าเพื่อนร่วมงานอีกคนมีสิ่งที่เราเรียกว่า "ร้าย" อยู่ในร่างกาย ผู้เขียนเมื่อได้ยินถึงกับมีความรู้สึกว่าจิตใจอ่อนแรงลงไปอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว สำหรับเพื่อนร่วมงานที่มีสิ่งที่เรียกว่า "ร้าย" อยู่ในร่างกายนั้นเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้สึกมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบในฐานะที่เรียกว่า "ครู" เป็นแบบอย่างที่ดีมากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กล่าวสำหรับที่เรียกว่า "ร้าย" เป็นสิ่งที่อยู่กับตัวมนุษย์ของเรา อยู่ติดกับตัวเราที่เรียกว่า "เนื้อร้าย" เนื้อรายเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่ต้องให้มีหรืออยู่ใกล้กับเรา อย่างไรก็ดี เนื้อร้าย เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หากมันเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องดังกล่าวแล้ว เพื่อนร่วมงานคนที่บอกนั้นได้เพิ่มเติมว่า "ท่านไม่ต้องไปเยี่ยมหรอก เพราะท่านยังทำใจไม่ได้" ยิ่งทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า เราในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานเราจะทำอย่างไรดี เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็รู้จักกันเคยทำงานร่วมกัน ก็ได้แต่ส่งกำลังใจแรงใจไปช่วยให้ท่านเข้มแข็ง มีจิตใจที่จะสามารถดำรงอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า "เนื้อร้าย" ให้ได้

ครับ เรื่องร้ายๆ จะกลายเป็นดีได้นั้น เราจะต้องช่วยๆ กัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ส่งจิตของเราให้กับเพื่อนๆ ที่มีแต่เรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีให้ได้ บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเรื่องของกำลังใจเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่า เมื่อไรก็ตาม เราคิดแต่เรื่องที่ดีๆ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องร้ายๆ ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ต้องไปสนใจมัน เมื่อมันเป็นไปแล้ว ทำก็ทำใจยอมรับกับเรื่องร้ายๆ แต่เรามาเริ่มคิดใหม่ในเรื่องที่ดีๆ แน่นอนครับอาจจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับตัวเรา เราอาจจะพูดได้ เพราะไม่เกิดกับตัวเรา แต่เมื่อไรก็ตามหากมันเกิดขึ้นกับตัวเราแล้วเราจะทำอย่างไร (ท่านลองไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปสู่ปอดสักประมาณ ๑ ถึง ๒ นาที แล้วท่านจะรู้สึกอย่างไร) แน่นอนครับเป็นเรื่องที่ลำบากมากหากว่าเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น หนทางที่ดีสุดคือจะต้องอยู่มันให้ได้ เรียนรู้ว่ามันไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอก เมื่อมันทำอะไรเราไม่ได้ สิ่งร้ายๆ ดังกล่าวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายน้อยลงและดีขึ้นในที่สุด สิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อเราคิดดีย่อมจะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดีในที่สุด

เช่นกันครับ หากเพื่อนร่วมงานของเรามีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น เราก็สามารถคิดดีปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมงาน ผู้เขียนเชื่อว่า เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะสามารถกลายเป็นเรื่องที่ดีได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ เรามาช่วยกันคิดดีปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมงานของเรา ร่วมทั้งเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานแต่เป็นเพื่อนมนุษย์คนไทยด้วยกัน และสุดท้ายนี้ผู้เขียนก็ขอให้เพื่อนที่มีเรื่องร้ายๆ ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับเรื่องร้ายๆ แล้วทุกอย่างจะกลายเป็นดีในที่สุด

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เคย แค้น และ เคย ผิด ?

