Nuffnang Ads

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปลง

ท่านเคยรู้สึกปลงหรือไม่ ปลง เป็นสิ่งที่หลายๆ ท่านไม่ต้องการอย่างแน่แท้ที่เดียว เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้บางอย่าง แต่วันนี้ ผู้เขียนยอยากจะขยายคำว่า ปลง ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปลงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการของมนุษย์เรา เพราะมันจะเป็นอาการที่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้มันช่างไม่โสภาเอาเสียเลย ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในบางเรื่อง บางเรื่องเราก็ขึ้นเอง บางเรื่องคนอื่นก่อไว้ก็เป็นได้
นักเรียนหลายคนที่สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในคณะที่ตัวเองตั้งใจไว้ อาจจะเสียใจ ผิดหวัง ไม่อยากจะเรียน ผู้ที่สำเร็จการศึกษาสอบเข้าทำงานไม่ได้ รู้สึกผิดหวัง หมดหวัง ไม่อยากจะหางานอีกต่อไป พ่อแม่รู้สึกเสียใจและผิดหวังที่ลูกของตัวเองสอบไม่ได้ที่ 1 ของโรงเรียน ประชาชนรู้สึกผิดหวังของหน่วยงานราชการที่ให้บริการไม่ประทับใจ นั้นเป็นตัวอย่างของความผิดหวัง เสียใจ เศร้าใจ ซึ่งหากเราทำอะไรไม่ได้ เราจะรู้สึก ปลง น่าจะดีกว่า
ปลง มาจาก 3 ตัวอักษร คือ ป.ปลา ล.ลิง และ ง.งู ทั้งสามตัวอักษรนั้นเป็นสัตว์ทั้งหมดเลยไม่ว่าปลาที่อยู่ในน้ำ ลิงที่โลดโพนในป่า และงูเป็นสัตว์มนุษย์เรากลัวเพราะเป็นสัตว์ที่มีพิษ
ที่นี้มาลองดูความหมายของแต่ละตัวอักษรเล่นๆ เผื่อว่าจะมีประโยชน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลง
ป. ปลา น่าจะหมายถึง ปรับตัวเองให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง
ล.ลิง น่าจะหมายถึง ลดความอยากได้ความต้องการของตัวเองให้เหมาะสมกับความเป็นจริง
ง.งู น่าจะหมายถึง งดในสิ่งที่ทำให้เราเกิดทุกข์
ดังนั้น ถ้านำอักษรสามตัวข้างต้นและความหมายมารวมกัน เป็น ปลง น่าจะหมายถึง เราต้องปรับตัวเองและลดความอยากของตัวเองให้เหมาะสมกับความเป็นจริง เพื่อให้สามารถงดในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์
บางครั้งเมื่อเราผิดหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราอาจจะมีความรู้สึกว่า ปลง และเป็นทุกข์ ดังนั้น เราอย่าให้ความรู้สึกปลงอย่างนั้น เราลองมา ปลง ตามความหมายที่ผู้เขียนได้นำเสนอข้างต้นจะดีหรือไม่ คือ เมื่อผิดหวังเรื่องใดๆ เรา ปลง คือ ปรับทบทวนตัวเอง ลดความต้องการที่มีกับเรื่องที่ผิดหวัง และพยายามงดไม่ให้เกิดความผิดหวังในเรื่องนั้นอีก

อย่างไรก็ดี เวลาเราปลงเรื่องอะไรก็ตามแต่เรามักจะอ่อนล้าเหนื่อยทั้งกายและใจกับเรื่องนั้น การปลงบางครั้งอาจจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากเราได้ทบทวนตัวเอง เราได้ลดในความต้องการที่ผิดหวัง และพยายามงดไม่ทำอีกให้ได้ ย่อมจะทำให้เราเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ทำให้เราแข็งแกร่ง และที่สำคัญในอนาคต หากจะมีเรื่องใดๆ เข้ามาก็ตามแต่จะทำให้เราสามารถปลงได้อย่างมีความสุข
หลายๆ ครั้งที่เราจะต้องปลงกับบางเรื่องในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องในครอบครัวและเรื่องที่ทำงาน บางท่านหาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ดังนั้น รับรองได้เลยว่าเมื่อท่านรู้สึกผิดหวัง หมดหวัง หดหู่ ท้อแท้ ไม่มีหนทางแก้ไข ท่านลองมาปลงแบบที่ผู้เขียนได้นำเสนอลองดูนะครับ บางครั้งท่านอาจจะสามารถคลายทุกข์ หมดทุกข์กับเรื่องที่ท่านปลงอยู่ก็ได้นะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์

บริจาค

เมื่อหลายวันก่อนผู้นำรัฐบาลของเราได้พูดถึงการรับบริจาคความคิดเห็น ผู้เขียนก็เกิดความรู้สึกว่าอยากจะบริจาคความคิดเห็นเหมือนกัน แต่สิ่งที่ผู้เขียนยังไม่เข้าใจหรืออาจจะเข้าใจผิด ก็คือว่า การบริจาคแท้จริง คืออะไรกันแน่ ที่ผู้เขียนรู้และเข้าใจผ่านมา นั้น บริจาค คือ สิ่งที่เราต้องการให้คนอื่นๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยากจะให้ เพื่อให้คนอื่นที่เดือนร้อนนำสิ่งที่เราบริจาคไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ผู้บริจาคจะไม่สนใจว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนหรือไม่ประการใดจากการบริจาคนั้นๆ
ผู้เขียนได้บริจาคโลหิตมาแล้วจำนวน 38 ครั้ง โดยตั้งใจว่าจะบริจาคไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ หลายครั้งที่ผ่านมาผู้เขียนได้บริจาคเกร็ดเลือด (ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณครั้งละ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง และที่สำคัญคือ การบริจาคเกร็ดเลือดสามารถบริจาคได้ทุกเดือน มีบางครั้งที่โรงพยาบาลโทรศัพท์มาเรียกให้ไปบริจาคเกร็ดเลือด) เนื่องจากมีผู้ป่วยต้องการเลือดอย่างเร่งด่วน ทุกครั้งที่บริจาคโลหิตมีความรู้สึกที่ดีมากเพราะเราบริจาคด้วยความบริสุทธิ์ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ แทบทั้งสิ้น จะเห็นว่าการบริจาคโลหิตดังกล่าวผู้รับบริจาคได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
การบริจาค เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นการให้ที่เป็นบุญกุศล การที่เรามีสิ่งของอยู่กับตัวเราแล้วไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แต่ถ้าหากเรานำไปบริจาคให้กับผู้คนที่เขาต้องการใช้ในสิ่งนั้นๆ (ผู้ให้บริจาคก็ได้รับประโยชน์ คือ สิ่งของที่มีอยู่ไม่รกบ้าน ในกรณีบริจาคเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ) ผู้ได้รับบริจาคก็ได้รับประโยชน์ ตัวอย่างการบริจาคที่ง่ายๆ คือ ถ้าท่านใดมีหนังสือตำราวิชาการที่ท่านเองเก็บไว้ท่านไม่ได้ใช้ประโยชน์ ท่านสามารถนำไปบริจาคให้คนอื่นๆ เขาได้อ่าน เขาได้เรียนรู้ การบริจาคแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะความรู้จากตำราจากหนังสือต่างๆ จะช่วยให้ผู้รับบริจาคสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ
ที่ผ่านมาในชีวิตหลายๆ ท่านเคยบริจาคทานอย่างแน่นอนอาจจะไม่มากก็น้อยแล้วแต่ปัจจัยของเราที่มีอยู่ หลายท่านๆ เคยได้รับสิ่งของที่บริจาค เราจะเห็นว่าการบริจาคนั้นเกิดขึ้นเมื่อเกิดความเดือดร้อนกับกลุ่มคนที่ได้รับประสบภัยในด้านต่างๆ แน่นอนครับ คนที่มีกำลังทรัพย์จำนวนมาก ควรที่จะบริจาคให้คนที่เดือดร้อนเหล่านั้น เพราะการที่เราต่างช่วยกับบริจาคดังกล่าวจะทำให้เพื่อนมนุษย์ของเราได้บรรเทาผ่อนคลายความเดือดร้อนลงไปได้ ถึงแม้ว่าการบริจาคอาจจะยังไม่เพียงพอก็ตาม แต่เชื่อว่าสิ่งของที่เขาได้รับ ปัจจัยต่างๆ ที่เขาได้รับ จะทำให้พวกเขาคลายทุกข์ลงไปบ้าง หมดทุกข์ลงไปบ้าง
การบริจาคความคิดตามข้างต้นที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำนั้น ถ้าหากเราบริจาคความคิดไปแล้ว ผู้รับบริจาคผู้ที่รวบรวมความคิดไม่ได้นำไปใช้ ผู้เขียนคิดว่าไม่น่าจะเข้าข่ายหรือเป็นการบริจาค เพราะอย่าลืมว่าผู้รับบริจาคสิ่งใดๆ ก็ตามแต่จะต้องนำสิ่งที่เราบริจาคนั้น ไปใช้ ไปก่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป ถึงจะเรียกว่า บริจาคอย่างแท้จริง (และผู้บริจาคก็ควรให้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น)
ที่นี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนสามารถที่จะบริจาคได้ คือ การบริจาคเวลาในการทำงานให้มากที่สุด ครับ เวลาในการทำงานของแต่ละท่านในแต่ละวันมีความเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครได้รับมากได้รับน้อยกว่ากัน เพียงแต่เราจะทำอย่างไรที่เราจะบริจาคเวลาในการทำงานให้กับองค์กรของเราให้ได้มากที่สุด ความหมายก็คือว่า เราต้องตั้งใจในการทำงานใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด เมื่อเราบริจาคเวลาดังกล่าวแล้ว ถามว่าใครได้รับประโยชน์ แน่นอน ครับ องค์กรของเรา หน่วยงานของเราได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน
นอกจากการบริจาคเวลาแล้ว ถ้าหากสามารถบริจาคความรักให้เพื่อนร่วมงานเของเราโดยไม่ได้หวังผลอะไร เพื่อนๆ ร่วมงานของเราได้รับความรัก ต่างคนต่างได้ความรักซึ่งกันและกัน องค์กรของเราหน่วยงานของเรา ก็มีแต่ความรักกัน สามัคคีกัน เมื่อนั้น ความสุขก็ตามมา ดังนั้น เรามาช่วยกัน บริจาค ตั้งแต่วันนี้ร่วมกัน เพื่อให้เราทุกคนได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ ที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญ คือ สิ่งใดที่อยู่กับตัวเราแล้วไม่เกิดประโยชน์ เรามาลองบริจาคให้คนอื่นเพื่อเขาจะได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป หากเป็นเช่นนี้แล้ว สังคมไทยของเราก็จะร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ผู้มีจิตศรัทธา มีแต่ผู้มีเมตตา ในการบริจาคตลอดกาล
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยิ่งตาม ยิ่งไม่เจอ

ท่านเคยตามหาอะไรหรือเปล่าในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ตามหาความต้องการ ตามหาความสำเร็จ ตามหาสิ่งสำคัญในชีวิตของท่าน การตามหาอะไรก็ตามแต่ จะต้องมีเป้าหมายที่จะตาม เพราะหากไม่มีเป้าหมายแล้วย่อมทำให้เราไม่สามารถตามสิ่งที่ต้องการเจออย่างแน่นอน

ผู้เขียนก็เคยตามบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน คือ เคยตามว่าสิ่งที่เรารักเมื่อไรจะประสบความสำเร็จเสียที่ ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนรักที่ว่านั่นคือ ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งในลีกของประเทศอังกฤษ การตามที่ว่า คือ เราจะค่อยติดตามข่าว ดูข่าว ให้กำลังใจ (หรือที่เรียกว่า เชียร์) เวลาทีมฟุตบอลนั้นลงแข่งขัน หากปีนี้ไม่สำเร็จได้แชมป์ เราก็ต้องรอให้ถึงปีหน้าปีถัดไป เพื่อรอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง การตามที่ว่า นั้นคือ ตามหาความสำเร็จในการเป็นแชมป์

ประเทศไทยของเรา เชื่อได้เลยว่า เราคนไทยทุกคน ต้องการตามหาความสำเร็จของประเทในทุกๆ ด้าน เราตามหาว่าฟุตบอลทีมชายไทยของเราเมื่อไรจะได้มีโอกาสไปบอลโลก เราตามหาว่าประเทศไทยของเราเมื่อไรจะสงบจะมีความเจริญเท่าเทียมประเทศอื่นๆ ที่เขาพัฒนาแล้ว แน่นอนครับ เป็นสิ่งที่เราคนไทยทุกคนจะต้องตาม ซึ่งในสภาพปัจจุบันจะเห็นว่าเรายิ่งตาม ยิ่งไม่เจอกับความสำเร็จดังกล่าว (อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในอนาคต เราจะตามให้เจอ)

แต่สิ่งที่จะกล่าวในวันนี้ คือ การยิ่งตาม ยิ่งไม่เจอ แล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ (ผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่เช่นกัน) ยิ่งเราตามหาความต้องการของจิตใจของเราว่าเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตนี้ ยิ่งนั่งคิดนอนคิด ก็ยังไม่เข้าใจ ยิ่งหาไม่เจอ ว่าเป็นอะไรกันแน่ หลายๆ ท่านอาจจะทราบว่าตัวท่านเองกำลังตามหาอะไรอยู่ ยิ่งท่านตาม บางครั้งก็อาจจะเจอ บางท่านก็อาจจะไม่เจอก็ได้ หากยิ่งตามแล้วยิ่งไม่เจอ จะทำให้เกิดความทุกข์เป็นอย่างมากทุกข์ใจร้อนใจว่าจะทำอย่างไรที่จะเจอสิ่งที่เราต้องการ

