ผมตื่นขึ้นมาเวลาประมาณ
๐๕.๐๐ น. ของเช้าวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ณ บ้านเลขที่ ๖๐๘ หมู่ ๒ ต.สระคู
อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของพ่อผมเอง สายตามองไปเห็นหนังสือ “UbonRajathanee
University พัฒนาความรู้
มุ่งสู่ปัญญา”วางอยู่บนโต๊ะในห้องนอน
ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่แวบหนึ่งจำได้ว่าหนังสือนี้เป็น
Diary ประจำปีของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ท่าน ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ
อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในขณะนั้น ( พ.ศ. 2549) ได้มอบนโยบายให้ผมซึ่งตอนนั้นถูกสมมติให้ดำรงตำแหน่ง “รองอธิการบดีฝ่ายวางแผน” จัดทำ
Diary แจกผู้บริหารและบุคลากรมหาวิทยาลัย และอื่นๆ
โดยภายใน Diary ดังกล่าวจะมีโครงสร้างการบริหารมหาวิทยาลัยคณะ/สำนัก/หน่วยงาน ข้อมูลประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย ข้อมูลคณะ/ภาควิชา/สาชาวิชา/หลักสูตรต่างๆ รูปภาพกรรมการสภามหาวิทยาลัยประกอบไปด้วยท่านใดบ้าง
ยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และที่สำคัญคือ มีชื่อโครงการต่างๆ
ที่มหาวิทยาลัยจะต้องดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งบอกรายละเอียดว่า
ชื่อโครงการอะไร จัดดำเนินการที่ไหน เวลาใด ใครรับผิดชอบ โดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็น Diary ที่สมบูรณ์และมีประโยชน์อย่างยิ่ง
(หลายๆ
ท่านอาจจะสงสัยว่าชื่อภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีผมพิมพ์ผิดหรือเปล่า
ไม่ผิดหรอกครับ เพราะตอนนั้นท่าน ศ.ดร.ประกอบ วิโรจนกูฏ ท่านได้เคยบอกว่า
“เมืองอุบลฯ” เป็น “ราชธานี” หนึ่งเดียวในสยาม เป็นเมืองของพระราชา การใช้ว่า “Ratchathani”
ไม่น่าจะมีความหมายใดๆแต่ควรจะได้ว่า “Rajathanee”
ซึ่งก็เหมือนกันมหาวิทยาลัยราชภัฏต่างๆ ที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “.... Rajabhat
University”)
ขอวกกลับมาครับ
จะได้เข้าเรื่องนะครับ เมื่อเห็น Diary ดังกล่าวแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
อาจจะเป็นเพราะผมคงจะหยิบมาแล้วนำมาไว้ที่บ้านของพ่อและคงลืมไว้ไม่ได้ใช้
เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว
ที่นี่
เลยลองเปิดดูข้างใน Diary ก็เห็นว่ารายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารมหาวิทยาลัยคณะ/สำนัก/หน่วยงาน ข้อมูลประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย ข้อมูลคณะ/ภาควิชา/สาชาวิชา/หลักสูตรต่างๆ คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยเมื่อก่อนโน้นเป็นท่านใดบ้าง ยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นอย่างไรบ้าง โครงการต่างๆ ที่สำคัญของมหาวิทยาลัยที่จะดำเนินการในปี พ.ศ.2549 ดังตัวอย่างข้างล่างนี้
ดู Diary เริ่มต้นเดือนมกราคม
2549 ก็ว่างเปล่าไม่มีอะไร ครับ ตามนี้
แต่พอเปิดไปหน้าสุดท้ายเท่านั้นแหละครับ