วันนี้ตั้งใจเขียนเรื่องสักเรื่องให้กับเพื่อนร่วมงานที่เกิดอาการ “จุก” เมื่อวานนี้ (24 พ.ค. 2554) แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี อย่างไรก็ดี เมื่อเช้าได้เดินออกกำลังกายก็เลยคิดเรื่องที่จะอยากจะแลกเปลี่ยนและให้กำลังสำหรับท่านใดที่อาจจะเกิดอาการ “จุก”

ครับในชีวิตของเราทุกคนนั้น ผู้เขียนคิดว่าทุกคนจะต้องเคยเกิดอาการ “แค้น” (แต่ไม่ใช่ อาการแค้นในภาษาอีสานที่หมายถึงอาการกินมากเกินไป จน “จุก” นะครับ) กล่าวสำหรับ “ความแค้น” เกิดจากการที่เราถูกทำร้ายทั้งด้านกาย วาจา หรือ ใจ โดยผู้ที่ทำร้ายเรานั้นอาจจะมีอำนาจมากกว่า อาจจะมีอาวุธมากกว่า หรือ อาจจะมีอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้เรานั้นเกิดความทุกข์ในด้านที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่า “ความแค้น” มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลาเกิดความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ

แน่นอนครับ ที่นี้ ปัญหาคือว่า แล้วมันจะดับร้อนดับความแค้นไปได้อย่างไร มันยากมาก เหมือนกับสุภาษิตจีนที่บอกไว้ว่า “แค้นนี้ต้องชำระ” แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ดังนั้น ในระยะเวลาที่เรามีความแค้นอยู่นั้นมันจะเป็นทุกข์อย่างมาก จะหาโอกาสที่แก้แค้นให้ได้ ผู้เขียนคิดว่า เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้การเอาชนะความแค้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราเอาชนะความแค้นได้ เราจะหมดทุกข์ เราไม่ต้องเป็นห่วงว่า คนที่กระทำกับเราเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะได้รับอะไร เพราะกฎธรรมชาติเป็นธรรมเสมอ ใครทำอะไรก็จะได้อย่างไร เหมือนกับคำสอนที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ไม่เร็วไม่ช้าผลกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำต่อคนอื่น เราก็จะต้องได้รับเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้ วิธีการดับความแค้นนั้นไม่ยาก คือ ดับที่ตัวเราที่จิตของเราโดยการไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยวางมัน ให้ความทุกข์ออกจากตัวของเราให้ได้ (วิธีง่ายๆ ลองยิ้มซิครับ เพราะการยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เรามีความสุขและความทุกข์จะหายไป หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองทำหน้าโกรธเป็นทุกข์ และลองยิ้มดูว่า อย่างไหนง่ายกว่ากัน)

ที่นี้เรื่องของความผิด ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความ “ผิด” เป็นทุกข์ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาจากท้องของคุณแม่เรา เพราะอะไรละครับ ท่านลองนึกดูว่าเมื่อเราเกิดมาตั้งแต่วินาทีแรกนั้น เราทุกคนก็ร้องให้แล้ว ไม่มีใครคนไหนเลยที่คลอดออกมาแล้วยิ้มเลยไม่มี ด้วยเหตุนี้ ทุกคนล้วนเคยทำ “ผิด” กันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นความผิดเล็กน้อยความผิดมากมายใหญ่โตจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อตัวเรารู้ว่าตัวเราทำ “ผิด” เราควรจะต้องทำสิ่งดังกล่าวมาคิดทบทวนอย่างมีสติว่าเป็นเพราะเหตุใด มีอะไรเป็นปัจจัยในการที่เราได้ลงมือกระทำลงไป และทุกสังคมประชาคมมนุษย์เราอยู่ด้วยกันเพื่อนร่วมงานต่างก็เคยทำผิดพลาดทั้งในการทำงานหรือการปฏิบัติตน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เรานั้นได้เรียนรู้ถึงความผิดการทำผิด และเมื่อผิดแล้วเราแก้ไขและให้อภัยซึ่งกันและกัน หากเมื่อใดที่เราให้อภัยซึ่งกันและกันความ “แค้น” ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นและไม่เกิดความทุกข์ตามมา ผู้เขียนคิดว่า “การกระทำผิด” ในเรื่องต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่หากว่าเรารู้แล้วมาเรื่องนี้ผิด เราจะต้องไม่ทำอีก และจะต้องนำไปบอกคนอื่นๆ สอนคนอื่นๆ เพื่อจะทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดการพัฒนาเรื่องนั้นๆ ในการทำงาน และในที่สุดจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งการพัฒนางานและพัฒนาตัวเราสังคมเรา ชุมชนของเรา

ครับ “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่ประสบพบเห็นกับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่อเราเข้าใจในเรื่อง “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปโดย “ไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะแก้ไข” (ผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากการเมืองเป็นอย่างที่กล่าวก็จะดีต่อประเทศไทยของเรา)


ปล. หากท่านต้องการอ่านเรื่องที่อาจจะเกี่ยวกับ เช่นที่นี้ครับ

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ท่านเคยตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต?