แน่นอนครับ บางสิ่งที่เรายิ่งตาม แล้วไม่เจอ นั้น บางครั้งสิ่งที่เราตามอยู่นั้น อาจจะเป็นเป้าหมายสิ่งที่เราต้องการ มีความเป็นไปได้น้อยมาก มีความยากมาก ซึ่งอาจจะแสดงว่า เป้าหมายของเราที่กำหนดนั้น "ไม่เหมาะสมกับเรา" แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะให้ มีเป้าหมายที่เหมาะสมกับเรา วิธีการอย่างหนึ่งที่ทำได้ คือ การมองทางสายกลาง ไม่สูงมากไป ไม่ต่ำมากไป เมื่อได้เป้าหมายอย่างนั้นแล้ว เรายิ่งตามเท่าไร แน่นอนเราจะต้องเจออย่างหลีกหนีไม่พ้น

ยิ่งตาม แล้วไม่เจอ นั้น คือ ความรู้สึกที่แท้จริงของเราในชีวิตที่เราจะต้องหาให้ได้ว่า เราต้องการอะไรกันแน่ เราต้องการอะไรในชีวิตที่สุด ผู้เขียนคิดว่า เป็นเรื่องที่ยาก ยิ่งตามหา ยิ่งจะไม่เจอ อย่างไรก็ดี ถ้าหาก เรามาลองทำใจ ทำสติให้อยู่กับทางสายกลาง ความเป็นไปได้ที่เหมาะสมกับตัวของเรา สิ่งที่เราตามหาอยู่นั้น เราอาจจะเจอในวันหนึ่งวันใดก็ได้

วันนี้ หากเราจะตามอะไรก็แล้ว ถ้าหากเรามีความตั้งใจอย่างแท้จริง เรายิ่งตาม รับรองได้เลยว่าเราจะต้องเจอสิ่งที่เราตามอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม หากเราตามอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากเราไม่มีความจริงใจตั้งใจในการตามหา รับรองได้เลยว่า ยิ่งตาม จะยิ่งไม่เจอ ดังนั้น เรามาเริ่มต้น สำหรับ คำที่ว่า ยิ่งตาม ยิ่งจะเจอ กันเถอะครับ

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความผูกพัน

ความผูกพัน เป็นการบ่งบอกถึงความสัมพันธ์กันอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนมีความเข้าใจว่า ผูก เป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยวัสดุใดก็แล้วแต่ทำให้สิ่งตั้งแต่สองสิ่งวัตถุตั้งแต่สองวัตถุขึ้นไปมีความใกล้ชิดติดกัน ส่วน พัน น่าจะหมายถึงการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำทำให้สิ่งตั้งแต่สองสิ่งวัตถุตั้งแต่สองวัถตุที่ผูกกันอยู่นั้นมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งๆ ขึ้น เพราะโดยส่วนมากเราจะใช้คำว่า พัน หมายถึงการกระทำที่รอบๆ ซ้ำๆ ดังนั้น ผูกพัน คือการกระทำที่คงน่าจะหมายถึงการทำให้สิ่งตั้งแต่สองสิ่ง วัตถุตั้งแต่สองวัตถุ คนตั้งแต่สองคนขึ้นไป มีความเชื่อมกันติดต่อกันโดยมีความใกล้ชิดแน่กันมากๆ
ความผูกพัน วันนี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประกอบ เนื่องจากผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่โรงเรียน ภปร. ราชวิทยาลัย หรือ King's college (เป็นโรงเรียนประจำ) ซึ่งผู้เขียนได้ยินผู้ปกครองท่านหนึ่ง (ซึ่งเคยเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนแห่งนี้) ได้บอกลูกชายว่า "พ่อมีความผูกพันกับแห่งนี้ พ่อต้องการให้ลูกเป็นอย่างพ่อ คือ ได้รับแต่สิ่งดีๆ จากโรงเรียนแห่งนี้ พ่อมีความผูกพันกับโรงเรียนแห่งนี้เป็นอย่างมาก"
จะเห็นว่าความผูกพันทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในกิจกรรม ในการปฏิบัติงาน ในการดำเนินการใดๆ ขององค์กร ถ้าหากคนในองค์กรคนมีความรู้สึกผูกพันกับอาคารสถานที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านของตัวเอง รับรองได้ว่าทุกคนจะร่วมกันรักษาใช้อาคารอย่างทะนุถนอมใส่ใจในเรื่องต่างๆ ของอาคาร ถ้าหากคนในองค์กรมีความผูกพันกันระหว่างผู้ร่วมงานมีความรักเปรียบเสมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน รับรองได้ว่าเราทุกคนจะเป็นญาติกันถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ญาติกันโดยสายเลือด แต่ความผูกพันกันดังกล่าวจะทำให้เราใกล้ชิดกันมากยิ่งๆ ขึ้น
อย่างไรก็ดี ความผูกพันนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องกระทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ จิตใจที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ในการสร้างความผูกพัน
ความผูกพันกับสถานที่ จะทำให้เราเฝ้ามองดูสถานที่แห่งนั้นว่าจะเป็นอย่างไร เช่น ถ้าหากเรามีความผูกพันกับมหาวิทยาลัยที่เราสำเร็จการศึกษา เราก็จะติดตามเฝ้ามองความเจริญก้าวหน้า ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมหาวิทยาลัยของเรา ถ้าหากเรามีความผูกพันกับลูกๆ หลานๆ (แน่นอน คุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน ย่อมมีความผูกพันเป็นอย่างมากกับลูกๆ ) ก็จะค่อยส่งเสริมพัฒนาในทุกๆ ด้านให้กับลูกๆ หลานๆ เพื่อต้องการเห็นความเจริญก้าวหน้าในการเรียน ในการอาชีพ เป็นต้น
ที่นี้เราจะทำอย่างไรที่จะให้ความผูกพันมีความมั่นคงแข็งแรง ให้มีความผูกพันกันมากยิ่งๆ ขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะกระทำได้เป็นอย่างง่ายและง่ายที่สุด ไม่ต้องลงทุนลงแรงใช้งบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลในการทำให้มีความผูกพันมากยิ่งขึ้น นั้นคือ การใช้จิต โดยเฉพาะจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่เป็นผู้ให้ ความหมายคือ หากเราต้องการให้มีความผูกพันกับสิ่งใดๆ ให้มาก เราเพียงใช้จิตของเราสั่งบอกว่า เรารักสิ่งนั้นๆ เราต้องการให้สิ่งนั้นๆ ได้รับเรื่องดีๆ ได้รับแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สิ่ง ซึ่งแน่นอน เราจะต้องฝึกครับท่าน
ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรามาฝึกจิตให้มีความผูกพันกับสิ่งที่เรารัก
เรารักประเทศไทย เราก็ใช้จิตสั่งว่าเราจะทำแต่สิ่งดีๆ สำหรับประเทศของเรา
เรารักโรงเรียนของเรา เราก็ใช้จิตสั่งว่าเราจะทำทุกอย่างที่ดีๆ เพื่อโรงเรียนของเรา
เรารักมหาวิทยาลัยของเรา เราก็ใช้จิตสั่งว่าเราจะทำแต่เรื่องดีๆ เพื่อให้มหาวิทยาลัยเจริญ
เรารัก .............................. เราก็ใช้จิตสั่งว่าเราจะ.....................เพื่อให้..........................
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนคิดว่าเรามาผูกพันกันเถอะครับ แล้วโลกของเราจะมีแต่ความสุข
มนูญ ศรีวิรัตน์

หิว

ความหิวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่เกิดโลกใบนี้ขึ้นมา ความหิวเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความต้องการที่มนุษย์ใฝ่หา แต่โดยส่วนมากความหิว มักจะถูกใช้กับความหิวในเรื่องของอาหาร ความหิวนี้แหละที่เป็นต้นเหตุให้มนุษย์ทุกคนๆ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อบรรเทาความหิว บางครั้งบางคนอาจจะเกิดความหิวอย่างมากโดยทำให้ไม่มีสติยั้งคิด เหมือนกับนิยายของคนอีสานที่จังหวัดยโสธร เรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ซึ่งเป็นที่ลูกชายเกิดความหิวอย่างมากมาย รอแม่เอาอาหารมาให้ เมื่อแม่มาไม่ตรงเวลามาช้ากว่าที่กำหนดไว้ ก็เกิดบันดาลโทสะฆ่าแม่ของตัวเอง แล้วก็นั่งกินข้าวที่แม่ได้จัดเตรียมหามาให้ เมื่อลูกชายได้กินข้าวแล้วก็ความหิวก็ลดลงและหายไปในที่สุด แต่เขาต้องเสียใจกับการกระทำของเขาที่เกิดจากการที่ไม่สามารถยับยั้ง ไม่มีสติ และสิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นไม่สามารถเรียกชีวิตของแม่กลับคืนมาได้ นั้นเป็นตัวอย่างที่เป็นโทษของความหิว แล้วเกิดความไม่มีสติ กระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ และไม่สามารถเรียกกลับคืนความเสียหายนั้นได้
ความหิว เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ หากไม่ได้กิน ไม่ได้รับ ความหิวก็ยังคงอยู่ ดังนั้น เราจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ความหิวมันลดน้อยถอยลง แน่นอนความหิวเป็นสิ่งที่ยากให้หายไปได้ แต่เราสามารถทำให้ไม่เป็นทุกข์จากความหิวได้ โดยการทำใจเย็นๆ เพื่อให้เกิดสติ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าถึงแม้จะยังไม่มีอะไรจะกิน เพราะก็คงจะต้องหาหนทางบรรเทาความหิวนั้นลงไปได้
แต่ความหิวที่ผู้เขียนจะได้นำเสนอต่อไป เป็นความหิว ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร แต่มันเป็นความหิวของ ความอยากได้ ความหิวของความอยากจะมี ความหิวของการอยากเป็นเจ้าของในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เราหิวเพราะมีความรู้สึกว่า "ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" เท่านั้น ดังนั้น เพียงแต่ว่าเราฝึกปฏิบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอว่าให้มี สติ ในทุกอริยบทว่าเราทำอะไรอยู่ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ที่ท่านได้สั่งสอนบอกวิธีการปฏิบัติว่า ให้มีสติ ให้รู้ กับการกระทำของร่างกายเราอยู่ทุกขณะเวลานั้นเอง
เรามาช่วยกันขจัดความหิว หยุดความหิวในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ในเรื่องที่ไม่มีคุณค่าทั้งด้านจิตใจและวัตถุ ตั้งแต่วันนี้กันเถอะครับ เมื่อไม่มีความหิวแล้ว ความทุกข์ก็คงจะไม่เกิดขึ้น และในที่สุดทุกท่านที่ฝึกปฏิบัติได้ก็คงจะประสบพบแต่ความสุข
มนูญ ศรีวิรัตน์

ถึงเป็นผู้ชนะ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ก็ไร้ซึ่งประโยชน์

ผู้เขียนได้ดูภาพยนต์ย้อนอดีตเรื่องหนึ่ง รู้สึกว่าพระเอกเป็นคุณสมบัติ และนางเอกคือ คุณมยุรา น่าจะเป็นภาพยนต์สักประมาณ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา แต่ที่ประทับใจคำพูดของนางเอกในเรื่อง ที่ได้พูดในบ้างช่วงบางตอนว่า "ถึงเป็นผู้ชนะ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ก็ไร้ซึ่งประโยชน์" ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกเลยว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับสังคมไทยในปัจจุบันที่ควรจะต้องมาทบทวนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันพัฒนา ประเทศชาติร่วมกัน
นั้นเป็นเรื่องของคำพูดที่นางเอกได้พูดไว้ แล้วความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรละครับ
ผู้เขียนขออนุญาตชี้ให้ท่านเห็น โดยท่านลองนึกดูนะครับว่าในปัจจุบันมีหลายๆ บริษัทที่มีผลกำไรแล้วนำผลกำไรกลับคืนสู่สังคม ทำประโยชน์ต่อสังคม ที่ภาษาอังกฤษเราอาจจะเคยได้ยินคำว่า CSR(Corporate Social Responsibility ) นั้นหมายความว่า บริษัทเหล่านั้น เป็นผู้ชนะในทางธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งสังคมรอบข้าง ยิ่งให้ความสำคัญต่อประโยชน์ส่วนร่วม เช่น บริษัทโตโยต้าประเทศไทย มีโครงการปลูกป่าทั่วประเทศ บริษัทฮอนด้าประเทศไทย มีโครงการสร้างสีเขียวให้กับประเทศไทย เป็นต้น
ถ้าหากผู้ชนะในทางธุรกิจ มีผลกำไรมหาศาลหรืออาจจะไม่มหาศาลก็ได้ ได้เล็งเห็นการสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคม กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ให้คนหมู่มากได้รับประโยชน์ในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น นับได้ว่า เป็น ผู้ชนะ แล้วมีความรับผิดชอบ สร้างประโยชน์ต่อสังคม ทำให้สังคมได้รับแต่ความสุขในทุกๆ ด้าน ทั้งทางด้านรูปธรรม นามธรรม ด้านทางกายภาพ และทางจิตใจ
มีเรื่องสมมติ ที่จะเทียบเคียงให้ผู้อ่านได้แสดงความคิดเห็นร่วมกัน ผู้เขียนขอสมมติและขออนุญาตยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม ดังนี้ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเปิดรับนักศึกษาเป็นจำนวนมาก ทำให้นักศึกษาจะต้องไปอาศัยหอพักภายนอก เนื่องจากหอพักภายในมหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่เพียงพอ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีผลการดำเนินการปฏิบัติที่ผ่านการประเมินจากหน่วยงานประกันคุณภาพ ปรากฏว่ามีผลการประเมินที่อยู่ขั้นมาตรฐานที่ดีมาก มหาวิทยาลัยมีรายได้มากมายไม่ว่าจากค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงการศึกษาที่เกิดจากจำนวนนักศึกษาที่มีมาก งบประมาณแผ่นดินจากรัฐบาล ซึ่งนั้นอาจจะหมายความว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นองค์กรที่ เป็นผู้ชนะด้านอุดมศึกษา แต่ปรากฏว่า นักศึกษาที่จำนวนมากออกไปอยู่หอพักภายนอกมหาวิทยลัย เกิดการก่อสร้างอาคารที่พักรอบบริเวณมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก เกิดปัญหาเรื่องน้ำเสียจากหอพักเอกชน เกิดปัญหาเรื่องแหล่งของอบายมุขการเปิดร้านอาหารรร้านเหล้าที่มอมเมานักศึกษา เกิดปัญหาเรื่องร้านเกมส์คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้สังคมภายนอกของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่น่าอยู่อาศัย ประชาชนคนรอบข้างที่เป็นชาวบ้าน อาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าว จะเห็นว่ามหาวิทยาลัยดังกล่าวชนะในเรื่องการศึกษา แต่ไม่มีความรับผิดชอบต่อปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น อาจจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ไร้ประโยชน์ต่อสังคมก็ได้
เราอยากเห็นองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ถ้าหากเขาคิดว่า เขาเป็นผู้ชนะ ในการดำเนินการใดๆ ก็แล้ว ผู้ชนะในที่นี้ อาจจะเป็นทั้งผลกำไร การดำเนินงานที่ชนะองค์กรอื่นผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ ถ้าหากผู้ชนะดังกล่าว ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ทั้งปัจจุบันและในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ผู้ชนะนั้น ก็ไร้ชึ่งประโยชน์ที่มีต่อพวกเราในสังคม ผู้ชนะดังกล่าว อาจจะเรียกได้ว่า เป็นผู้ชนะที่จอมปลอม เป็นผู้ชนะที่ไม่แท้จริง เป็นผู้ชนะที่เป็นผู้แพ้อย่างแท้จริง วันนี้พวกเรามาเป็นผู้ชนะที่จะเป็นผู้ชนะในวันหน้าและเป็นผู้ชนะตลอดไป ดีกว่าเป็นผู้ชนะในวันนี้แล้วเป็นผู้แพ้ในวันหน้า
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มักง่าย

