Nuffnang Ads

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไอ แล้วก็ I

หลายวันก่อนผู้เขียนได้ยินมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ (และจำก็ไม่ได้) ว่า สิ่งที่เราไม่สามารถบังคับได้คือ “ไอ” หรือ “การไอ” ทำให้ผู้เขียนมานั่งคิดว่าแล้วทำไมเราจะห้ามการไอไม่ได้ สาเหตุของการไอมีผู้รู้มากมายที่ได้เผยแพร่ไว้ในอินเทอร์เน็ต (เช่น http://www.maipaimairoo.com/?p=160)

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้เขียนความรู้สึกต่อไปนี้ จะนำเรื่องของ “ไอ” หรือ “การไอ” และ I (ตัว ไอ ภาษาอังกฤษ ที่หมายถึง ตัวเรา ตัวฉัน ตัวข้า ตัวกู) มาเชื่อมต่อกันให้ได้

เอาเป็นง่ายๆ คือว่า เมื่อไรก็ตามที่มีสิ่งแปลกปลอมมาสู่ร่างกายของเรา เราก็จะ “ไอ” เพื่อทำให้สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวออกมาจากร่างกายของเรา ดังนั้น ย่อมแสดงได้ว่า ไอ กับ I เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกันเป็นอย่างมากเลย หากเมื่อไรก็ตามที่ I (ตัวเรา) ไม่ระมัดระวังได้รับสิ่งไม่ดีสิ่งแปลกปลอมแล้วละก็ จะต้อง “ไอ” อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะมีสติหรือสมาธิอย่างไรก็ตามแต่ก็จะต้อง “ไอ” เพียงแต่เรามีสติให้รู้ว่าตัวเรานั้น “ไอ” และ “ไอ” ว่าตัวเราไอมาจากสาเหตุอะไร เพราะอะไร

หลายท่านที่เป็นสูบบุหรี่นั้น ล้วนน้ำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ตอนที่ยังเป็นหนุ่มสาวก็ยังอาจจะไม่ไอสักเท่าไร แต่เมื่ออายุมากยิ่งขึ้น ร่างกายขาดภูมิคุ้มกันทำให้เป็นบ่อเกิดเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจอย่างที่เราทราบกันดี ซึ่งเมื่อเป็นโรคแล้วเมื่อสูบบุหรี่เข้าไปก็มักจะมีอาการไอเกิดขึ้น

หลายท่านที่ทำงานในสถานที่มีฝุ่นละอองจำนวนมากเป็นเวลานานๆ ก็เช่นกันก็มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ เมื่อปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป ก็เกิดการไอเช่นกัน

หลายท่านที่ทำงานในที่มีหนุ่มสาวจำนวนมากก็อาจจะเกิดการไอได้เช่นกัน นั้นคือมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสู่วิถีของชีวิต โดยอาการไอดังกล่าวจะเรียกว่า“I love you” อาการอย่างนี้ผู้เขียนขอนำมาคั้นรายการให้เฉยๆ เพื่อจะได้ดูไม่เครียดเกินไปครับ

ที่นี้หากว่า ตัวสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาสู่ตัวเรานั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความอยาก ความโกรธ ความลุ่มหลง ความต้องการ (ที่เกินความเป็นจริงกับตัวของเรา) ผู้เขียนคิดว่าตัวเราควรจะต้อง “ไอ” เอาสิ่งนั้นออกจากตัวเราให้ได้และเร็วที่สุดโดยใช้สติของเรา

จะเห็นว่าการ “ไอ” มีประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะทำให้ตัวเรามีความสุขขึ้น โดยเฉพาะการ “ไอ” ที่ใช้สติเอาสิ่งที่เรียกว่า “ความอยาก ความโกรธ ความลุ่มหลง ความต้องการ (ที่เกินความเป็นจริงกับตัวของเรา)” ออกจากร่างกาย ออกจากจิตใจของเราให้ได้เร็วที่สุด

ไอ แล้วก็ ไอ (ที่เป็นตัวเรา) หากว่า ไอ (ตัวเรา) สามารถฝึกปฏิบัติตัวเราให้ไอเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราออกได้แล้ว เราก็ควรจะ ไอ แล้วก็ ไอ และ ไอ ให้มากๆ นะครับ

ครับสุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้กำลังใจเอาใจช่วยทุกท่านที่มีอาการไอ เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะด้วยทางร่างกายทางจิตใจ ขอให้ท่านได้ใช้สติและจิตที่แนวแน่น ไอสิ่งดังกล่าวออกมาให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด นะครับ

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำว่า "รอง"

ก่อนจะสิ้นปี (๒๕๕๔) เพื่อจะขึ้นสู่ปีใหม่ (๒๕๕๕) มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยินและได้อ่าน คือ คำว่า "รอง" ซึ่งหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินได้เห็นได้กล่าวได้พูดเกี่ยวกับคำว่า "รอง" อย่างแน่นอนในชีวิตนี้

"รอง" หากเรานึกถึงภาพยนต์ ก็จะมักกล่าวถึง "พระรอง" หรือ ตัวที่เล่นเด่นน้อยกว่า "ตัวพระเอก"

แต่หากว่าเป็นระดับประเทศ ผู้บริหารประเทศ ก็จะเป็น "รองนายกรัฐมนตรี" คือ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบที่ไม่มากเท่ากับ "นายกรัฐมนตรี" หรือ ในระดับหน่วยงาน องค์กรต่างๆ เราก็มักจะได้ยินได้แน่นอนเช่นกัน เป็นต้นว่า รองผู้ว่าราชการ รองอธิบดี รองอธิการบดี รองผู้อำนวยการ รองผู้กำกับการฯ รองนายกเทศบาล รองนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจอยู่เหมือนกัน คือ หากเป็นหน่วยงานระดับเล็กๆ อาจจะไม่มีคำว่า "รอง" เช่น ไม่มีว่าเป็น "รองนายอำเภอ" ไม่มีว่าเป็น "รองกำนัน" ไม่มีว่าเป็น "รองผู้ใหญ่บ้าน"

นอกจากนั้น คำว่า "รอง" หากเป็นคำที่ใช้กับชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา ก็อาจจะเช่น รองเท้า รองพื้น (การรองพื้นแต่งหน้าของท่านสุภาพสตรี) รองบาตร (ที่รองบาตรพระสงฆ์) ผู้เขียนคิดออกเพียงเท่านี้ครับ

ที่นี้ขออนุญาตกับมาที่คำว่า "รอง" ข้างต้น ผู้เขียนในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง "รองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี" มาเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี (ตั้งแต่ ๒๕๔๕) คิดว่า คำว่า "รอง" มันน่าจะมีความหมายว่าอย่างไรกันดี แต่ไม่เป็นไรครับ ก่อนอื่นขอย่อย ๓ ตัวอักษร คือ ร.เรือ อ.อ่าง และ ง.งู ออกจากกันจากคำว่า "รอง" ให้มีเพียง ๒ ตัวอักษร เป็นดังนี้

๑. ร กับ ง เป็น รง
๒. ร กับ อ เป็น รอ
๓. อ กับ ง เป็น อง
๔. ง กับ ร เป็น งร
๕. ง กับ อ. เป็น งอ
๖. อ กับ ร เป็น อร


จากทั้ง ๖ กรณีข้างต้น ผู้เขียนคิดว่าเมื่อเรานำเพียงสองตัวอักษรที่มาจากคำว่า "รอง" จะมีความหมายเพียงกรณีที่ ๒ คือ "รอ" กรณีที่ ๕ คือ "งอ" และ กรณีที่ ๖ คือ "อร"

ดังนั้น "รอง" ในความหมายของผู้เขียนจะเป็นดังนี้ หากเป็นตัวบุคคลที่มีตำแหน่งเป็น "รอง" อะไรก็ตามแต่ จะต้องมีความอดทนในการ "รอ" จะต้องเป็นบุคคลที่พร้อมจะต้อง "งอ" ได้เสมอ (ความหมายคือมีความยืดหยุ่นในการทำงาน ปรับตัวในเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ด้วยความถูกต้อง) และ จะต้องเป็นบุคคลที่พร้อมไปด้วย "อร" คือ ความงดงาม ความสวยงาม การทำใจให้ดี ในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย นอกจากนั้น หากตัวเราเองตกอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็น "รอง" (คือ ด้อยกว่าคู่ต่อสู้ของเรา) เราจะควรจะต้อง "รอ" และ "งอ" และ "อร" ให้ได้ นั้นหมายความว่า ตัวเราจะต้องฝึกปฏิบัติให้เป็นผู้รอที่ดี เป็นผู้ที่ปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมสถานการณ์ต่างๆ อย่างทันท่วงที และ เป็นผู้ที่มีจิตใจที่งดงามปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนเองที่ทำอยู่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด

ครับ สำหรับปีเก่า ๒๕๕๔ กำลังจะผ่านไป หากเราลอง เพื่อเป็น "รอง" เพื่อเข้าสู่ปีใหม่ ๒๕๕๕ ผู้เขียนเชื่อว่า เราเองจะ "ไม่เป็นรองใคร" ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ คิดสิ่งใดก็ขอให้ได้สมดังหมาย มีความสุข ร่ำรวยในปีใหม่ที่กำลังมาถึงนะครับ

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้าเวลา ฆ่าเวลา ค่าเวลา

หลายวันก่อนน้องๆ ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้ส่งข้อความมาให้แล้วรบกวนเขียนเกี่ยวกับเรื่องของเวลาที่ว่าด้วย "ฆ่าเวลา ค่าเวลา" ผู้เขียนก็รับฝากเอาไว้และหากมีเวลาก็จะเขียนให้ ทั้งนี้ วันที่ ๖ และ ๗ ตุลาคม ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสลาพักเพื่อไปปรึกษาผู้รู้และมีประสบการณ์เกี่ยวกับภูมิโหราศาสตร์ ก็เลยพอมีเวลาเขียนเรื่องนี้ แต่ขอเพิ่มเติมจากหัวข้อที่ว่า "ฆ่าเวลา ค่าเวลา" เป็น "ข้าเวลา ฆ่าเวลา ค่าเวลา"

แน่นอนครับในเมื่อเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องของเวลา ก็ย่อมจะต้องเกริ่นนำเกี่ยวกับ "เวลา" อย่างที่เราทราบกันดีว่าเวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมติกำหนดขึ้นมาว่าเป็น ๒๔ ชั่วโมงในหนึ่งวัน หนึ่งชั่วโมงมีหกสิบนาที หนึ่งนาทีมีหกสิบวินาที ก็ว่ากันไป และในเมื่อในอดีตของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้กำหนดเวลามาตรฐานไว้ที่เมืองผู้ดีอังกฤษ เมืองที่ว่า คือ เมืองกรีนิช (Greenwich ไม่ยักกะอ่านว่า กรีนวิช ไม่เป็นไรครับเป็นการออกเสียงของคนอังกฤษเขาเราไม่เกี่ยว โดยเวลาที่เรียกว่า GMT : Greenwich Mean Time)

ผู้เขียนเชื่อว่าที่เวลาเป็นสิ่งสมมติขึ้นมา ก็เพราะว่ามนุษย์เราที่แหละเป็นผู้กำหนด แต่สิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้ คือ เวลาของแต่ละคนใน ๑ วัน หรือ ๑ คืน ก็ตามแต่ จะมีเท่ากัน มนุษย์เราไม่ว่าจะรวยจะจน จะมีตำแหน่งใหญ่โตหรือต่ำต้อย จะมีหน้าตาสวยงามอย่างไร ก็ย่อมมีเวลาเท่าเทียมกันใน ๑ วัน อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งตรงกันข้าม คือ ถึงแม้ว่าเวลาของแต่ละคนจะมีเท่ากันในหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่เวลาของเราที่จะมีลมหายใจบนโลกใบนี้กลับมีไม่เท่ากัน และที่สำคัญ คือ ไม่มีใครบอกได้ว่า เวลาหายใจของเราจะหมดสิ้นเมื่อไรจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ซึ่งหากคิดไปไกลกว่านั้น เวลาของเราอาจจะมีอีกในชาติหน้า (หากชาติหน้ามีจริง)