ตัดสินใจ ชื่อเรื่องยาวมากครับวันนี้ แต่เป็นเรื่องที่ผู้เขียนคิดว่าทุกท่านจะต้องเคยตัดสินใจในเรื่องประเด็นที่สำคัญที่สุดในชีวิต เช่น เลือกที่เรียนที่ศึกษาต่อ เลือกที่จะทำงาน เลือกที่จะมีคู่ครอง หรือ อื่นๆ อีกมากมาย

ครับ เมื่อวานนี้ (วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔) มีนักศึกษาของวิทยาเขตมุกดาหารได้เดินทางมาพบผู้เขียนที่มหาวิทยาลัยเขาบอกผมว่าจะขอโอนย้ายจากมุกดาหารมาเรียนที่อุบลราชธานี ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เพราะเนื่องจากคิดว่านักศึกษาคนดังกล่าวคงจะคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็เพียงให้ข้อคิดว่าไปว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา (หมายถึง ตัวนักศึกษา) จะต้องคิดให้ดี เพื่อตัวเราเอง” แล้วผู้เขียนก็ลงนามในเอกสารให้กับนักศึกษาคนดังกล่าว แล้วก็บอกต่อว่า เอกสารดังกล่าวมันก็คือ เอกสาร หากเราไม่ต้องการเราก็ทิ้งเอกสารไป ไม่ต้องไปสนใจ

แต่แล้วในตอนเย็น ผู้เขียนก็ Online ผ่าน Galaxy Tab (ใช้ Internet Sim) ปรากฏว่านักศึกษาคนดังกล่าวได้ส่งข้อความถึงผู้เขียน แล้วก็บอกว่า “ผมตัดสินใจไม่ย้ายแล้วครับ” “ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้ว” และอื่นๆ อีกพอสมควร

สิ่งดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้เขียนรู้แล้วว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญที่ชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เขาจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยความเข้าใจรอบครอบ ด้วยความพินิจพิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าดีหรือไม่ดี ว่าได้มากกว่าเสียหรือไม่ ว่ามีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน

นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วิทยาเขตมุกดาหาร บุคคลดังกล่าวนั้น ยิ่งใหญ่มาก และได้ทำในสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่ายิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา และเมื่อไรก็ตามที่เขาได้พิจารณาอย่างดีแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ สิ่งนั้นผู้เขียนเชื่อว่าจะไม่ทำให้เขาได้เกิดความทุกข์เลย นอกจากนั้น เขาเองจะมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจและกระทำลงไป น้อยคนนักที่จะสามารถกระทำได้ในสิ่งนี้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ตัวเรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นปัญหามันจะเป็นอุปสรรค เราไม่สามารถฝ่าฟันผ่านพ้นปัญหาหรืออุปสรรคไปได้ เราก็จะไม่สามารถก้าวพ้นสิ่งที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคไปได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตามแต่

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนคิดว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หรือ ที่วิทยาเขตมุกดาหาร ได้กล้าคิด กล้าตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเมื่อเขาเหล่านั้นสามารถทำได้ เขาจะสามารถทำอะไรก็ตามในชีวิตของเขาและจะสามารถประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า เขาสามารถใช้จิตในการสั่งกาย ใช้จิตในการที่ทำการใดๆ และการใช้จิตดังกล่าวนี้แหละเป็นพลังมหาศาลที่ผลักดันทำในเรื่องต่างๆ ได้

สุดท้ายผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังจะตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต ให้ท่านได้ใช้จิตที่เป็นกลาง จิตที่รู้ถึงความดีความงามในเรื่องนั้นๆ และเมื่อท่านสามารถทำได้แล้ว ความสุขจากการตัดสินใจจากการที่ได้ลงมือทำจะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน และเมื่อท่านได้ตัดสินใจบ่อยๆ ครั้งในเรื่องที่สำคัญ ท่านก็จะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถกำหนดให้ตัวเองได้ก้าวเดินไปในสิ่งที่ถูกที่ควรที่เหมาะสม ขอสนับสนุนการตัดสินใจของทุกท่านนะครับ