บางท่านอาจจะสงสัยว่า คำว่า มักง่าย ตกลง มันเป็นภาษาอะไรกัน เพราะคนอีสาน (คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จะใช้คำว่า มัก หมายถึง รัก ชอบ ในสิ่งนั้นๆ เช่น มักอยู่คนเดียว หมายถึง ชอบอยู่คนเดียว ของภาษาไทยทั่วไป ด้วยเหตุนี้ มัก ของ คนอีสาน จะเป็นความรู้สึกที่ดีๆ ต่อสิ่งที่เขาชอบ รักในสิ่งที่เขาต้องการปรารถนา ซึ่งเป็นความรักความชอบด้วยความบริสุทธิ์ใจ

จะเห็นว่า มัก ถ้าหากใช้กับคำอื่นๆ โดยส่วนมากจะถูกใช้เป็นคำนำหน้าคำอื่น เพื่อให้ได้มีความหมายเป็นอย่างอื่น เช่น มักใหญ่ใฝ่สูง มักใจร้อน (แปลว่า ส่วนใหญ่ใจร้อน) เป็นต้น จะเป็นว่าความหมายของ มัก ในลักษณะแบบนี้ จะเป็นส่วนคำที่ขยาย เพื่อบ่งบอกถึง การเป็น ส่วนใหญ่” “ส่วนมาก” “บ่อยๆ(มักจะพบบ่อย)

แต่สำหรับวันนี้ เราจะเอาคำว่า ง่ายมาต่อท้ายคำว่า มักลองดูว่าความหมายจะเป็นอย่างไร ง่าย เป็นสิ่งที่ทุกๆ คน ชอบอย่างแน่นอน เพราะหากทำทุกอย่างแล้วมันง่าย จะทำให้เรามีความสุข มีความปลื้มปิติยินดีในการกระทำ ของง่ายๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบไม่ต้องเสียเวลาในการทำ ปฏิบัติ ในการดำเนินการ เนื่องจาก เมื่อเราทำหรือผ่านสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ ง่ายๆ เราสามารถเดินหน้าต่อไปเพื่อลงมือทำ ลงมือปฏิบัติสิ่งที่อยู่ข้างหน้าที่รอเราอยู่

เมื่อ ง่ายมาต่อท้ายคำว่า มัก กลายเป็น มักง่ายความหมายจะเริ่มเปลี่ยนไปแล้วครับท่าน เพราะถ้าหากเราไปพูดไปบอกใครก็แล้วแต่ว่า มักง่ายเขาคนนั้นอาจจะโกรธให้เราก็ได้ เนื่องจาก คำว่า มักง่ายเป็นลักษณะที่บ่งบอกผู้นั้นว่า เป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องที่กำลังทำ กำลังลงมือทำเอาเสียเลย ปล่อยให้มันผ่านๆ ไปโดยที่ไม่สนใจ คือ ผ่านๆ ก็พอ ส่วนคนที่เป็นผู้บอกคนอื่นว่าเป็นคนมักง่าย เขาอาจจะเป็นผู้มีประสบการณ์ เป็นผู้มีความรู้ เป็นผู้เชี่ยวชาญ เขาถึงจะสามารถบอกทะลุเราได้ว่าเป็นคนมักง่าย

มาถึงตอนนี้ จะเห็นว่าถ้าการทำงานสิ่งใด ปฏิบัติงานสิ่งใดแล้ว เกิดความ มักง่ายก็จะเกิดความเสียหายกับงานนั้นๆ ไม่มากก็น้อย แล้วเราจะแก้ไขความมักง่ายได้อย่างไรกันละครับท่าน แน่นอนสิ่งหนึ่งที่อาจจะช่วยได้คือ เราเองจะต้องมีความตั้งใจขึ้น มีความรอบครอบสูงขึ้น มีสติกับเรื่องที่กระทำอยู่ให้มากยิ่งๆ ขึ้น ซึ่งเมื่อกระทำได้อย่างนั้นแล้วผู้เขียนคิดว่า เราจะไม่เป็นคนมักง่ายอีกอย่างแน่นอนครับ

ง่าย เป็นสิ่งคู่กับ ยาก ดังนั้น อย่าพยายามให้เกิด มักยาก นะครับ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เกิดพวก มักยากแล้ว ก็จะเกิดความยุ่งยากตามมาอย่างอีกมากมายมหาศาล ดังนั้น เรามาลงมือทำ และปฏิบัติงานด้านต่างๆ โดยที่ไม่ให้เกิด มักง่ายหรือ มักยากนั้นคือ การทำงานด้วยความรอบครอบและมีสติ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วเราจะพบแต่ความสุขในการทำงาน

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รอ

รอ เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับใครไม่ว่าตัวเราเองหรือผู้อื่น รอ ทำให้เกิดความสูญเสียในเรื่องของการใช้เวลา ทำให้สูญเสียความรู้สึก ทำให้เกิดความรู้ว่าเมื่อไรจะสิ้นสุดการรอ
จะเห็นว่า ทุกคนล้วนจะเคยรับรู้ว่าความรู้สึกที่เกิดจากการรอ เป็นอย่างไร และผู้ที่ถูกทำให้เรารอก็เกิดความรู้สึกเหมือนกัน (ยกเว้นบางคน อาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้) การรอ ถ้าหากเป็น การรอเก้อ แสดงว่า เรารออะไรสักอย่างแล้วปรากฏว่าสิ่งที่เรารอนั้นเราไม่ได้รับ ไม่ได้พบ ไม่ได้เจอ จะทำให้ผู้ที่รอรู้สึกว่าเกิดการสูญเสียเรื่องเวลาเป็นอย่างมาก สูญเสียความรู้สึก สูญเสียความรู้สึก

นอกจาก การรอเก้อแล้ว บางครั้งเราอาจจะเคยสัมผัสการรออีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า รีรอ ซึ่งจะเป็นอาการอีกแบบหนึ่งที่บ่งบอกถึงการไม่กล้าลงมือทำอะไร ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าที่จะเดินหน้าต่อไป ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะตัวคนเหล่านั้นไม่มีข้อมูล ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ ในเรื่องนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ รีรอ ก็อาจจะไม่ดีในสายตาของใคร่บางคนก็ได้ แล้วเราจะทำอย่างไรดีละครับที่จะไม่ทำให้เกิดทั้ง การรอ และ การรีรอ

สำหรับการรอ นั้น ถ้าหากผู้รอไม่คิดมากก็อาจจะหาอะไรขึ้นมาทำขณะที่รอ เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังเพลง (ร้องเพลงคนเดียว ถ้าทำได้ก็ดี) เป็นต้น ซึ่งการทำแบบนี้เขาเรียกว่า การฆ่าเวลา นั้นคือ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของเวลา เวลาเป็นเรื่องของการสมมติว่า เป็นเวลานาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เท่านั้นเอง เราต้องหาอะไรที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาทำ ส่วนผู้ที่ทำให้คนอื่นๆ รอ สิ่งแรกที่ควรจะต้องทำ คือ การโทรศัพท์บอกคนที่รอ โทรศัพท์บอกไม่ได้จะทำอย่างไรดี ก็ทำได้เช่นกัน คือเมื่อมาถึงหรือมาพบกับคนที่รอ ก็เพียงแต่กล่าวคำ ขอโทษ บอกสาเหตุ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะให้อภัยอย่างแน่นอน

สำหรับการรีรอ นั้น คือ การที่เราไม่แน่ใจไม่มั่นใจ ไม่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ที่จะลงมือปฏิบัติหรือกระทำงานใดๆ จะเห็นว่ารีรอ ทำให้เราเสียโอกาสในบางเรื่อง ถ้าหากเรื่องใดที่จะต้องรีบทำรีบดำเนินการเรามัวแต่รีรอจะเกิดความเสียหายเป็นอย่างมากในเรื่องนั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดความรีรอ อาการรีรอ เราทุกคนควรจะต้องมีข้อมูล มีความใส่ใจ มีความตั้งใจในเรื่องนั้น ซึ่งเมื่อเราฝึกปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ย่อมจะทำให้ไม่เกิดการรีรอ เมื่อไม่รีรอแล้ว ทุกอย่างก็สำเร็จลุ่ล่วงตามระยะเวลาที่กำหนดตามเป้าหมายที่เราได้วางไว้

ดังนั้น มาวันนี้ เรามาช่วยขจัด คำว่า รอ ให้หายไป แล้วรีบลงมือทำโดยทันทีทันใด มารีบกันเถอะครับ

มนูญ ศรีวิรัตน์

การเดินทาง

พระอาทิตย์กำลังจะตกหรือกำลังจะขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นก็ทำให้เราสว่าง พระอาทิตย์ตกก็ทำให้เรามืด จะเห็นว่าเมื่อขึ้นก็ย่อมมีตกเป็นของคู่กันเสมอไม่มีวันเสื่อมคลายและยั่งยืน

แต่ที่จะนำเสนอวันนี้ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ แต่จะเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านเห็นอยู่ข้างหน้าคือ เรื่องของถนนและลูกศรเส้นจราจร เป็นการบ่งบอกว่าเราจะต้องเดินไปข้างหน้า เราจะต้องตรงไป เราจะตั้งใจทำในงานที่ตั้งเป้าหมายปลายทางไว้ชัดเจน เหมือนเรากำลังเดินทางไปตามถนนหนทาง บางครั้งก็เจอถนนดีๆ ก็ทำให้เดินทางด้วยความสะดวกรวดเร็วไร้ซึ่งอุบัติเหตุ แต่ถ้าหากเมื่อใดก็ตามเราต้องเดินทางตามถนนที่ไม่ดี ไม่มีมาตรฐาน อาจจะทำให้เราจะต้องใช้เวลาเดินทางสู่จุดหมายด้วยความลำบาก อย่างไรก็ดี บางครั้งเราเดินทางถ้าหากเราเดินทางผิดเราก็อาจจะต้องย้อนกลับโดยตามลูกศรที่ให้กลับรถได้ ดังนั้น กฎต่างๆ เกี่ยวกับการเดินรถเราจะต้องเคารพและปฏิบัติตามด้วยความเคร่งครัดเพื่อจะได้ทำให้ทุกคนที่เดินทางสามารถถึงเป้าหมายการเดินทางได้อย่างราบรื่น

ชีวิตคนเราก็เหมือนกันถ้าหากเรามีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนมีวิธีการเดินทางของชีวิตมีระเบียบมีกฎการอยู่ร่วมกันในครอบครัวที่ทุกคนปฏิบัติแล้วมีความสุข การเดินทางของชีวิตเราก็ราบรื่นไม่มีปัญหาจะทำให้เราครอบครัวของเรามีแต่ความสุข แต่บางครั้งถ้าหากเรามีปัญหามีอุปสรรคก็จต้องย้อนกลับมาคิดว่าปัญหาหรืออุปสรรคนั้นมีสาเหตุเกิดจากอะไร อะไรที่เป็นต้นเหตุ แล้วค่อยๆ เดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย

การเดินทางที่หลงผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการนั้น บางครั้งคนรอบเข้าหรือคนใกล้ชิดก็ควรให้โอกาสให้อภัยเพื่อให้ก้าวเดินทางใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะการที่เราหลงผิดที่ผ่านมามันเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เราเสียเวลาเท่านั้นเอง เมื่อเรารู้แล้วว่าเราหลงทางเดินผิดเราจะต้องตั้งใจใหม่เดินทางใหม่ และที่สำคัญคือเร่งการเดินทางเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางในเวลาที่เราได้เคยตั้งใจไว้ ตัวอย่างเช่น นักศึกษาใหม่เมื่อเขามาเรียนในระดับอุดมศึกษาอาจจะยังไม่สามารถปรับตัวได้อาจจะเดินทางไปให้ทางที่ไม่ถูกไม่ควรในทางที่ผิด แต่ถ้าหากเขาคิดได้ รู้ได้ว่า เดินทางมาผิดแล้วนะ เขาสามารถที่จะหาที่กลับมาเริ่มต้นในหนทางที่ถูกที่ควรได้