เป็นสิ่งที่ผมเห็นแล้วต้องบอกว่า “ตกใจเล็กน้อย” แต่เมื่ออ่านแล้ว ต้องขอบอกว่า
“ดีใจที่สุด” ครับ เพราะเป็นบันทึกที่เป็นลายมือของพ่อผมเอง
คือ “คุณพ่ออ้วน ศรีวิรัตน์” ดังนี้ ครับ
เมื่อผมได้อ่านแล้ว
ผมก็เก็บไว้เหมือนเดิมวางไว้เหมือนเดิมทุกอย่าง และไม่ได้บอกพ่อเหมือนว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่อดไม่ได้คือ
จะต้องเขียนบันทึกเรื่องราวดีๆ แบบนี้ไว้ เพื่ออย่างน้อยที่สุดจะได้จัดส่งผ่าน Social
Media ให้พี่สาวคนโต คือ พี่มะลิวัลย์ ทีงาม
ที่อยู่จังหวัดระยองได้มีโอกาสได้อ่าน และพี่สาวอีกท่านคือ พี่ทองลิ้ม อันโน
ได้อ่าน
เมื่อพ่อผมได้บันทึกเรื่องดังกล่าวข้างต้นไว้แล้ว
แสดงให้เห็นว่าท่านได้เตรียมตัวตายเอาไว้แล้วเช่นกัน
ซึ่งก็คงเกิดจากอานิสงฆ์ที่ท่านได้ทำบุญต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการถวายพระประธานให้วัดต่างๆ เป็นจำนวนกว่า ๙ วัด ได้อ่านหนังสือธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“หนังสือของท่านหลวงพ่อจรัญ” ในฐานะที่ผมเป็นลูก
ผมดีใจในผลบุญกุศลที่พ่อได้ทำไว้ อย่างน้อยที่สุด เมื่อพ่อเตรียมตัวตายไว้
พ่อก็ไม่เป็นทุกข์จะคอยห่วงว่าการเจ็บป่วยจะเป็นอย่างไร
เพราะมันเป็นทุกข์แทบทั้งสิ้น โดยครั้งหนึ่งในปีที่ผ่านมาพ่อผมเคยกล่าวไว้ว่า
“เวลาตายก็ขอเพียงให้หลับตาแล้วก็ไปเลย เท่านั้นก็พอ”
และเช่นเดียวกัน ผมก็ได้เตรียมหนังสือที่แจกในงานศพของพ่อไว้เช่นกัน
และหนังสือเล่มนี้พ่อได้อ่านแล้ว และท่านยังบอกว่า “ดีเหมือนกันที่ได้อ่านก่อนตาย
เพราะหากตายไปก็ไม่ได้อ่าน” หนังสือเล่มนี้คงจะอีกนานกว่าจะได้พิมพ์
เพราะพ่อผมบอกว่าในเมื่อเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ดก็อยากจะมีอายุอย่างน้อย ๑๐๑ ปี
(ขณะ พ.ศ. ๒๕๕๗ พ่ออายุ ๘๗ ปี คงจะต้องรอไปก่อนนะครับสำหรับหนังสือ)
นับได้ว่า
“บันทึกของพ่อ” ทำให้ได้ข้อคิดว่า
๑. การตายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
แต่จะทำอย่างไรที่จะต้องทำให้เกิดความสุขที่ใจ คือ การเตรียมตัวตายนั้นเอง
๒.การตายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ทุกข์เลย
หากว่าเรากำหนดจิตไว้ก่อนว่าต้องการตายแบบเป็นสุข
ดังนั้น ก็เป็นธรรมเนียมของผมที่จะต้องแต่งกลอนประกอบเพื่อให้การบันทึกครั้งนี้มีความสมบูรณ์
เมื่อเตรียมตัวต้องตาย
ไม่เสียดายให้เป็นทุกข์
บางครั้งตายเป็นสุข
หมดสิ้นทุกข์พร้อมจะไป
การตายไม่รู้วัน
รู้เท่าทันให้เข้าใจ
ทุกอย่างเตรียมตัวไป
อยู่ที่ใจของเราเอง
ตายไปเพื่อเกิดใหม่
หากจิตใจไม่กลัวเกรง
จิตเรากำหนดเอง
กำหนดเพ่งไปทางใด
ทางไปมีหลายอย่าง
หาหนทางไปให้ได้
ความสุขอยู่ที่ใจ
ฝึกลองไปได้ทุกคน
กำหนดให้รู้จิต
สร้างนิมิตในกมล
ตายไปจะหลุดพ้น
ไม่เป็นคนอีกต่อไป
เป้าหมายคือนิพพาน
ไม่ช้านานคงต้องไป
ชาตินี้หรือชาติใหม่
ขอสุขใจนิพพานเอย
อจต.
บันทึกไว้เมื่อวันที่
๗ มิถุนายน ๒๕๕๗
เวลา ๐๕.๐๕ – ๐๕.๕๑ น.
ฟังหรืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อผมได้ที่
Link ต่อไปนี้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น