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เลือก + ตั้ง

เลือก ตั้ง ช่วงเวลานี้คนไทยทุกคนคงจะเฝ้ารอวันเลือกตั้งตามที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ อย่างที่เราทราบกันดี ทุกพรรคการเมืองต่างก็หาเสียงประชาสัมพันธ์นโยบายของตนเพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิ์ไปลงคะแนนเสียงได้พิจารณาว่านโยบายของพรรคใดเป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้และเป็นที่พอใจที่สุด

แต่สิ่งที่ผู้เขียนจะได้แลกเปลี่ยนในวันนี้ คือ เลือกตั้ง หากเราแยกทั้ง ๒ คำออกจากกันจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งข้างต้น

สำหรับ "เลือก" เป็นสิ่งที่เราทราบกันดีว่าจะต้องคู่กับ "ความต้องการ" เพราะหากเราไม่ต้องการเราก็ไม่ต้องไปเลือก และนอกจากนั้นจำนวนที่จะถูกเลือกหรือให้เลือกนั้นจะต้องมีจำนวนมากพอและมีคุณภาพไปด้วย สรุปง่ายๆ คือ การเลือกจะต้องประกอบทั้งจำนวนปริมาณและระดับคุณภาพ

เพื่อให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ขออนุญาตยกตัวอย่างประกอบ หากความต้องการมีค่าจำนวนปริมาณเท่ากับ ๕และระดับคุณภาพเท่ากับ ๕ ปรากฎว่าสิ่งที่ต้องการให้เลือกเป็นได้ ๔ กรณี ดังนี้
กรณีที่ ๑. มีปริมาณจำนวนมากกว่า และระดับคุณภาพที่สูงกว่า ความต้องการของเรา
กรณีที่ ๒. มีปริมาณจำนวนมากกว่า และระดับคุณภาพที่ต่ำกว่า ความต้องการของเรา
กรณีที่ ๓. มีปริมาณจำนวนน้อยกว่า และระดับคุณภาพที่สูงกว่า ความต้องการของเรา
กรณีที่ ๔. มีปริมาณจำนวนน้อยกว่า และระดับคุณภาพที่ต่ำกว่า ความต้องการของเรา


สำหรับกรณีที่ ๑ นั้น แน่นอนเราจะต้องเลือกอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ต้องการเลือกมีจำนวนมากกว่า กรณีนี้จะต้องพิจารณาให้อย่างดีถี่ถ้วน กรณีที่ ๒ และ ๔ เราคงจะไม่ต้องการ ส่วนกรณีที่ ๓ นั้น เราไม่ต้องเลือกเลย เราเอาหมดเลย เพราะจำนวนที่มีอยู่ก็มีจำนวนน้อยแต่มีระดับคุณภาพสูงมาก ดังนั้น จะเห็นว่า กรณีที่เราจะต้องทำการเลือกจะเกิดขึ้นได้เพียงกรณีที่ ๑ เท่านั้น


สำหรับ "ตั้ง" เป็นสิ่งที่เราทราบดีว่าเกี่ยวข้องกับการนำสิ่งของหรือวัตถุที่อาจจะล้มอยู่หรืออาจจะไม่มีอยู่ให้สามารถทำมุมกับพื้นโลกในลักษณะ ๙๐ องศา เช่น เสาไฟฟ้าที่นอนอยู่ข้างถนน เราตั้งให้เสาดังกล่าวทำมุมกับพื้นโลก ๙๐ องศาโดยการตั้งตรง หรือ การขึ้นบ้านใหม่ เราหล่อเสาเอกให้ตั้งตรงทำมุมกับพื้นโลก ๙๐ องศา และเสาบ้านทุกต้นก็จะต้องตั้งตรงทำมุมกับพื้นโลก ๙๐ องศาเช่นกัน เป็นต้น ซึ่งจริงๆ แล้วมีอีกจำนวนมากมายที่เกี่ยวกับ "การตั้ง "