เป้าหมายของการเดินทาง คือ สิ่งที่ทุกคนต้องการ บางท่านบอกว่า เป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน เป้าหมายมีไว้เพื่อไปให้ถึง เป้าหมายมีไว้เพื่อทำให้เรามีความสุข คนเรามีเป้าหมายในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน เพราะมีความชอบความพอใจความอยาก ที่ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายของแต่ละคนอาจจะมากอาจจะน้อยก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน แต่ถ้าหากเรากำหนดเป้าหมายที่เหมาะสมกับเราได้จะทำให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ท่านใดที่มีเป้าหมายสูงๆ เป้าหมายใหญ่ๆ ก็อาจจะต้องใส่สติ ใส่ความตั้งใจจิตใจที่มีพลังอย่างมหาศาลเพิ่มเติม ที่เราเรียกว่า ตั้งสติและจิตใจที่เข้มแข็งแน่วแน่เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่เราต้องการ

ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไรก็แล้วแต่ เราสามารถที่จะหาหนทางที่จะต้องทำให้ไปสู่เป้าหมายเพื่อประสบความสำเร็จได้โดยการเลือกเดินทางไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เปรียบเสมือนการเดินทางในรูปภาพข้างบนที่ท่านเห็น เราไม่สามารถย้อนกลับเหมือนกันกลับรถยนต์ได้ ดังนั้น ขอให้ทุกท่าน ตั้งใจอย่างไปสู่หนทางเป้าหมายปลายทางที่มุ่งหวังไว้นะครับ

มนูญ ศรีวิรัตน์

ไล่

ไล่ เป็นคำที่ใช้คู่กับคำอื่นๆ เพื่อจะได้มีความหมายที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ไล่ล่า เป็น คำหนึ่งที่ใช้สำหรับการที่ผู้อำนาจมากกว่าผู้มีอาวุธพลานุภาพมากกว่าตามหาผู้มีอำนาจน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีอาวุธหรือผู้ไม่มีพลานุภาพน้อยกว่าเพื่อทำลาย เพื่อทำให้สูญสิ้นไป เพื่อทำให้ไม่มีตัวตนในโลกนี้ หรือ เพื่อทำให้สิ้นชีวิต เช่น นายพรานไล่ล่าสัตว์ ตำรวจไล่ล่าโจรร้ายที่ฆ่าคนตาย เป็นต้น จะเห็นว่าไล่ล่าเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดแต่การสูญเสีย ผู้ที่ถูกตามล่าก็เป็นทุกข์เพราะจะต้องค่อยระมัดระวังตัวไม่ให้ถูกล่าได้ ดังนั้น การไล่ล่าจะต้องมีทั้งผู้ไล่ล่าและผู้ถูกไล่ล่า

แต่บางครั้งไล่ อาจจะใช้คู่กับ ออก กลายเป็น ไล่ออก แน่นอนครับ ไล่ออก เป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนาสำหรับผู้ที่ทำงานมีงานเป็นประจำ การไล่ออกจะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องมีเหตุว่ากระทำผิดอย่างร้ายแรงในองค์กรนั้น ผู้บริหารองค์กรนั้นๆ ก็สามารถใช้อำนาจตาม กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกฎหมาย ที่กำหนดไว้ได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ดี หากผู้บริหารใช้อำนาจไม่ถูกไม่ควรกระทำการไล่ออกโดยไม่สมเหตุสมผล ก็พลอยจะทำให้เกิดความเดือดร้อน เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกไล่ออก ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แน่นอนครับถ้าหากเราทำดีปฏิบัติงานดี กระทำในสิ่งที่ชอบ รับรองได้ว่าไม่ม่ใครที่จะใช้อำนาจไล่ออกได้ ยกเว้นแต่ว่าเรานั้นกระทำผิด ปฏิบัติงานไม่ดีไม่ถูกต้องไม่ควร ผู้มีอำนาจก็สามารถย่อมมีสิทธิ์ที่ถูกต้องในการไล่ออก

ไล่ออก อีกแบบหนึ่งที่เราทุกคนรู้จักกันดี คือ ไล่ออก จากการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันกีฬาฟุตบอล กรรมการผู้ตัดสินสามารถไล่นักกีฬาออกได้ถ้าหากเล่นผิดกติกา บางครั้งก็เตือนก่อน แล้วตามด้วยใบเหลือง และให้ใบแดงไล่ออกจากสนามถ้าหากกระทำผิดกติกาอีกครั้ง แต่บางครั้งเราจะเห็นว่ากรรมการผู้ตัดสินก็สามารถให้ใบแดงไล่ออกจากสนามไปเลยจะเกิดขึ้นเมื่อกระทำผิดกติการ้ายแรงจริง ดังนั้น จะเห็นว่าการไล่ออก ไม่ว่าจะเป็นสำหรับผู้ทำงานหรือนักกีฬาต่างๆ ไม่ชอบ ไม่ต้องการเอาเสียเลย แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี เพื่อไม่ให้เกิดการไล่ออกเกิดขึ้น เราทุกคนจะต้องปฏิบัติประพฤติ กระทำ ในสิ่งที่ดีๆ ในสิ่งที่กำหนดไว้ตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกฎหมาย นั้นคือ กระทำแต่ความดี กระทำแต่ความถูกต้องความชอบ

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การไล่ออกจะไม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดหลักคิดง่ายๆ เพื่อไม่ให้เกิดการไล่ คือ จะต้องคิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งกาย วาจา และใจ เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้มีอำนาจก็ไม่สามารถไล่เราออกได้ ไล่ล่าเราได้ ถึงแม้ว่าผู้อำนาจจะไล่เราออก หรือไล่ล่าเรา สักวันหนึ่งไม่เร็วไม่ช้า ความจริงก็ย่อมจะปรากฏให้เห็น และผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดย่อมจะได้รับผลการกระทำอันนั้น ผลกรรมอันนั้นอย่างแน่นอน

มนูญ ศรีวิรัตน์

โชค

หลายๆ ท่านคงจะได้รู้จักคำนี้เป็นอย่างดี เพราะผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนในโลกนี้ล้วนจะต้องประสบกับโชค เพียงแต่ว่าบางท่านอาจจะได้รับโชคดี บางท่านอาจจะได้รับโชคร้าย
โชคถ้าหากเป็นโชคดีแล้วก็ เป็นที่ต้องการของทุกๆ คนไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ทุกชนชาติล้วนต้องการได้รับแต่โชคดี แต่สำหรับโชคร้ายต่างๆ นั้น แน่นอนผู้คนล้วนไม่ต้องการและไม่ต้องการรับรู้รับทราบ
เรากลับมาที่คำว่า โชคดี เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเสมอกับทุกๆ คน และทุกๆ คนอย่างน้อยที่สุดจะต้องมีโชคดีสักหนึ่งอย่างในชีวิตที่เกิดมาจะเป็นโชคดีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็แล้วแต่บุญพาวาสนาที่ได้สะสมกันมาทั้งชาตินี้และชาติที่ผ่านมา บางคนก็ได้รับโชคดีขนาดใหญ่หลายๆ ครั้ง หลายๆ หนในชีวิตนี้ในชาตินี้ ทำให้หลายๆ คนต่างอิจฉาว่าทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้รับโชคขนาดนี้

ส่วนโชคร้ายนั้นตรงกันข้ามผู้คนต่างหลีกหนีห่างไกลไม่ต้องการได้รับ จนบางคนถึงกับเอยปากว่า ทำเวรทำกรรมอะไรไว้ถึงได้โชคร้ายอย่างนี้ ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าโชคร้าย มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเองอย่างแน่นอน มันจะต้องมีที่มาที่ไปของมัน มันจะต้องเป็นอะไรที่ผู้ที่โชคร้ายนั้นได้กระทำมาก่อนในอดีตไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาที่ผ่านมาอันใกล้หรือในช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนาน หากใครทำแต่สิ่งร้ายๆ ที่ผ่านมา คงจะได้รับแต่โชคร้าย เพราะมันเป็นไปตามหลักของพุทธศาสนา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ความเป็นเห็นและผล หากใครทำแต่สิ่งที่ดีๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่จะได้รับจะต้องเป็นไปในสิ่งที่ดีๆ และได้รับแต่โชคดี
บางครั้งการได้รับโชคร้ายนั้น มันอาจจะเป็นชั่วเสี้ยววินาที่ เช่น เรื่องการได้รับอุบัติเหตุ เป็นต้น แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า การมีสติในทุกเสี้ยววินาทีในช่วงของทุกขณะเวลา บางครั้งอาจจะช่วยให้การเกิดอุบัติเหตุน้อยลงหรืออาจจะไม่เกิดขี้นก็ได้ เพราะการที่มีสติในเรื่องต่างๆ ที่เรากระทำลงไปนั้น จะเป็นตัวช่วยกลั่นกรองการกระทำได้เป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะที่ท่านใดหากฝึกปฏบัติในเรื่องการมีสติแล้วจะทำให้ได้รับโชคร้ายน้อยลง การมีสติเป็นการที่ทำให้เราคิดกระทำในสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ถูก สิ่งที่ควร ด้วยเหตุนี้ โชคร้ายอาจจะไม่เกิดขึ้นกับเรา ถ้าหากเรามีสติกระทำแต่ความดีงาม กระทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ กระทำในสิ่งที่ทำให้ผู้คนรอบข้างได้รับแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ และเมื่อโชคร้ายไม่เกิดขึ้นกับเรา
แน่นอนครับโชคดีอาจจะเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง ขอเพียงแต่ทุกท่านมาร่วมกับสะสมความดี กระทำความดีตั้งแต่วินาที กระทำดีต่อบุพการี กระทำดีต่อครูบาอาจารย์ กระทำดีต่อผู้มีพระคุณ กระทำดีต่อแผ่นดินที่ให้เกิดอาศัย แล้ววันนั้นของท่านจะมาถึง แม้ว่าจะไม่มาถึงในชาตินี้ก็ตามแต่ ชาติหน้ามีจริงเราก็ย่อมจะได้รับสิ่งดีๆ โชคดีนั้นๆ อย่างแน่นอน
ดังนั้น โชค เป็นสิ่งที่คนเราต้องการเพียงแต่เป็นโชคดีเท่านั้น โชคดีจะเกิดขึ้นได้ย่อมมีต้นเหตุ มีสาเหตุจากการสะสมความดีงามทั้งทางกายและทางใจที่บริสุทธิ์ เราทุกคนล้วนต้องการได้รับแต่โชคดี โชคดีดูเหมือนจะมีจำนวนจำกัดมีจำนวนไม่มาก แต่เราสามารถทำให้มีจำนวนมากได้ถ้าหากเราต้องการ เรามาเริ่มช่วยกันหาความโชคดีกันเถอะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์

โอกาส

คนดูฟุตบอลทางโทรทัศน์คงจะเคยได้ยินผู้บรรยายได้กล่าวถึงโอกาส บ้างก็ว่า กองหน้าใช้โอกาสเปลื้อง บ้างก็บอกว่ากองหน้าไม่มีโอกาสที่จะยิงประตูเลย จะเป็นว่าโอกาสบางครั้งก็มีมาก บางครั้งก็มีน้อยหรือไม่มีเลย โอกาสนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป ในทุกอาชีพ ทุกสถานที่ ทุกเวลา ไม่เลือกเพศเลือกวัย เพียงแต่จะใช้โอกาสนั้นให้เหมาะสมกับอาชีพ สถานที่ เวลา เพศ วัย ได้อย่างไรถึงจะเกิดประโยชน์มากที่สุด
ทุกคนที่เกิดมาล้วนได้รับโอกาสจากผลบุญที่ได้สะสมมาตั้งแต่หลายๆ ชาติที่ผ่านมา เมื่อเราทุกคนได้รับโอกาสที่ดีที่เกิดมาเป็นคนเกิดเป็นมนุษย์มีความคิดมีความรู้ความสามารถ เราทุกคนควรใช้โอกาสดังกล่าวสร้างโอกาสในเรื่องอื่นๆ ที่เกิดประโยชน์ต่อคนเอง ต่อครอบครับ ต่อคนอื่นๆ ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ
โอกาสนั้นมีอยู่แล้ว อาจจะเรียกว่าได้ โอกาสมันร่องลอยอยู่ในอากาศ เพียงแต่ว่าเราจะไขว่คว้าเอาลงมาได้หรือไม่เท่านั้นเอง การหยิบฉวยโอกาสเป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องตั้งใจ ต้องรู้ว่าเมื่อเราได้โอกาสมาแล้วจะก่อประโยชน์ต่อไปได้อย่างไร
บางท่านอาจเคยกระทำผิด อาจเคยหลงผิด แต่ถ้าหากได้รับโอกาสในการแสดงให้คนอื่นในสังคมได้เคยได้รับรู้ว่าสิ่งที่เรากระทำผิดหลงผิดไปนั้น เป็นเพียงความประมาท ความเลิ่นเลอ ความรู้เท่าไม่ถึงการ ความไม่ตั้งใจ แล้วกลับมาขอโอกาสอีกครั้งในการเริ่มต้นใหม่ และใช้โอกาสดังกล่าวพิสูจน์ตัวเองอย่างตั้งใจ อย่างมีสติ ดั่งคำที่ว่า ขอโอกาสให้ผม ให้ดิฉัน ให้หนู อีกสักครั้งจะได้หรือเปล่า
แน่นอนครับ การขอโอกาสเป็นสิ่งที่ดี ที่เราถ้าหากให้โอกาสใครได้ก็แล้วแต่ควรจะพิจารณาให้เขา เพราะหากโอกาสที่เขาเหล่านั้นได้รับไป เขาก่อประโยชน์ในอนาคตได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่คนที่ได้รับโอกาสก็ควรจะต้องรู้ตัวเองด้วยว่า เราจะต้องเริ่มตั้งใจทำให้ได้ถึงแม้ว่าจะยากเย็นแสนเค็ญเพียงใดเราก็ควรจะต้องใช้โอกาสดังกล่าวด้วยจิตใจที่เข้มแข็งแน่วแน่
เมื่อมาถึงขณะนี้ ถ้าหากท่านใดมีโอกาสในเรื่องหนึ่งเรื่องใดๆ ก็แล้วแต่ ก็ควรจะโอกาสนั้นอย่างเต็มที่นะครับ เพราะดีกว่าเราไม่มีโอกาส อย่าใช้โอกาสเปลื้อง อย่าใช้โอกาสโดยไม่มีสติ อย่าใช้โอกาสโดยไม่มีความรู้ข้อมูลสนับสนุน อย่าใช้โอกาสโดยไม่มีผู้เห็นด้วย และที่สำคัญ คือ เมื่อมีโอกาสแล้วเราจะต้องทำให้สำเร็จ ขอเพียงแต่อย่าใช้โอกาสให้สิ้นเปลื้องก็แล้วกัน หรือ บางครั้งที่เขาเรียกว่า เมื่อมีโอกาสทอง ควรจะต้องทำมันอย่างเต็มที่ อย่าปล่อยให้โอกาสทองนั้นหลุดลอยไปอย่างเด็ดขาด
มนูญ ศรีวิรัตน์

