ความสว่าง และ ความมืด เราทุกท่านต่างรู้จักต่้างสัมผ้สอยู่เป็นประจำทุกวัน สำหรับแสงสว่างกับความมืดมนมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร โดยธรรมชาติไม่รู้เป็นมากี่ร้อยล้านล้านปีที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า แสงสว่างและความมืดเป็นสิ่งที่คู่กันเป็นที่เรียกว่า กฎธรรมชาติ เมื่อมีสว่างก็ย่อมมีมืด แต่อย่างไรก็ดี บางสถานที่ทั้งแสงสว่างและความมืดมันก็อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ว่า อันไหนมันจะมากกว่ากันเท่านั้น ถ้าหากที่ใดมีแสงสว่างมากกว่าความมืด ที่นั้นก็จะทำให้เรามีความรู้สึกว่ามันสว่าง ในทางตรงกันข้ามในทีใดที่มีความมืดมากกว่าความสว่าง เราก็จะรู้สึกว่าที่นั้นมันมืด (ทั้งที่ความเป็นจริง มันอยู่ผสมกัน ครับ) ข้อดีของความสว่างหรือแสงสว่าง คือ มันทำให้เรามองเห็นสิ่งของ วัตถุ ต่างๆ แต่บางครั้งถ้ามีแสงน้อยๆ เราก็สามารถที่จะมองเห็นเช่นกัน แต่จะต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย (ที่เรียกว่า กล้องอินฟาเรด อะไรทำนองนั้น)
ครับ ชีวิตของคนเราบางครั้งมันอาจจะมืดมน แต่อย่างไรก็ดี อีกสักหน่อยอีกสักพักมันก็ย่อมจะกลับมาสว่างมีแสงสว่างขึ้นมาอย่างแน่นอน
ที่นี้ เรามาต่อกับ คำว่า แสงสว่าง กับ ความมืด มันมีคำ สันสกฤต ที่เกี่ยวข้องกับ คำดังกล่าว เป็นดังนี้ แสงสว่าง จะมาจากคำว่า คุ และ ความมืดมน จะมาจากคำว่า รุ เมื่อเราเอาทั้งสองคำสันสกฤตดังกล่าวมารวมกัน ก็จะเป็น คุรุ ซึ่งก็เป็นคำที่เราคุ้นๆ กันดี คือที่มาของคำว่า ครู
ดังนั้น ครู ก็มีที่มาแล้ว คือ มาจาก คุรุ และ คุ กับ รุ ก็มีที่มาตามข้างต้น ครู จึงเป็นผู้ที่มีทั้งแสงสว่างและความมืด กล่าวให้ง่ายๆ ขึ้น คือ ครู เป็นผู้ที่นำแสงสว่างมาเพื่อขจัดความมืดให้กับลูกศิษย์ ให้ลูกศิษย์ได้พบได้มองเห็นกับสิ่งที่ดีๆ ช่วยชี้แนะ ช่วยให้ข้อคิด ช่้วยให้ความรู้สำหรับการใช้ชีิวิตการประกอบอาชีพ ครูเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ สำหรับเราไม่ว่าเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เพราะเราทั้งหมดต่างก็ถูกสั่งถูกสอนให้เป็นคนดี ให้เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถได้ก็เพราะ ครู จึงเป็นที่มาที่เราเรียกว่า คุณครู (เนื่องจากสิ่งที่ครูทำให้เรานั้น มันมีแต่คุณทั้งนั้นเลย ครับ)
เราทุกคนที่เกิดมาผู้เขียนคิดว่า เราเป็น ครู ได้ทั้งนั้น เพราะท่านจะต้องเคยนำแสงสว่างขจัดความมืดให้ใครบางคน ซึ่งบางคร้งก็อาจจะเป็นตัวเราเองที่เคยนำแสงสว่างมาขจัดความมืดให้ตัวของเรา โดยใช้ความคิดที่สงบมีสติ บอกเตือนตัวของเราเองว่า อะไรที่เคยผิดพลาด เราจะไม่ทำอีกนะ อะไรที่เราเคยหลงทางไปในทางที่ผิดแล้วเราจะไม่ไปทางนั้นอีก ดัวยเหตุนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เราเป็น ครู สำหรับตัวเราได้ เมื่อเราเป็นครูได้ เราก็ย่อมจะสามารถชี้แนะให้คนอื่นๆ ได้ (นำแสงสว่างไปให้เขา ชี้แนะเขาโดยประสบการณ์ของเรา ความรู้ที่เรามีอยู่)
เราเกิดมาจนถึงชีวิตในวันนี้นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนมีครูหลายๆ ท่าน (เริ่มตั้งแต่พ่อแม่) บุญคุณของครูยิ่งใหญ่มากๆ อย่างที่กล่าวมา ท่านใดที่มีครูเคยสั่งสอนเรามา หากมีโอกาสก็กลับไปเยี่ยมท่านหรือมีโอกาสติดต่อท่านไม่ว่าจะเป็นหนทางใด (จดหมาย E-mail Social Networksอื่นๆ) ที่สำคัญคือ อยากเชิญชวนทุกท่านร่วมกันได้โปรดพิจารณาบอกคุณครูของท่านสั้นๆ ว่า "ขอบพระคุณ ครับ ขอบพระคุณ คะ" สำหรับการนำแสงสว่างมาสู่ชีวิตของเราในวันนี้และที่ช่วยขจัดให้ความมืดมนออกจากชีิวิตของเรา
แสงสว่างในชีวิตเป็นเรื่องที่หาได้ไม่ยาก แต่ความมืดมนมันจะเข้ามาหาเราได้ง่าย ดังนั้น การที่่จะให้มีแสงสว่างสำหรับชีวิตเรา เราสามารถเริ่้มได้ที่ตัวเราและด้วยความตั้งใจที่จะหาแสงสว่างซึ่งเมื่อตั้งใจแล้วรับรองได้ว่าท่านจะได้แสงสว่างไว้ค่อยขจัดความมืดในชีิวิตของท่านอย่างแน่นอน ธรรมชาติมันมีทั้งสว่างและมืด แต่เมื่อไรก็ตาม เราสามารถที่จะทำให้ตัวของเรามีความสว่างมากกว่าความมืดอยู่ตลอดเวลา เราก็จะสามารถเป็น ครู สำหรับตัวเราเอง และเป็นครูที่ดีๆ สำหรับคนรอบข้าง และในที่สุดทุกคนก็จะเรียกเราว่า คุณครู
มนูญ ศรีวิรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น