จะเห็นว่าการตั้งนั้นจะเกี่ยวข้องกับการทำให้สิ่งที่ขนานกับพื้นโลก (คือ ทำมุม ๑๘๐ องศา) แล้วทำให้มันทำมุมกับพื้นโลกเป็นมุก ๙๐ องศา นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับวัตถุ แต่หากกล่าวถึงการตั้งที่เกี่ยวกับมนุษย์แล้ว ก็มักจะเกี่ยวกับการที่ทำให้มีขึ้นมา เช่น การตั้งคณะกรรมการ การตั้งคณะทำงาน การตั้งชมรม การตั้งสมาคม เป็นต้น ซึ่งการตั้งดังกล่าวก็มักจะเกี่ยวข้องกับการทำให้มันดีกว่าเดิม ทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนร่วม ทำให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลต่อองค์กร ทำให้เกิดความเรียบร้อยในการทำงานประสานงาน ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เรามีการตั้งที่เกี่ยวกับคณะบุคคล บุคคลเหล่านี้จะต้องมีความเที่ยงตรง (ให้เป็นมุม ๙๐ องศา กับพื้นโลก) มีความชี้ตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าถึงความศักดิ์สิทธิ์บนสรวงสวรรค์


ด้วยเหตุนี้ เมื่อไรก็ตามที่เราตั้งอะไรที่เกี่ยวกับคณะบุคคล จะต้องมีการเลือกบุคคลที่มีจำนวนปริมาณที่พอเหมาะและที่สำคัญคือจะต้องมีคุณภาพด้วย เพื่อให้การตั้งดังกล่าวสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดที่เกี่ยวกับ "เลือก" และ "ตั้ง" ผู้เขียนไม่มีเจตนาใดๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพียงแต่นำเสนอความคิดเห็นส่วนตัว เพื่อเป็นข้อคิดเตือนตัวเองเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากท่านใดจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นการดี เพราะจะทำให้เราทุกคนได้เรียนรู้การ "เลือก" และ "ตั้ง" เพิ่มเติม สามารถนำไปประยุกต์ในการปฏิบัติหน้าที่ทำงานได้อย่างดีมากยิ่งๆ ขึ้น


ปล.หากท่านใดสนใจอย่างจะอ่านเกี่ยวกับ ปรองดอง

เมื่อรู้สึกว่าจะตาย ก็ควรฝึกตายให้บ่อยๆ

เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ผู้เขียนต้องรีบเดินทางจากจังหวัดมุกดาหารเพื่อมาขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพมหานคร ที่จังหวัดอุบลราชธานีในเวลาประมาณ ๑๗.๒๐ น. แต่สิ่งที่ผู้เขียนจะขอเล่าให้ฟังคือ เป็นเหตุการณ์ที่ขณะนั่งอยู่บนเครื่องบิน เนื่องจากเป็นเพราะเหนื่อยจากเดินทางไปร่วมงานสัมมนาของวิทยาเขตมุกดาหาร ( จังหวัดมุกดาหาร ) ที่ร่วมมือกับ Florida State University


จึงหลับไปสักพักหนึ่งแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเครื่องบินเกิดการสั่นไหวอย่างแรง เมื่อมองไปข้างนอกหน้าต่างของเครื่องบินก็ปรากฏว่ามีก้อนเฆกมืดดำไปหมด ในขณะนั้นผู้คนในเครื่องบินก็ต่างเงียบ (ผิดปกติ) แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้มีสติคิดให้ขณะนั้น คือ ถ้าหากเกิดเครื่องบินเป็นอะไรไปเราต้องตายอย่างแน่นอน ยอมรับว่าในชั่วขณะนั้นเกิดความกลัวขึ้นมาทันใด แต่ประมาณสัก ๓ วินาที ก็คิดว่าไว้ไม่เป็นไรหากเป็นอะไรไป ชีวิตเราก็แค่นี้เท่านั้นเอง นอกจากนั้นได้ลองกำหนดจิตของตัวเราเองว่าไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วง และคิดสิ่งเดียวเท่านั้นขณะนั้น คือ นึกถึงพระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ขณะที่พระองค์ท่านทรงศีลทรงผนวช ซึ่งขณะนั้นเครื่องบินก็ยังคงมีอาการสั่นไหวนานพอสมควรน่าจะประมาณ ๕ - ๑๐ นาที แต่หลังจากนั้น กัปตันก็สามารถนำเครื่องบินผ่านพ้นช่วงที่วิกฤตมาได้ แต่สิ่งที่หนึ่งทำให้ผู้เขียนได้คิดต่อและนำมาถ่ายทอดในวันนี้ ก็เรื่องที่เกี่ยวกับชื่อหัวข้อที่กำหนดในวันนี้ คือ " เมื่อรู้สึกว่าจะตาย ก็ควรฝึกตายให้บ่อยๆ "