รังเกียจ

รังเกียจ ความรู้สึกรังเกียจ เกิดขึ้นจากอะไรกันเแน่ เกิดจากสาเหตุอะไร หลายๆ คนอาจจะบอกว่าเกิดจากความไม่พอใจในสิ่งนั้นๆ เกิดจากความเป็นทุกข์กับสิ่งนั้น หรือจากสาเหตุอื่นๆ
สมมติในที่ทำงานแห่งหนึ่ง เจ้านายไม่พอใจที่ลูกน้องมาทำสาย นอกจากมาทำงานสายแล้วขณะที่ทำงานยังทำงานไม่เต็มที่เล่นแต่เน็ต แซ็ท ทั้งวัน วันๆ เอาแต่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็ยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้านายก็อาจจะมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะเข้าใจลูกน้องคนนี้ ไม่อยากจะมอบงานให้ลูกน้องคนนี้ทำงานเลย
แล้วจะทำอย่างไรละครับ ลูกน้องจะทราบหรือเปล่าว่าเจ้านายเขารังเกียจ เขาไม่พอใจ เขาไม่อยากจะเข้าใกล้ แล้วเจ้านายจะทราบหรือไม่ว่าลูกน้องก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน มีหาทางเดียวที่จะทำได้ คือ ตัวลูกน้องเลยจะต้องกลับมาดูตัวเองในกระจก ดูตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้ แต่อย่างไรก็ดี ยังมีหนทางหนึ่งที่จะสามารถทำให้ความรังเกียจหายไป คือ เจ้านายเองจะต้องใจเย็นๆ คุยกับลูกน้องถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตัวลูกน้องเองก็ต้องรับฟังข้อดังกล่าว ว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร เมื่อได้ข้อสรุป หรือ พูดคุยร่วมกันแล้ว สร้างความเข้าใจร่วมกันด้วยกัณยาณมิตร ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่อต้าน ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีข้อโต้แย้งระหว่างกัน ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่มีความเห็นแก่ตัว
ความรู้สึกเช่นนี้ ระหว่างเจ้านายและลูกน้อง เรียกว่า เกิดความรังเกียจซึ่งกันและกันขึ้นมาระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง รังเกียจ ความรู้สึกรังเกียจ เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เป็นที่เราทุกคนมีความรู้สึกว่าไม่ดี เป็นที่เราทุกคนมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะรับรู้ไม่อยากจะเข้าใกล้
ดังนั้น จะเห็นว่าความรังเกียจสามารถจะหายไปได้อย่างแน่นอน ถ้าหากว่าผู้ที่รังเกียจและผู้ถูกรังเกียจได้รับรู้ ได้ทราบถึงสาเหตุร่วมกัน ซึ่งจะต้องใช้ความใจเย็น ใช้สติ ใช้ปัญญา เอาใจเขามาใส่ใจของเรา เอาความรู้สึกของคนอื่นๆ มาเป็นความรู้สึกของเรา รู้เขารู้เรา รู้จิตใจของคนรอบข้างให้มากที่สุด ซึ่งถ้าเจ้านายและลูกน้องตามข้างต้นได้เข้าใจความรู้สึกเข้าใจจิตใจของกันและกัน พูดคุยกัน สังเกตพฤติกรรม เข้าใจพฤติกรรม พัฒนาปรับปรุงพฤติกรรมร่วมกัน ผู้เขียนคิดว่า ความรังเกียจซึ่งกันและกันจะลดลง และถ้าหากทั้งเจ้านายและลูกน้องปฏิบัติได้อย่างที่ว่าแล้ว องค์กรนั้นๆ จะมีแต่ความสุขความเจริญอย่างแน่นอน
มนูญ ศรีวิรัตน์

2 บ. เมื่อ เบื่อ แล้วต้อง บากบั่น

หลายครั้งของมนุษย์เราจะมีความรู้ที่เบื่อ ความเบื่ออาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่แน่ๆ คือ เมื่อมีความรู้สึกเบื่อแล้วจะทำให้เราไม่มีความอยากที่จะกระทำในสิ่งใด จะรู้สึกว่าในโลกนี้ต้องการนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปสนใจอะไรแทบทั้งสิ้น ซึ่งถ้าเกิดความรู้สึกเบื่อ มีความรู้สึกไม่อยากจะทำอะไร แต่ถ้าหลังจากนั้นเรากลับมานั่งคิดทบทวนว่าเราเกิดความรู้สึกอย่างนั้นหรืออาการอย่างนั้นเพราะอะไร ก็อาจจะทำให้เราเข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย ความรู้สึกไม่เป็นสุขในการทำงาน ความไม่เป็นสุขในชีวิตประจำวัน (เฉพาะบางวันเท่านั้นก็ได้) เมื่อเป็นอย่างนี้เองก็ต้องบอกตัวเอง การบอกตัวเอง คือ การพยายามใช้จิตสั่งการตัวเราเองให้เกิดความกระฉับกระเฉงความกระปรี้กระเปร่าเพื่อทำให้เกิดพลังในการทำงานต่อไป ความเบื่อเกิดขึ้นได้กลับทุกคนไม่เว้นว่าเป็นเพศอะไร เชื้อชาติศาสนาใด อาชีพอะไร พูดง่ายๆ คือ ความเบื่อมีคู่กันมากับมนุษย์เป็นเวลาอย่างยาวนานแล้ว บางคนเกิดความเบื่อบ่อยๆ แล้วกลายเป็นบางครั้ง บื่อ ไปเลย (สระ เอ เดินมาไม่ทัน ก็เลย เหลือเพียง บื่อ) แต่อย่าให้บื่อมากก็แล้วกัน (เดี่ยวจะเป็น ซื่อบื่อ) เพราะจะทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ความเบื่อจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเกิดความรู้ขึ้นมาเอง ถ้าหากท่านใดฝึกเจริญสติเป็นประจำจะรู้สึกว่าความรู้สึกต่างๆ เกิดแล้วก็ดับ ถ้าหากท่านใดมีสติอยู่ตลอดเวลาแล้ว ถ้าเกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นมา ตัวสติของเราจะค่อยบอกว่าได้ว่า จะต้องไม่เบื่อ ซึ่งจะต้องใช้จิตสั่งการ หากปฏิบัติได้เป็นประจำ จะทำให้เราเห็นว่าความเบื่อนั้นสามารถขจัดไปได้
ดังเหตุนี้ ถ้าหากเราทุกท่านบากบั่นฝึกปฏิบัติจิตให้มีสติอยู่ทุกเมื่อไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้รู้ว่ากระทำในสิ่งนั้นอยู่ ก็อาจจะสามารถเกิดจิตที่สั่งการโดยอัตโนมัติได้ว่าไม่เกิดความเบื่อ ความบากบั่นคือความขยัน ความอดทนกระทำในสิ่งที่เราตั้งใจไว้ ความบากบั่นทำให้คนเราไม่ว่าจะเป็นใครสามารถประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่องที่เราตั้งใจจะทำ
ความบากบั่นในการเรียนจะทำให้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน
ความบากบั่นในการทำมาหากินจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว
ความบากบั่นในการสะสมทำความดีจะทำให้ประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง
จากที่กล่าวมา ถ้าหากเราเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเบื่อเมื่อใด เราจะต้องบากบั่นในการตั้งสติใช้จิตสั่งตัวของเราให้รู้สึกว่าความเบื่อนั้นจะต้องหายไปให้ได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่จะทำได้ง่าย จะต้องฝึกฝนและฝึกฝนด้วยความบากบั่นจริงๆ ซึ่งผู้เขียนคิดว่า เราทุกคนสามารถทำได้อย่างแน่นอน บากบั่นในการมีสติในทุกอาการทุกเรื่อง แล้วจะทำให้เราสามารถสั่งจิตของเราได้ เมื่อได้อย่างนั้นแล้ว ความเบื่อ จะหายไปจากตัวเราอย่างแน่นอน ความเบื่อเกิดเมื่อไร ให้มีสติแล้วใช้จิตบอกให้ได้ว่าไม่เบื่อ เกิดความเบื่อ ดับความเบื่อ ได้ทันที่โดยใช้สติ ใช้จิตที่เราได้ฝึกฝนบากบั่น ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโชคดีในการบากบั่นเพื่อขจัดความเบื่อ เมื่อนั้นเราทุกคนจะเบิกบานในที่สุด
มนูญ ศรีวิรัตน์

ปรองดอง

คำนี้รู้สึกว่าได้ยินกันทุกวัน เด็กๆ ชั้นประถมคนหนึ่งได้ถามเพื่อนร่วมชั้นว่าเรามาปรองดองกันเถอะ เพื่อนอีกคนเมื่อได้ยินก็ถามกลับไปว่า ทำไมเราต้องปรองดองกันด้วย มันหมายถึงอะไรกัน เราจะต้องเริ่มต้นอย่างไร
นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่เด็กอาจจะไม่ทราบความหมายที่แท้จริง เมื่อไม่รู้ความหมายที่แท้จริงว่าหมายถึงอะไรก็ไม่สามารถลงมือกระทำได้ ภาษาไทยนี้ก็แปลกดีนะครับท่านผู้อ่าน เพราะว่า คำว่า ปรอง ถ้าอยู่โดดๆ อยู่เดี่ยวๆ นั้นไม่มีความหมายอะไรเลย ปรอง หมายถึง อะไร จะปรองกัน คือ อะไร ไม่เคยมีคนเคยพูดถึงคำว่า ปรอง เดี่ยวๆ เลย

ส่วนคำว่า ดอง หมายถึง แช่หรือหมัก ผัก ผลไม้ และสิ่งต่างๆ เพื่อเก็บรักษาไว้ให้อยู่ได้นานๆ แต่บางครั้งเราอาจจะได้ยินคำว่า ดอง จากคนอีสาน ซึ่งหมายถึง การแต่งงาน (กินดอง = เกี่ยวดอง = เกี่ยวข้องกันโดยการแต่งงาน) เป็นต้น จะเห็นว่า ดอง เมื่ออยู่คำเดียว ก็สามารถมีความหมายในตัวเองได้ ดังนั้น ถ้าหากคนอีสานมาดองกันจะสร้างความสัมพันธ์สามัคคีกันมากขึ้น มีความผูกพันกันแน่นมากยิ่งขึ้น แต่หากเป็นความหมายตั้งแต่แรกข้างต้นนั้น เป็นการกระทำใดๆ ที่ต้องการรักษาสิ่งของที่เราสนใจให้อยู่ได้นานๆ ซึ่งหลายๆ ท่านคงจะทราบดี เช่น ดองผลไม้ ดองผัก เป็นต้น

แต่ถ้าหากเมื่อไรก็ตาม ที่ ปรอง + ดอง แล้ว จะเป็น ปรองดอง นั้น หมายถึง ประนีประนอม ยอมกัน ตกลงกันด้วยไมตรีจิต (ซึ่งจะเห็นว่าไม่ได้มีความหมายเกี่ยวกับ คำว่า ดอง ข้างต้นเลย) ซึ่งที่จริงแล้ว คำปรองดอง ควรจะหมายถึง กระทำการใดที่ตกลงกันได้อย่างที่มีความสัมพันธ์อันดี (เหมือนกับคำว่า ดอง ของคนอีสาน) โดยควรจะกระทำอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ (ไม่ให้เหมือนกับ คำว่า ดองที่เป็นการเก็บรักษาให้อยู่นานๆ) และสิ่งหนึ่งที่ควรทำคือ การตกลงด้วยไมตรีจิต ความหมายนี้ลึกซึ้งมากที่เดียว เพราะการปรองดอง จะกระทำได้ให้สำเร็จนั้น จะต้องทั้งสองฝ่าย (หรือหลายๆ ฝ่ายก็ตามแต่) มีไมตรีจิตต่อกัน มีความจริงใจต่อกัน มีความบริสุทธิ์ใจต่อกัน มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน (เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาความเจ็บปวดของคนอื่นๆ มาเป็นของเรา เอาความเจ็บปวดของเราให้คนอื่นเข้าใจเรา)

ดังนั้น ปรองดอง ที่พูดๆ กัน ที่เห็นกันทุกวันนี้ จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้เขียนคิดว่า ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ขัดแย้งกันอยู่ควรจะต้องมอบไมตรีจิตให้กันและกันเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นให้นำความหมายของคำว่า ดอง ของคนอีสาน มาปฏิบัติ และไม่ควรที่จะ ดอง ไว้ (เหมือนความหมายที่สื่อถึงการเก็บไว้ให้ได้นาน) ควรจะต้องรีบลงมือมอบไมตรีจิตให้กันด้วยความจริงใจ ยอมรับในสิ่งที่ตกลงร่วมกันภายใต้ความยุติธรรมของทุกๆ ฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ปรองดอง จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการที่เราทุกคนจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ขอให้เพียงแต่ไม่ดอง ไว้นานๆ ก็แล้วกัน
มนูญ ศรีวิรัตน์