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนคิดว่าหากเกิดความรู้สึกว่าจะตายอีก จะต้องฝึกว่าตายให้ได้ อย่างไรก็ดี เราชาวพุทธทุกคนคงจะได้ทราบกันดีว่าหลักธรรมของพระพุทธองค์ได้กล่าวเตือนพวกเราไว้ว่า " อย่าประมาท " "ความประมาทนำมาซึ่งความตาย" เพราะชีวิตของเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อไรเราจะตาย แต่หากว่าเราสามารถฝึกปฏิบัติว่า หากเราต้องตาย ก่อนที่เราจะตายนั้นจิตของเราจะเป็นอย่างไร แน่นอนครับ เป็นเรื่องที่ยากมาก (หากท่านไม่ได้ประสบพบด้วยตัวเอง) ชีวิตของเราทุกวันนี้ล้วนอยู่บนความประมาทแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะทำการใดๆ เช่น การขับรถยนต์หากเราไม่มีสติเกิดความประมาทจะนำมาซึ่งความสูญเสียของชีวิตได้ทุกเวลา เป็นต้น จะเห็นว่าเมื่อไรก็ตามที่เราไม่มีสตินั้น ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นมันจะรวดเร็วมากจนเราอาจจะไม่มีเวลาคิดว่า ถ้าเราตายแล้ว จะเป็นอย่างไร

ครับ สงสัยว่าเราอาจจะต้องมีวิธีการฝึกปฏิบัติให้รู้สึกว่าจะตาย แล้วเราจะคิดเรื่องอะไร หากคิดเรื่องดีๆ แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าเราจะมีความสุขไม่เป็นทุกข์กับความตายที่จะเข้ามาหาตัวเรา ด้วยเหตุนี้ เราก็คงจะต้องฝึกให้มีความรู้สึกว่าตายให้บ่อยๆ อยู่เป็นประจำ ผู้เขียนก็ต้องยอมรับว่าข้างต้นนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตว่ามีความรู้สึกว่าหากตายไปแล้ว ก่อนตายเราจะทำอย่างไร (แต่เผอิญไม่ตายและไม่เป็นไร) หากท่านใดที่เคยประสบกับความตายดังกล่าว ก็ขอเชิญชวนนำมาแลกเปลี่ยนกันเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดต่ออนุชนคนรุ่นหลังในการประกอบกรรมดีอันจะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงของชีวิต


ประการสุดท้ายที่ผู้เขียนขออนุญาตฝาก คือ หากไม่เจอด้วยตัวเอง เราก็จะไม่เจอความจริง และความจริงนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ด้วยสติ และเมื่อเกิดการเรียนรู้ด้วยการมีสติก็จะเกิดปํญญาในการเดินหน้าต่อไป และในที่สุดเราจะไม่กลัวความจริงที่เราเจอ ดังนั้น เรามาเรียนรู้เจอกับความจริงที่ว่า เราต้องตายกับทุกคน ไม่เร็วไม่ช้า หลีกหนีไม่พ้น เรามาซ้อมตายหรือคิดว่าเรากำลังจะตายลองดูกันเถอะครับ ดังคำกล่าวที่ว่า " เมื่อรู้สึกว่าจะตาย ก็ควรฝึกตายให้บ่อยๆ "

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันนี้ วันดี วันวิสาขบูชา

วันนี้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา ซึ่งผู้เขียนคิดว่าพุทธศาสนิกชนทุกท่านคงจะทราบความสำคัญของวันนี้กันเป็นอย่างดีนะครับ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้เขียนจะแลกเปลี่ยนในวันนี้ วันดีๆ คือ เมื่อวานนี้ (๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔) ได้มีโอกาสไปที่พระมหาเจดีย์ชัยมงคล (ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด) ทำให้เกิดความรู้สึกว่าความตั้งจิตตั้งใจนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เหตุเพราะพระมหาเจดีย์ดังกล่าวได้ถูกออกแบบวางแบบแปลนไว้อย่างงดงาม (ผู้เขียนคงจะไม่ขออธิบาย แต่ขออนุญาตนำเสนอด้วยรูปภาพก็แล้ว)