รีบ

คำว่า รีบ เป็นคำสั้น เป็นคำกิริยาที่บ่งบอกถึงอาการที่จะต้องกระทำการใดๆ ในขณะใดขณะหนึ่งอย่างปัจจุบันทันด่วน การรีบ เป็นคำนามที่ทำให้เราทราบว่าเราจะต้องลงมือกระทำในสิ่งนั้นๆ ที่เราได้รับมอบหมายหรือเป็นหน้าที่ของเรา หลายๆ ท่านคงจะต้องประสบมาแล้วไม่มาก็น้อย เพราะแต่ละท่านคงจะต้องรีบกระทำสิ่งใดๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนที่ได้นำเสนอ คำว่า รีบ ในวันนี้ ก็เนื่องจากคิดว่า การรีบ นั้น บางครั้งก็เป็นประโยชน์ บางครั้งอาจจะเป็นไม่ประโยชน์ก็ได้
การรีบที่เป็นประโยชน์มีมากมายที่เราทุกๆ คนได้เห็น เช่น การรีบตื่นเพื่อจะได้มีเวลาทำงานให้มากๆ การรีบทำงานที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จตามที่ผู้บังคับบัญชาได้กำหนดมอบหมาย เป็นต้น ส่วนการรีบที่อาจจะไม่เป็นประโยชน์ ก็อาจจะเช่น การรีบขับรถยนต์อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ การรีบในการรับประทานอาหารอาจจะให้เกิดผลเสียต่อระบบการย่อยอาหาาร เป็นต้น
ดังนั้น ผู้อ่านคงจะพอทราบแล้วนะครับว่า รีบบางครั้งก็มีประโยชน์บางครั้งก็มีโทษ แต่วันนี้เป็นต้นไปถ้าหากเราทุกคนมาช่วยกันรีบในเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ช่วยกันคนละไม้คนละมือในการรีบ ผู้เขียนคิดว่าจะทำให้โลกของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น เช่น การมาร่วมกันรีบในการรักษาโลกร้อน รีบช่วยกันปลูกป่าปลูกต้นไม้ การร่วมกันรีบในการสร้างความยุติธรรมในสังคม (ไม่ให้มีระบบสองมาตรฐาน หรือระบบที่แตกต่างกันเอารัดเอาเปรียบกัน) การร่วมกันรีบสร้างความดีร่วมกันกระทำแต่ความดีให้กับตนเองคนรอบข้างและสังคม การรีบสร้างบุญทำบุญกุศลเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา (เพื่อให้เราทุกคนเกิดชาติหน้ามีจริงจะได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ งามๆ) การรีบสร้างความปรองดองความสามัคคีภายในสังคมภายในประเทศชาติก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้คนในชาติได้รับความสุข การรีบในการดูแลรักษาตัวเองให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาในเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนทุกๆ ท่านมารีบในการกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อคนรอบข้าง ต่อครอบครัว ต่อเพื่อนๆ ต่อสังคม และต่อประเทศชาติของเรา ซึ่งผู้เขียนคนว่าการที่เราจะรีบได้นั้น เราทุกคนจะต้องมีความตั้งใจจริง มีความแน่วแน่ และเมื่อได้เช่นนั้นแล้ว เราก็จะได้มีแต่ความสุข เป็นความสุขที่ได้เกิดจากการรีบ ครับ เราทุกคนมาร่วมลงมือกันรีบตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
มนูญ ศรีวิรัตน์

ความไม่อยาก

วันนี้ ผู้เขียนจะต้องพาคุณพ่อไปที่โรงพยาบาลเพื่อนำท่านตรวจร่างกายเนื่องจากท่านรู้สึกว่าเหนื่อยมาก (คุณพ่อของผู้เขียนอายุ ๘๓ ปี) ก็เป็นธรรดาของคนที่สูงอายุหรืออายุมาก เมื่อคุณหมอได้สอบถามอาการแล้วก็ไม่ปรากฎว่า เกิดจากความไม่อยากในอาหาร ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนก็เลยคิดว่าน่าจะได้แลกเปลี่ยนกับทุกท่านถึงความไม่อยาก
ความไม่อยากนี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาของเรา คือ ความไม่อยาก จะทำให้ไม่เกิดกิเลส ซึ่งกิเลสเป็นสิ่งที่เราไม่พึ่งประสงค์และพระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่าให้ลดละกิเลส เพราะกิเลสทำให้เกิดความทุกข์ ดังนั้น ความไม่อยาก จะคู่กับความอยาก ความอยากได้ ความอยากมี ทำให้ผู้คนจะต้องดิ้นรนทำงานดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามประสงค์ตามความอยาก
ขอวกกลับมาที่ ความไม่อยาก อีกครั้ง เป็นสิ่งที่เราควรจะตระหนักให้ดีว่า สิ่งใดที่เราควรไม่อยาก แน่นอนครับสิ่งที่ไม่ควรอยาก ควรจะเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เป็นกิเลสที่ทำให้เกิดความทุกข์ เราไม่ควรอยากรวยทางลัด เราไม่ควรอยากสวยโดยใช้เงินทอง (ควรจะสวยมาจากจิตใจที่ดีงาม ควรจะสวยด้วยกิริยามารยาท) เราไม่ควรอยากเก่งในทางที่ไม่ดี เราไม่ควรอยากรีบเร่งกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เราไม่ควรอยากมีตำแหน่งที่ใหญ่สูงขึ้นโดยการใช้อำนาจบารมีเงินทอง
ความไม่อยากทำให้เราไม่เป็นทุกข์ ความไม่อยากทำให้เรามีความสุข (แต่สำหรับคนสูงอายุความไม่อยากอาหารจะไม่เป็นประโยชน์ เพราะร่างกายจะไม่ได้รับสารอาหารที่ส่วนเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง) ความไม่อยากทำให้เราได้เกิดสติได้คิดได้กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ความไม่อยากทำให้เราไม่ต้องเดือดร้อนในการหาสิ่งที่เราต้องการ
ดังนั้น ถ้าหากว่าเราทุกคนไม่เกิดความอยาก ไม่มีความอยากแล้ว กิเลสก็น้อยลง เมื่อกิเลสน้อยลง ความทุกข์ก็น้อยลงและไม่มี แล้วในที่สุดชีวิตของเราทุกคนทุกท่านจะมีแต่ความสุข จะมีแต่ความเจริญ เรามาร่วมกันสร้างความไม่อยากให้เกิดขึ้นกับเราทุกคนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรามาร่วมกันสร้างความไม่อยากเพื่อให้ความสุขในสังคมของเรา เมื่อได้ดังนั้นแล้วสังคมเราจะมีแต่ความสุขในที่สุด
มนูญ ศรีวิรัตน์

2 ข. (ขอโทษ และ ขอบคุณ)

ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “กฎแห่งกระจก” เขียนโดย โยชิโนริ โนงุจิ และแปลโดย ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ เป็นหนังสือที่ดีมาก ลองหาโอกาสอ่านนะครับ
แต่สิ่งที่ผู้เขียนนำมาเสนอวันนี้ ก็เป็นข้อความ หรือ คำ เพียง 2 คำในหนังสือดังกล่าว (หน้า 27) คือ คำที่ขึ้นต้นด้วยอักษร ข.ไข่ คือ ขอโทษ และ ขอบคุณ สองคำนี้เป็นคำสั้นๆ แต่มีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับเราทุกคน ทุกสังคม ที่จะต้องอยู่ร่วมกัน และสองคำนี้ ทำให้สังคมที่เราอยู่มีความสุข เพราะเพียงแต่เราเปล่งวาจาที่บริสุทธิ์ใจขอโทษใครสัีกคนในกรณีที่เราได้กระทำผิดไม่ว่าจะ้ด้วยวาจาหรือใจ ผู้เ้ขีียนคิดว่า ผู้ที่กระทำนั้นมีความสุข เกิดความสุขอย่างแน่นอน
คำว่า ขอบคุณ เป็นคำที่เราทุกคนเปล่งได้ไม่ยากเมื่อมีใครสัีกคนกระทำให้เรา หรือ ให้สิ่งของเรา หรืออะไรก็ตามแต่ เรากล่าวขอบคุณผู้ให้ด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ ทั้งผู้ให้และผู้รับขอบคุณล้วนเกิดความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ง่ายไม่ได้เสียเงินทองซื้อหา
เราคนไทยเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงาม หากท่านใดอยากจะขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของเรา ที่เราเคยทำให้ท่านเสียใจ ทำให้ท่านเป็นทุกข์ ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะกระทำ และไม่มีคำว่าสาย สำหรับการกล่าวคำว่า ขอโทษ ในอดีตที่ผ่านมาเราอาจจะมีเรื่องราวมากมายที่เคยกระทำให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจ ไม่เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ ทำให้ท่านเป็นทุกข์ ดังนั้น เราอาจจะหาโอกาสขอโทษในส่ิงที่เราได้เคยกระทำไป ถ้าหากท่านใดไม่กล้าที่จะกล่าวขอโทษต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะเป็นการเขียนจดหมาย หรือ โทรศัพท์ ไปขอโทษแทนก็เป็นได้ นอกจากนั้น เมื่อเราได้กล่าวขอโทษแล้ว ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนก็อยากจะกล่าวขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านเป็นผู้มีพระคุณให้กำเนิด ให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา ยามที่เราเจ็บป่วยท่านคอยดูแล ยามที่เราเป็นทุกข์ท่านคอยให้กำลังใจ ยามที่เราเดือดร้อนท่านได้ช่วยเหลือทุกอย่างทุกประการ ดัวนั้น คำขอบคุณสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้เขียนคิดว่าเราสามารถทำได้ทุกเวลาได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องอายที่จะต้องทำต้องกล่าว
ด้วยเหตุนี้ วันนี้เราทุกคนมาร่วมกันกล่าวขอบคุณให้คุณพ่อคุณแม่ของเราในสิ่งที่ท่านได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา และร่วมกันกล่าวขอโทษคุณพ่อคุณแม่ในสิ่งที่เราได้กระทำผิดต่อท่านตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และกล่าวขอบคุณท่านทุกๆ วัน นอกจากนั้น เรามาร่วมกันกล่าวขอบคุณให้ผู้มีพระคุณที่ผ่านมา และกล่าวขอโทษให้กับบุคคลที่เราได้ล่วงเกินได้กระทำผิดต่อเขา หากเราทำได้ในทุกๆ ส่วน ทุกๆ สังคม บ้านเมืองเราสังคมเราจะมีแต่ความสุข
เรามาเริ่มใช้ 2 ข.ไข่ คือ ขอโทษ และ ขอบคุณ ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะได้ทำตั้งแต่วันนี้เถอะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์

รั่ว

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวต่างประเทศที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก คือ การรั่วของน้ำมันสู่ท้องทะเลของบรัษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งนับว่าสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล และที่สำคัญ คือ การรั่วดังกล่าว คราบน้ำมันได้ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมไปอย่างมากมาย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานหลายปีในการฟื้นฟูกลัีบคืนเหมือนเดิมได้
รั่ว เป็นอาการของสิ่งที่มีอยู่ข้างในภาชนะ หรืออุปกรณ์ ที่ต้องการให้วัตถุที่เราต้องการอยู่ภายในที่หรือบริเวณที่เรากำหนด ถ้าหากพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า การรั่ว นั้น มักจะใช้หรือกล่าวถึงสำหรับสิ่งที่มีค่า เช่น การรั่วของน้ำฝนที่เราจัดเก็บไว้ การรั่วของน้ำมันเครื่องรถยนต์ การรั่วของน้ำประปา เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การรั่วอีกอย่างที่เรามัีกพบในการบริหารงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ก็อาจจะเป็น การรั่วของเงิน การรั่วดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผู้บริหารไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายรายจ่ายที่ควบคุมไม่ได้ และถ้าหากทิ้งไว้นานองค์กรหรือหน่วยงานนั้นอาจจะถึงกับล้มละลายได้ การรั่วอีกอย่างที่มัีกจะพูดถึงหรือกล่าวถึงที่ผู้ชายนิยม คือ เรื่องของฟุตบอล ที่มัีกเห็นผู้คนกล่าวว่า ฟุตบอลทีมนี้ “หลังรั่ว” ซึ่งอาจจะหมายถึง กองหลังของทีมของเราปล่ิอยให้กองหน้าทีมคู่ต่อสู้หลุดรอดเข้าไปยิงประตูครั้งแล้วครั้งเล่า
วกกลับมาที่ การรั่ว อีกครั้งหนึ่ง คือ การรั่วของสิ่งของขนาดใหญ่ คือ ท่านผู้ว่าอ่านคิดว่า สิ่งของขนาดใหญ่น่าจะเป็นอะไรครับ ผู้เขียนคิดว่า การรั่วของสิ่งของขนาดใหญ่ น่าจะเป็น การรั่วของเขื่อน เขื่อนเป็นสิ่งที่มีค่าคอยเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพื่อการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อการเกษตร เพื่อการไฟฟ้า เป็นต้น ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องช่วยกันทุกคนในฐานะที่เป็นคนไทย คือ ช่วยกันรักษาเขื่อน รักษาเขื่อนให้มีน้ำ รักษาเขื่อนไม่ให้มีรอยรั่ว
เราจะเห็นว่า รั่ว การรั่ว เป็นสิ่งอาการที่เราโดยส่วนมากมักจะไม่ต้องการ เพราะถ้าหากเิกิดการรั่วไม่ว่าสำหรับเหตุการณ์ใดๆ หรือกับสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ มักจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อวันสองวันที่ผ่านมานี้ทุกท่านคงจะเห็นการถ่ายทอดทั่วประเทศที่รัฐสภา มีการกล่าวเอกสารทางราชการที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้หยิบยกขึ้นมากล่าวอ้าง อีกฝ่ายก็อาจจะแปลกใจว่า เอกสารดังกล่าว รั่ว ออกมาได้อย่างไร นี้่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการรั่ว ที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการ
มนุษย์เราทุกคนถ้าหากสามารถควบคุมการรั่วของสิ่งที่เราต้องการสิ่งที่เราปรารถนาไว้ จะรู้สึกว่ามีความสุข จะรู้สึกว่ามีความภูมิใจ เราเก็บรักษาเงินทองไว้ไม่ให้รั่วไหล เราเก็บความดีไว้ไม่ให้รั่วไหล นั้น หมายถึง กระทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนอยากจะขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกัน อุดรอยรั่วของการกระทำ คือ เลือกทำแต่ความดี จะเป็นศรีแ่ก่ตัวเราเอง
มนูญ ศรีวิรัตน์

ลังเล

วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่วิทยาเขตมุกดาหาร (มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) ณ จังหวัดมุกดาหาร รู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสดังกล่าว เพราะการได้มาพูดในโอกาสนับว่าสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะได้มีโอกาสได้ให้ข้อคิดสำหรับนักศึกษาใหม่ เพื่อนักศึกษาใหม่ของวิทยาเขตมุกดาหารได้นำไปใ้ช้ประโยชน์ ก็เลยไม่ลังเล
ที่นี้้ เรามาดูคำว่า ลัีงเล คือ ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไร ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ไม่รู้ว่าจะทำอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้เขียนคิดว่า เป็น คนๆ นั้น ไม่มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจในการทำอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่มีสติเพียงพอในการตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ ความลังเล ถ้าหากเกิดขึ้นแล้วจะทำให้เราเสียเวลาอย่างมากในการทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราสนใจอยู่ในขณะนั้น ซึ่งการเสียเวลาดังกล่าวทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอย่างมาก แล้วเราจะแก้ปัญหาเรื่อง การลังเล ได้อย่างไรดี
เรามาเริ่มต้นการป้องกันการลังเลกันดีกว่า อันดับแรก เราควรจะต้องมีข้อมูล หรือ หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้มากที่สุดที่เราจะทำได้โดยหาได้จากแหล่งต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆ หาจากแหล่งเรียนรู้ ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต เป็นต้น เมื่อเราหาข้อมูลดังกล่าวได้แล้ว เราต้องมาไตร่ตรองอย่างรอบครอบ และที่สำคัญคือ จะต้องใช้ สติ ควบคู่ไปด้วย ถ้าหากเราสามารถทำได้ดังกล่าวแล้ว การลังเล จะลดลง
และถ้าหากเราปฏิบัติอย่างที่กล่าวมาแล้วเป็นประจำในทุกๆ เรื่อง การลังเล ของเราจะไม่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ดี บางครั้ง การลังเลก็เกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะทำให้เราเกิด สติ เกิดความรอบครอบ เกิดความเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น แต่ใช่ว่า เราต้องลังเล เสมอไปนะครับ
ที่กล่าวมาตามข้างต้น ผู้เขียนก็เคยลังเลเหมือนกัน แต่เท่าที่จำได้ การลังเล รู้สึักว่าทำให้ผู้เขียนได้เกิดการกลับมาทบทวน คิดด้วยความระมัดระวัง คิดด้วยความเข้าใจในสถานการณ์นั้น คิดด้วยความเป็นไปได้ที่ถูกที่สุดตาม 3 ธ 3 ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมะ และยุติธรรม
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่าน ได้โปรดลังเลในบา่งเรื่อง และไม่ลังเล ในบางเรื่อง เรื่องใดที่ท่านมีข้อมูํลที่ตัดสินใจได้อย่างครบถ้วน ท่านดำเนินการได้เลย เรื่องใดที่ท่านยังคิดว่าจะต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ท่านก็ควรจะลังเล ในการตัดใจสิน ในการให้คำตอบ ในการกระทำ ในเรื่องนั้นๆ
ท่านใดที่เป็นผู้บริหารขององค์กร บางเรื่องถ้าเกิดลังเล จะเกิดความเสียหายอย่างมาก ไม่สามารถเยียวยาแก้ไขได้ ดัีงนั้น ท่านจะต้องไม่ลังเล แต่ควรจะรีบเร่ง
มนูญ ศรีวิรัตน์

โกรธ

ในโลกนี้ เมื่อมีคำว่า โกรธ ย่อมมีสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ยิ้ม ความโกรธ เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนไม่มีความสุข
ภาพยนต์ 3D เรื่องหนึ่งที่ฉายในขณะนี้ ชื่อเรื่องว่า Shrek Forever After ( เชร็ค สุขสันต์ นิรันดร) ฟังชื่อเรื่องแล้วมีความรู้สึกว่า น่าจะสุขสันต์ไปตลอดชีวิต แต่ในเรื่องมีต้นเรื่องจากสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัว คือ ความโกรธ ท่านเชื่อหรือไม่ว่า เมื่อมีความโกรธ ทำให้ขาดสติยั้งคิด และประการสำัคัญคือ เมื่อผู้นั้นได้ดื่มของมึนเมา (สุรา) จะทำให้การมีสติลดน้อยถอยลงไป เช่นเดียวกันกับในภาพยนต์ดังกล่าว Shrek เกิดความโกรธอย่างสุดขีดแล้วไปเจอกันคนไม่ดีพาไปในทางที่ไม่ดีดื่มสุรา ทำให้ขาดสติ และเขาได้กระทำในสิ่งที่เกิดตามมาอย่างที่ไม่น่าให้อภัย แต่ตอนจบของเรื่องน่าจะมีความสุขนิรันดร ตามชื่อเรื่อง
แต่ที่ยกขึ้นมาให้เห็นก็คือ โกรธ เป็นสิ่งที่อยู่กับตัวเราทุกคนมานานแสนนาน ความโกรธ เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าเราขาดสติ และเมื่อมีความโกรธ เิกิดขึ้น ย่อมมีแต่ความทุกข์ในด้านต่างๆ ที่ตามมาอย่างที่บางครั้งอาจจะเป็นผลเสียหายร้ายแรงก็ได้
ความโกรธนั้นจะหายไปได้ เมื่อมีรอยยิ้ม
ก่อนที่จะกล่าวถึงรอยยิ้่ม ใคร่ขออนุญาตนำข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เกี่ยวกับ ความโกรธ หรือ การโกรธ หรือ อาการโกรธ อาการโกรธ นั้น จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องใช้มัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าหลายๆ ส่วนด้วยกัน ดังนั้น หากมัดกล้ามเนื้อดังกล่าวถูกใช้งานบ่อยๆ อาจจะทำให้เกิดรอยเหยี่ยวย่นบนใบหน้าของเราได้ และที่สำคัญจำเป็นจะต้องใช้พลังงานจำนวนพอสมควร ซึ่งบางครั้งเราอาจจะเห็นอาการโกรธที่แสดงออกที่ใบหน้าเป็นสีแดงกร่ำที่แสดงอาการร้อน ส่วนการยิ้มหรือการสร้า่งรอยยิ้มนั้น ผู้เชี่ยชาญได้กล่าวว่าใช้พลังงานงานน้อยกว่าและใช้มัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าน้อยกว่าการโกรธ ด้วยเหตุนี้ คนที่โกรธบ่อยๆ อาจจะต้องมีรอยย่นมากกว่าคนที่มีแต่รอยยิ้ม
ที่นี้ เรามากล่าวถึง ยิ้ม เป็นที่ประเทศไทยของเราในปัจจุบันของเราต้องการเป็นอย่างมาก เพราะเราต้องการเห็นคนไทยมีรอยยิ้่มให้กันและกัน เหมือนกับที่เขาว่า เป็นเมืองสยามเมืองยิ้ม ซึ่งชาวต่างประเทศทราบกันดีว่าไทยของเราเป็นดินแดงที่มีแต่รอยยิ้ม อย่างไรก็ดี จากสภาวะแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่ได้ทราบกันดี นั้น ประเทศไทยของเราสามารถที่จะสร้่างรอยยิ้มกันง่ายๆ เพียงแต่ต้องรู้สึกว่ามีความสุข คิดถึงเรื่องที่ทำให้เรามีแต่ความสุข เป็นเรื่องใดก็ได้ เพราะเราจะต้องยิ้มมาจากจิตใจของเรา ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าคนเราทุกคนจะต้องเคยมีความสุขในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ เรามาหาเรื่องที่มีแต่ความสุข คิดถึงแต่เรื่องที่เป็นความสุข แล้วในที่สุด รอยยิ้่มของทุกคนก็จะเกิดขึ้นมาได้อย่างอัตโนมัติ
โครงการเพียงคิด ก็ยิ้มแล้ว น่าจะเป็นโครงการที่เราคนไทยทุกคนช่วยกันทำ เช่น คิดหรือนึกถึงวันที่แม่ของเราบอกว่ารักเรา คิดหรือนึกถึงวันที่เราสำเร็จการศึกษา คิดหรือนึกถึงเรื่องที่ตลกๆ ที่เราได้ทำตอนเด็กๆ เป็นต้น
ดังนั้น วันนี้เป็นต้่น เรามาช่วยกันขจัดความโกรธ และสร้า่งรอยยิ้ม กันทุกเวลา ทุกวัน ให้กันและกัน แล้วเรา ครอบครัวของเรา ที่ทำงานของเรา หมู่บ้านของเรา อำเภอของเรา จังหวัดของเรา และ ประเทศไทยของเรา จะมีแต่ความสุข
มนูญ ศรีวิรััตน์

ช่วยกันกิน ช่วยกันล้าง

ช่วยกันกิน ช่วยกันล้าง
เราทุกคนเกิดมาล้วนจะต้องกินเพื่อความอยู่รอดของชีวืต การกินถือว่าจะต้องมีวัฒนธรรม ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ แต่ละประเทศ แต่ละเวลา ตามลักษณะของชาติพันธ์ อาหารก็เช่นกันมีความแตกต่างกันไป การกินอาหารถ้าหากมีอาหารจำนวนมากเพียงพอเราก็ช่วยกันกิน แต่หากมีอาหารไม่พอเราต้องช่วยกันหาของกิน และเมื่อกินเสร็จแล้วเราทุกคนควรจะต้องช่วยกันล้างภาชนะที่ใส่ของกิน เพื่อใช้ในครั้งต่อไป
แต่ที่ผู้เขียนนำเสนอวันนี้ ได้ไปเห็นกิกรรมหนึ่งที่วัดเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น ซี่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมมีนักเรียน นักศีกษามาศึกษาปฏิบัติธรรมมารวมกันฝึกตั้งแต่เช้าตื่นนอนชำระร่างกาย รับประทานอาหารร่วมกัน อาหารเหมือนกัน หลังจากนั้นต่างคนร่วมกันทำความสะอาดภาชนะที่ใส่อาหารเพื่อใช้ในครั้งต่อไป ดังนั้น จะเห็นว่ากิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าหากเมื่อเราร่วมกันทำแล้วจะสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น เป็นระเบียบ
ด้วยเหตุดังกล่าว การช่วยกันกิน ช่วยกันล้าง ถ้าหากเปรียบในทางพุทธศาสนาแล้ว การกินความหิวเป็น กิเลสอย่างหนึ่ง เมื่อมีกิเลสแล้วเราต้องล้างกิเลสให้หายไปทุกเมื่อ การล้างมนุษย์เราควรจะต้องล้างกิเลสต่างๆ ออกให้สิ้น ล้างความสกปรก ล้างสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ล้างสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้น เราทุกคนมาช่วยกันกินให้น้อยลงดีหรือเปล่าครับ และมาช่วยกันล้างให้มากยิ่งขึ้น นั้นคือ ช่วยกันลดกิเลสให้มากที่สุด และช่วยกันล้างกิเลสให้หายไปจากตัวเรา
มนูญ ศรีวิรัตน์

กลาง

คำ่ว่า “กลาง” เป็นสิ่งที่บ่งบอกตำแหน่งของสิ่งของ หรือ สิ่งใดก็ตามที่ ที่อยู่ห่างจากที่สูงสุด (หรือมากที่สุด) และที่ต่ำสุง (หรือน้อยที่สุด) ในระยะทางที่เท่ากัน โดยจะอยู่ภายในที่สูงสุด (หรือมากที่สุด) และที่ต่ำสุง (หรือน้อยที่สุด) ด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามแต่ถ้าหากอยู่ตรงกลางทุกคนย่อมเข้าใจตรงกันแล้วและทราบว่าตรงกลางนั้นเป็นอย่างไร แต่บางอย่างที่เป็นลักษณะของนามธรรมจับต้องไม่ได้ เช่น เราบอกว่า กีฬาฟุตบอล มีกรรมการตัดสินที่เป็นกลาง ซึ่งบางครั้งก็อาจจะมีที่ผู้ตัดสินไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกลางได้อย่างดี ดังนั้น กีฬาบางประเภทเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินเพื่อให้เป็นกลาง ยุติธรรมกับผู้แข่งขันทั้งสองฝ่าย เช่น กีฬาเทนนิส นำเทคโนโลยีการจับภาพลูกเทนนิสมาดูว่าเป็นลูกที่ตีออกหรือลงเส้น ซึ่งการทำหรือการนำเทคโนโลยีเข้าช่วยทำให้ผู้แข่งขันร่วมทั้งกองเชียร์ได้สบายใจดูการแข่งขันอย่างมีความสุข เมื่อเป็นผู้แพ้ก็รู้สึกได้รับความเป็นธรรมและมีความสุข จะเห็นว่ากีฬาทุกประเภทได้พยายามนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตัดสินให้เกิดความยุติธรรมกับผู้เข้าร่วมแข่งขันให้ได้มากที่สุด แต่กีฬาบางอย่างไม่ต้องการความเป็นกลาง คือ กีฬาพื้นบ้าน ซักกะเย่อ นั่นเอง เพราะ กีฬาดังกล่าวก่อนการแข่งขั้น จะต้องนำเชือกให้มาอยู่จุดตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย จะชนะกันก็ต่อเมื่อฝ่ายใดสามารถนำจุดกึ่งกลางไปอยู่ในพื้นที่อาณาบริเวณของตัวเอง
ความเป็นกลาง เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว ดั่งที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ คือ ทางสายกลาง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ซึ่งเรื่องที่เราทุกคนทราบกันดีและบางท่านได้ปฏิบัติเป็นอย่างดี และเราก็อยากจะให้ทุกคนเดินทางสายกลาง ผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าก็ยังทำไม่ได้ แต่อย่างเรื่องก็ทำได้ คือ ปล่อยวาง ไม่ยึดติด ประการสำคัญ คือ ทางสายกลางนั้นเราควรจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ และที่สำคัญอีกอย่าง คือ ต้องเป็นไปตามหลักของธรรมะ เพราะถ้าหากท่านใดเข้าถึงธรรมชาติ เข้าถึงธรรมะ ท่านจะรู้ว่า ความเป็นกลาง อย่างแน่นอน
เมื่อเราทุกคนมีความเป็นกลางในทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นศูนย์กลาง รวมจิตใจ รวมพลัง และร่วมกันกระทำในแต่สิ่งดีๆ ทุกสิ่งจะประสบความสำเร็จ