พระมหาเจดีย์ชัยมงคลตั้งอยู่บนพื้นที่ภูที่สามารถมองไปรอบด้านได้เห็นธรรมชาติสีเขียวทั้งนั้น ทำให้แรงศรัทธาให้การกระทำการสิ่งใดๆ ที่จะเกิดมงคลกับชีวิตและทำให้ชนะให้สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย (เหมือนกับชื่อพระมหาเจดีย์ ที่ว่า “ชัยมงคล”) ครับ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ “ชนะใจของเราเอง” หากว่าวันนี้จะเป็นวันดี วันเริ่มต้นสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่จะเป็น “ชัยมงคล” กับชีวิต ผู้เขียนก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับเราทุกคนที่เป็นชาวพุทธ แน่นอนครับหลายครั้งในชีวิตที่ผ่านมาของหลายๆ ท่านอาจจะเคยบอกตัวเองว่า ไม่ไหวแล้ว ไม่สู้แล้ว พอแล้ว รู้สึกเหนื่อยล้ามาก รู้สึกไม่มีกำลังกาย แต่หากว่าเมื่อไรก็ตาม เราสามารถไปเห็นความตั้งใจของคนอื่น เห็นความแน่วแน่ของคนอื่นๆ ผู้เขียนเชื่อว่า ตัวเราทุกคนจะต้องเกิดความรู้สึกว่า แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ เพียงแต่มันมีเส้นแบ่งบางๆ อยู่ในจิตของเราในใจของเราเท่านั้นเอง ว่า “ฉันไม่ไหว หรือ ฉันจะต้องทำให้ได้” ครับ บางครั้งก็ยาก ผู้เขียนเองยอมรับเหมือนกันว่ากำลังพยายาม และคิดว่าเมื่อไรก็ตามเราคิดดี คิดในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ทั้งตัวเราและคนอื่นๆ จิตจะสั่งขึ้นมาในทันทีว่า เราจะต้องทำให้ได้ เพื่อ “ชัยมงคล”

ที่นี้กล่าวสำหรับ พระมหาเจดีย์ชัยมงคล นั้นขณะนี้ยังต้องการปัจจัยในการพัฒนาและสร้างให้มีความสมบูรณ์ตามที่กำหนดไว้ จากที่ผู้เขียนได้ใช้เวลาเดินดูนั้น ทำให้เกิดความคิดและเกิดสติขึ้นมาว่า “ทำอะไรก็ตามแต่จะต้องเกิดศรัทธาในสิ่งนั้น” ผู้คนที่เดินทางไป ณ พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ล้วนเกิดศรัทธาเห็นพร้องต้องกันว่าจะร่วมกันทำบุญ และสิ่งที่ผู้เขียนได้เห็น คือ ทุกคนที่ไปที่นั้นล้วนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุขเกิดศรัทธาในสิ่งที่เห็นได้รับรู้ถึงความตั้งใจร่วมกัน ดังนั้น สำหรับผู้เขียนเองคิดว่า พระมหาเจดีย์ชัยมงคล เป็นส่วนหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยหากมีโอกาสก็ควรจะเดินทางไปสักครั้งหนึ่งของชีวิต เพื่อทำให้เกิดศรัทธาในการทำเรื่องที่ดีๆ ต่าง นำมาซึ่ง “ชัยมงคล” ของชีวิตในการทำงาน ในการเรียนหนังสือ ในการทำการใดๆ ก็ตามแต่ เพราะเมื่อไรก็ตามที่จิตของเราเกิดศรัทธาจะมีแรงพลังมหาศาลอย่างมากที่เดียว


การประยุกต์ในวันนี้ วันดีๆ วันวิสาขบูชา คือ เมื่อทำเราสิ่งใดๆ ก็ตามแต่ เราจะต้องเกิดศรัทธาเสียก่อน ซึ่งตัวที่เริ่มคือ “จิต” ของเรา วันดีๆ ในวันนี้ หากทุกท่านศรัทธาของตัวเอง ยอมรับตัวเองว่าเราก็สามารถจะคิดดีได้ ทำดีได้ ซึ่งเมื่อเกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว ตัวศรัทธาและจิตดังกล่าวจะพาเราไปสู่ “ชัยมงคล” ในที่สุด ขออวยพรให้ทุกท่านได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ ในวันนี้ วันดี วันวิสาขบูชา นะครับ