มนูญ ศรีวิรัตน์

ยุบ

ยุบ เป็นอีกคำหนึ่งที่สังคมในความสนใจเป็นอยากมากในหลายรอบเดือนที่ผ่านมา มีข่าวหลายๆ ข่าวที่ลงในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา ว่า มีการยุบตัวพื้นดินของจังหวัดหนึ่ง รวมทั้งที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีข่าวเกี่ยวกับการยุบตัวของพื้นที่กรุงเทพมหานครในแต่ละปีเนื่องจากสาเหตุมาจากหลายประการ เป็นต้นว่า เกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาลในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ดังนั้น คำว่า ยุบ คือ อาการของลดระดับของบางอย่างจากระดับที่สูงกว่าไปสู่ระดับที่ต่ำกว่า หรือบางครั้งอาจจะเป็นลักษณะของการลดขนาดให้เล็กลง เช่น การชนของรถยนต์มีการยุบของตัวถังรถยนต์ คำว่า ยุบ ก็อาจจะเป็นอาการหรือลักษณะของการลดขนาดจากใหญ่ให้เล็กลงโดยมีการกระทำจากแรงภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้
บางครั้ง เราอาจจะเคยได้ยินว่ามีการยุบตำแหน่ง ยุบองค์กร ยุบหน่วยงาน ด้วยเหตุนี้ ยุบ ก็อาจจะหมายถึงการทำให้หายไปของสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งข้าราชการผู้ใดที่มีตำแหน่งสูงๆ ถ้าหากมีการยุบตำแหน่งแล้วรับรองได้ว่าอาจจะไม่สบายใจสักเท่าไร เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่มีตำแหน่ง ไม่มีที่อยู่ สำหรับภาคเอกชนมีการปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก หรือที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการยุบตำแหน่ง ยุบแผนก ยุบฝ่ายต่างๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกำไร แต่ถ้าสำหรับองค์กรภาคราชการแล้วนั้น การยุบตำแหน่ง การยุบแผนก ยุบผ่ายที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อทางราชการ มีไว้ก็รั้งแต่จะทำให้ราชการเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์รู้สึกว่าจะทำไม่ได้อย่างรวดเร็วเท่าไรนักเมื่อเปรียบเทียบกับภาคเอกชน ดังนั้น ถ้าหากราชการองค์กรภาครัฐมีการปรับเปลี่ยนโดยมีการยุบดังที่กว่ามาแล้วนั้นโดยกระทำตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ตามความจำเป็น ตามความเป็นจริงที่มีอยู่ รับรองได้ว่าราชการของไทยเราจะสามารถกประหยัดงบประมาณแผ่นดินอีกมากมาย
และคำว่า ยุบ ที่พูดถึงมากันหลายๆ ครั้ง ยุบ อีกแบบหนึ่ง คือ การยุบสภา แต่ถ้าหากว่า เราเกิดใช้คำว่า การยุบตัวของสภา อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่า ที่ตั้งของสภานั้นยุบตัวลงมา เกิดการเสียหายของตัวอาคารที่เป็นที่ตั้งของสภาก็เป็นได้ ดังที่กล่าวมา การยุบสภา หลายๆ ท่าน คงจะหมายถึง การยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำการเลือกตั้งกันใหม่ จะเห็นว่าการยุบในลักษณะนี้น่าจะหมายถึง การทำให้หายไปของสิ่งที่มีอยู่ นั้นคือ การที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขได้สิ้นสุดหน้าที่ เพื่อมอบอำนาจดังกล่าวกลับคือสู่ประชาชนให้ประชาชนได้ตัดสินใจอีกครั้งว่าประชาชนเสียงส่วนมากต้องการอย่างไร ต้องการผู้ที่จะมาเป็นผู้แทนของประชาชนแบบไหน แล้วมาใช้อำนาจบริหารประเทศแทนประชาชนเสียงส่วนมากภายใต้การรับฟังเสียงส่วนน้อยเพื่อนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีความสุข
การยุบสภา ไม่มีอำนาจใดที่จะทำได้ ไม่มีองค์กรใดที่จะทำได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เกิดการยุบสภาได้ นอกเสียจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายท่านๆ คงจะทราบกันดีว่าเป็นอำนาจเดียวเท่านั้นที่จะกระทำได้ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ดังนั้น จะเห็นว่า การยุบ คือ คำว่า ยุบ จะต้องใช้พลัง หรือ อำนาจ หรือ สิ่งที่เราอาจจะมองไม่เห็น กระทำให้สิ่งของ หรือ วัตถุ หรือ องค์กร หรือ ตำแหน่ง นั้น มีขนาดที่เล็กลง หรือ มีระดับที่ลดลง หรือ สิ้นสุดไป หรือ มลายหายไป หรือ บางครั้งสิ่งที่เราทำอยู่นั้นหรือมีอยู่นั้นไม่ดีตามที่เราต้องการ เราอาจจะยุบทิ้งทำลายทิ้ง แล้วเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ ก็ได้ เพราะบางอย่างที่มีอยู่อาจจะไม่เข้าหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือ ได้มาโดยไม่ถูกต้อง เราก็อาจจะยุบทิ้งไปก็ได้เช่นกัน ยุบไปเพื่อทำให้ดียิ่งๆ ขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเราต้องการจะยุบอะไร เราก็จะต้องมีพลัง และ มีอำนาจ เสียก่อน เราถึงจะทำได้ และถ้าหากได้มาซึ่งพลัง อำนาจที่ถูกต้องบริสุทธิ์แล้วนั้น จะยุบอะไรก็ได้ไม่มีใครว่า เพราะเหมาะสม ถูกต้อง แล้วครับท่าน
มนูญ ศรีวิรัตน์

3 อ : อาวุธ อำนาจ และ โอบอ้อมอารี

3 อ : อาวุธ อำนาจ และ โอบอ้อมอารี
วันนี้เรามารู้จักกับ อ.อ่าง ที่เป็นอักษรพยัญชนะไทยก่อนตัวสุดท้่าย เพราะถ้ากล่าวถึงอักษรตัวสุดท้าย คือ ฮ.นกฮูกตาโต เมื่อไรละก็ เมื่อนั้น คงจะต้อง หยุด และ จบ อย่างบริบูรณ์
อ ตัวแรก คือ อาวุธ เป็นคำนามที่เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ สร้า่งขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยให้กับตัวเอง หรือ ใช้สำหรับ ต่อสู้ ทำลาย ผู้ที่เราคิดว่าเป็นผู้ที่ประสงค์ร้ายกับเรา จะเห็นว่าอาวุธนั้นมีมาตั้งแต่สมัยยุดก่อนประวัติศาสตร์ไม่ว่าชนชั้นใดก็แล้วแต่จะคิดค้นขึ้นมาตามกำลังสติปัญญา
อ ตัวที่สอง คือ อำนาจ เป็นสิ่งที่มนุษย์บางคนที่มีความอยาก มีความต้องการ มีความประสงค์ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมี เพื่อใช้ในการควบคุม สั่งการ มอบหมาย ตามที่มนุษย์ผู้นั้นจะประสงค์ เราทุกคนจะเห็นว่า อำนาจ นั้น เป็นส่ิงที่ถ้ามีแล้วสามารถที่จะดลบันดาลสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ หลายๆ คน หรือ บางคน ก็อาจจะต้องการมีอำนาจในขอบแขตที่ต่างกันไปตามสถานที่ สถานการณ์ ตามเวลา คนใดที่มักน้อยก็อาจจะต้องการอำนาจเพียงเล็กน้อย คนใดที่มัีกมากมักใหญ่อาจจะต้องการอำนาจมากมายมหาศาล เพื่อสนองความต้องการ ความอยากที่ตนมีอยู่
อ ตัวสุดท้าย คือ โอบอ้อมอารี หลายๆ ท่านคงจะทราบดีว่า เมื่อไรก็ตามที่คนเรา มนุษย์เราได้ยินคำๆ นี้ แล้วจะมีความรู้ที่ดี และมีความสุข เพราะคำว่า โอบอ้อมอารี เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการให้คนอื่นๆ ได้รับสิ่งที่ดีๆ จากเรา เราก็ต้องการช่วยเหลือคนอื่นด้วยความเต็มใจ ด้วยความสุขใจ อยากจะให้คนอื่นเหล่านั้นได้รับการช่วยเหลือจากเราอย่างบริสุทธิ์ใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่แนใจสักเท่าไรว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่า การที่คนเรามีความโอบอ้อมอารีต่อกันและกันนั้น จะทำให้ทุกคนมีความสุขได้อย่างยั่งยื่น
จากทั้งสาม อ. ข้างต้น ถ้าหากคนดี ต้องการมีอาวุธไว้สำหรับเพียงป้องก้ันตนเองอย่างบริสุทธิ์ใจ ต้องการมีเพียงอำนาจที่เหมาะสมไว้คอยป้องกันตนเอง ป้องกันสังคมหรือฐานะของตนเอง และต้องมีความโอบอ้อมอารีต่อกันและกันแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าในโลกมนุษย์ของเรา จะไม่ถึงวันสิ้นสุด วันสุดท้ายของโลก
อาวุธที่ดีสำหรับคนเราทุกคน คือ การที่มีความดีเป็นอาวุธ อำนาจที่ดีสำหรับคนเราทุกคน คือ การที่มีอำนาจในสิ่งที่ตนเองได้มาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมตรงไปตรงมา และประการสำคัญ คือ การที่ทุกคนมีความโอบอ้อมอารีต่อกัน ประเทศไทยของเราจะมีแต่ความสุข และ อ. อ่าง ที่จะเป็นตัวที่สี่ อาจจะเป็น อุดมสมบูรณ์ ไปด้วยทรัพยากรด้านต่างๆ ทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม
มนูญ ศรีวิรัตน์

สงบ

สงบ เป็น คำที่ประกอบ ด้วย 3 ตัวอักษร 1. ส เสือ 2. ง งู และ 3. บ ใบไม้ วันนี้ผู้เขียนคิดว่า 3 ตัวอักษรดังกล่าวนั้นมาประกอบกันแล้วมีความหมายเป็นอย่างมากสำหรับเหตุการณ์บ้านเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมจะต้องมีต้นเหตุ หรือ มีเหตุ แต่ที่เราเห็นกันอยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันนี้ เป็นผลที่เกิดจากเหตุทั้งสิ้น ตามหลักของศาสนาที่เราทราบกันดี คือ เหตุก่อให้เกิดทุกข์ ถ้าหากเราต้องการจะดับทุกข์ จะต้องไปดับที่ต้นเหตุ หรือ แก้ไขที่ต้นเหตุ ถึงจะสามารถดับทุกข์ได้อย่างยั่งยืนมั่นคงถาวร
ผู้เขียนขอกลับมาที่ 3 ตัวอักษร ส ง บ รวมกันเป็นความหมายที่ดีมากๆ เพราะจาก ไตรสิกขา แยกออกเป็น ไตร + สิกขา = ไตรสิกขา คำว่า ไตร หรือตรี (ภาษาอังกฤษ = Three) เป็นภาษาสันสกฤตแปลว่า 3 ตรงกับภาษากรีกว่า Tri ตรงกับภาษาลาตินว่า Tres ตรงกับภาษามคธหรือบาลีว่า ติ หรือ เต ซึ่งก็แปลว่า 3 เช่นกันคำว่า สิกขา เป็นภาษามคธหรือภาษาบาลี แปลว่า “ข้อที่พึงหรือข้อที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ” ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า ศิกฺษา ภาษาไทยนำมาใช้เป็นศึกษาไตรสิกขามาในพระไตรปิฎก 2 เล่ม คือ เล่มที่ 11 และที่ 20 (เป็นพระสุตตันตปิฎก ทั้ง 2 เล่ม)ไตรสิกขาเรียกง่าย ๆ เรียกได้ว่า สีล สมาธิ และปัญญา นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาบางท่านประยุกต์ว่า (2 ส.,1 ป.)
ศีล ได้แก่ สะอาด (clean)สมาธิ ได้แก่ สงบ (calm)ปัญญา ได้แก่ สว่าง (clear)
(ที่มา : http://www.wfb-hq.org/specth8.htm) สงบ คือการเจริญสมาธิ เจริญจิตภาวนา (เจริญสมถะวิปัสสนา) ทำจิตให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว (เอกัคคตาจิต)
แต่สำหรับวันนี้ ผู้เขียนขออนุญาต นำเสนอ ส ง บ อาจจะประยุกต์หรือประกอบ ด้วยดังนี้
ส = สติ สมาธิ อาจจะเป็นการทำอะไรก็แล้วแต่ จะต้องมี สติ เพื่อก่อให้เกิด สมาธิ
ง = เงียบ การทำอะไรเราอาจจะต้องกระทำอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ เงียบ ภายในจิตใจ
บ = บริสุทธิ์ การทำอะไรก็ตามแต่ ควรจะทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิื์
ดังนั้น ผู้เขียนคิดว่าถ้าหากคนไทยเราทุกคนมีความ “สงบ” ภายใต้คำกล่าวข้างต้น เชื่อได้เลยว่าสังคมของเราไม่ว่าจะเป็นสังคมระดับใด สังคมที่ไหน จะมีแต่ความสุข ก็ขอภาวนาให้เราทุกคน สงบ
มนูญ ศรีวิรัตน์