กลับมาที่เวลาของเราที่มีเท่ากันในแต่ละวัน คือ ที่เรียกว่า เวลาของข้า (เวลาของฉัน เวลาของตัวเรา) หากว่าเราสามารถกำหนดได้ว่าเวลาของข้า ทำงาน ปฏิบัติตน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวตนเองตัวเราเอง ต่อที่ทำงาน ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และที่สำคัญอย่าพยายามทำให้ตัวเราตกเป็นข้า (ทาส) ของเวลา ไม่ให้เวลามากดดันตัวของเรา แต่ให้ทางตรงกันข้ามอย่างที่กล่าวแล้วว่า ใช้เวลาของข้า (ของเรา) ให้เกิดประโยชน์ต่อสูงสุด สิ่งที่ตามว่า คือ จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ค่าเวลา หรือ ตัวเรามองเห็นค่า คุณค่าของเวลา" ที่เรามีอยู่ ตัวเราจะไม่ยอมให้เวลานั้นสูญเปล่าไปในแต่ละวัน เพราะเนื่องจากว่า หากตัวเราปล่อยเวลาให้หลุดลอยไปอย่าไร้ประโยชน์ในแต่ละวัน เวลาดังกล่าวอาจจะไปบั่นทอนให้เวลาของเราที่จะอยู่บนโลกใบนี้สั้นลงไปได้ ซึ่งสามารถที่จะนำเสนอดังต่อไปนี้
๑. ถ้า เวลาของข้า ในแต่ละวันทำให้มีค่ามาก จะทำให้ เวลาของข้าในโลกใบนี้ ยาวขึ้นและมีคุณค่า

๒. ถ้า เวลาของข้า ในแต่ละวันทำให้มีค่าน้อย จะทำให้ เวลาของข้าในโลกใบนี้ สั้นลงและหมดคุณค่า

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่า เมื่อไรก็ตามที่เราอาจจะเผลอตัวกระทำตามข้อ ๒ ข้างต้นจะเป็นการ ฆ่าเวลาของเราที่อยู่ไปอย่างสูญเปล่า หลายๆ คนในแต่ละวันได้ฆ่าเวลาของข้า (ของตัวเอง) ไปอย่างที่ไม่รู้สึกตัว ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเราชาวพุทธไว้ว่า "ให้มีสติอย่างตลอดเวลา" การมีสตินั้นเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลโดยที่ตัวเราอาจจะมีความรู้สึกตัว แต่หากว่า เราได้ฝึกฝนการมีสติจนเป็นที่ดีแล้ว ก็จะนำมาสู่ที่เรียกว่า "สมาธิ นำไปสู่ ปัญญาในที่สุด"

ครับ เรื่องของเวลา นั้นมีให้อ่านมากมาย ซึ่งผู้เขียนก็เคยได้เขียนไว้เช่นกัน เชิญอ่านเพิ่มเติมได้ที่ (ความสัมพันธ์​ระหว่าง เวลา ระยะทาง และ ความเร็ว) แต่กล่าวสำหรับ "ข้าเวลา ค่าเวลา และ ฆ่าเวลา" แล้ว หากตัวเราสามารถที่จะกำหนดว่าเวลาในแต่ละวันเป็นของข้า (ข้าพเจ้า) ข้าจะทำให้เวลาที่มีอยู่ในแต่ละวันมีคุณค่า เป็น ค่าเวลา (ค่าของเวลา) และ ข้าจะไม่ฆ่าเวลาโดยที่ทำอะไรที่ไม่ได้ใช้สติไม่เกิดประโยชน์ ข้าก็จะสามารถมีเวลาเพิ่มเติมอยู่บนโลกใบนี้อย่างยาวนานขึ้นและมีความสุข

สุดท้ายจริงๆ เวลาของเราของท่านมีค่าเท่ากัน จะสั้นจะยาวไม่สำคัญ ขอให้ท่านทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นะครับ "อย่าฆ่าเวลา แต่จะต้องทำให้เป็น ค่าเวลา และ เวลาเป็นของข้า"

อันเวลา ค่ายิ่ง จริงแท้นัก
ไม่เคยพัก สักครั้ง รั้งไม่อยู่
เวลาเดิน เพลินใจ ไม่เฝ้าดู
ยามหดหู่ รู้ค่า หาเวลา

เวลาหยุด จุดหมาย ตายแน่นอน
อย่าอาวรณ์ ร้อนใจ ในเวลา
เวลาสิ้น ยินดี มีคุณค่า
มีเวลา หาดี ที่ตัวตน

เวลามาก อยากได้ ในสิ่งผิด
เวลาคิด จิตนิ่ง อิงอดทน
เวลาน้อย คอยดู รู้จิตตน
รู้ทุกคน สนใจ ในเวลา

อจต.




วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ปฏิ

เมื่อ ๕ ปีที่แล้ววันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นวันที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ปฏิวัติ" "ปฏิรูป" ทำให้รัฐธรรมนูญในขณะนั้น คือ รัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.๒๕๔๐ ได้สิ้นสุดลงไป แต่นั้นเป็นเรื่องของการเมือง

อย่างไรก็ดี ในเมื่อ ๕ ปีที่แล้วที่ผ่านมาเกี่ยวกับคำว่า "ปฏิ" ผู้เขียนก็อยากจะเขียนเกี่ยวกับการ "ปฏิ" เพื่อเป็นรำลึกถึงเหตุการณ์ที่สำคัญดังกล่าว

จะเห็นว่า "ปฏิ" น่าจะมีความหมายเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดใหม่ สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดีว่า เราจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นหากมีการ "ปฏิ" ขึ้นมา นั่นเป็นเพียงความคิดของผู้เขียนเท่านั้น (แต่ความเป็นจริง “ปฏิ” เป็นภาษีบาลีที่ใช้นำหน้าคำอื่น มีความหมายว่า เฉพาะ ตอบ ทวน กลับ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Reaction”) แต่คงจะไม่เป็นไรหรอกหากความคิดของผู้เขียนไม่ตรงกันกับที่กำหนดไว้ เพราะที่จริง การ “ทวน” หรือ “กลับ” ก็หมายถึงสิ่งใหม่ การทำใหม่ได้เช่นกัน

สำหรับ คำภาษาไทยที่เกี่ยวกับ "ปฏิ" มีหลายๆ คำมากมาย เช่น ปฏิกิริยา ปฏิสนธิ ปฏิบัติ ปฏิวัติ ปฏิรูป ปฏิมากรรม (ประติมากรรม) ปฏิสังขรณ์ ปฏิกรณ์ ปฏิกูล ปฏิชีวนะ ปฏิทิน ปฏิปักษ์ ปฏิเสธ ปฏิสันถาร ปฏิคม ปฏิญาณ เป็นต้น

ปฏิกิริยา เป็นเหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สารเคมีวิทยาศาสตร์เกิดผสมกันตั้งแต่สองสารขึ้นไป (หากมีสารเพียงชนิดเดียวคงจะไม่สามารถเกิดปฏิกิริยาได้) ทำให้เกิดสารที่มีอาจจะมีคุณสมบัติทางเคมีชีววิทยาใหม่ หรือ การที่มนุษย์ได้รับข้อมูลในด้านใดๆ แล้วเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา (หมายความว่า เกิดความคิด เกิดสติ เกิดปัญญา แสดงออกมาหรือตอบโต้)

ปฏิสนธิ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากสองสิ่งผสมกันเช่นกันแล้วเกิดสิ่งมีชีวิตสิ่งใหม่เกิดขึ้นมา

ปฏิมากรรม เป็นสิ่งที่ธรรมชาติหรือมนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาให้มีความงดงามมากกว่าเดิมจากที่เป็นอยู่

ปฏิรูป เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการทำให้สิ่งที่เป็นอยู่นั้นดีขึ้นมีรูปที่ดีขึ้นมีสภาพที่ดีขึ้น

ปฏิวัติ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการเปลี่ยนแปลงจากของเดิมให้เป็นของใหม่โดยต้องใช้พลังกำลังจำนวนให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นโดยทันที

ปฏิบัติ เป็นสิ่งที่มนุษย์ลงมือกระทำอย่างจริงจังให้เกิดผลตามที่ตั้งใจตั้งความมุ่งหวังไว้

ที่เกริ่นนำมาตามข้างต้นนี้ ใช่ว่าผู้เขียนจะถูกต้องเสมอไป เพียงแต่เขียนตามความรู้สึกและความรู้ที่มีอยู่เท่านั้นนะครับ แต่ที่ต้องการจะเพิ่มเติม คือ สำหรับ "ปฏิรูป" และ "ปฏิวัติ" นั้น ย่อมมีข้อแตกต่างกันอย่างแน่นอน (เพราะแม้แต่การเขียนก็ยังไม่เหมือนกันเลย) เรามักจะเห็นว่าโดยส่วนมากในวงการต่างๆ นั้น ต่างก็ใช้สองคำเมื่อต้องการสื่อถึงการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ

สำหรับด้านอุตสาหกรรม เรามักจะได้ยินว่าเป็นการ "ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิต"

ด้านการศึกษา เรามักจะได้ยินว่าเป็นการ "ปฏิรูปการศึกษาเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน"

ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ หากต้องการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วรุนแรงน่าจะใช้คำว่า "ปฏิวัติ" ในทางตรงกันข้าม หากต้องการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นไปไม่รุนแรงต้องการความมีส่วนร่วมสร้างความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลง น่าจะใช้คำว่า "ปฏิรูป" แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองคำจะต้องพึ่งคำว่า "ปฏิบัติ" เพราะหากไม่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังด้วยความเข้าใจ เข้าถึง และทั้งการ "ปฏิวัติ" หรือ "ปฏิรูป" ก็จะเกิดปฏิกิริยาตามมา ซึ่งปฏิกิริยาที่ว่าจะมีสองด้านเสมอ คือ ด้านที่ดี และ ด้านที่ไม่ดี สนับสนุน หรือ ไม่สนับสนุน เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย เป็นต้น แต่เมื่อไรก็ตาม ที่ทั้ง "ปฏิวัติ" หรือ "ปฏิรูป" มีเหตุผล มีข้อเท็จจริงที่สามารถเห็นเป็นที่ประจักษ์ได้โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ แล้ว เมื่อ "ปฏิบัติ" แล้ว "ปฏิกิริยา" ที่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นไปในทิศทางที่ดีมีผู้สนับสนุนเห็นด้วย และเมื่อนั้น การปฏิวัติหรือการปฏิรูปก็จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วมมากที่สุด โดยที่ไม่มีผู้ใดเสียเปรียบได้เปรียบ เกิดความยุติธรรมในสังคม

ผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่า ๕ ปีที่ผ่านไปจากการ "ปฏิ..." (จะเรียกว่า ปฏิวัติ หรือ ปฏิรูป ก็ตามแต่) จะเกิดการปฏิบัติที่ทำให้มีปฏิกิริยาในทางที่ดีขึ้น ทำให้คนไทยลบลืมความผิดหวังสิ้นหวังหมดหวังลงไปได้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ความกดดัน

เมื่อปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้เขียนเกี่ยวกับเรื่อง "กด กลด แล้วก็ กฎ " (อ่านได้ที่นี้) แต่สำหรับวันนี้มีอยากจะเขียนเกี่ยวกับ "ความกดดัน" เพราะมีความรู้สึกว่าถูกกดดันเหลือเกิน ที่ถูกกดดันเพราะมีพลังจากภายนอกที่มีกำลังมากมายกว่าพลังที่เรามีอยู่ เราก็เลยมีความรู้สึกว่า "ถูกกดดัน"

นอกจากนั้น เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (วันเสาร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๔) ได้อ่านบทความบทความหนึ่งในมติชนสุดสัปดาห์ มีผู้กล่าวว่า "หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา เราจะทำอะไรทำอย่างไร เราจะต้องทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดในชีวิต" คำพูดดังกล่าวที่ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า "ความกดดัน" นั้น มันไม่มีค่าเอาเสียเลย ไม่มีพลังเอาเสียเลย ไม่มีแรงกำลังเอาเสียเลย ความกดดันใดๆ ก็ตามแต่ หากเข้ามาหาตัวเราเมื่อไร เราก็มักจะเกิดความทุกข์ร้อนทั้งกายทั้งใจ และมักจะนำไปสู่การที่ทำให้ตัวเราร้อนลุ่มทั้งภายในและภายนอก

อย่างไรก็ดี หากว่าเราลองคิดใหม่ว่า "หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา แล้วเราจะต้องมั่วไปทุกข์ร้อนกับความกดดันนั้นทำไมกัน" "เรามาคิดลองทำในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดในชีวิต ทำอะไรที่เราอยากจะทำที่สุดเกิดความสุขในการทำที่สุดไม่ดีกว่าหรือ"

ก่อนที่กล่าวถึงความกดดัน ผู้เขียนขออนุญาตกล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่ร่างกายมนุษย์ของเราซึ่งมีธาตุทั้ง ๔ ในร่างกาย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อไรก็ตามที่ตัวเรามีธาตุดินที่ไร้ประโยชน์จำนวนมากเกินไป ซึ่งธาตุดินอันนี้เกิดจากการที่เรารับประทานอาหารที่เกินความต้องการของร่างกาย (เช่น แป้ง ไขมัน) ธาตุดินดังกล่าวก็จะไปสะสมในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายของเรา เมื่อเป็นอย่างนั้น อาจจะทำให้น้ำในร่างกายของเราเสียความสมดุล (ธาตุน้ำ เลือด น้ำที่หล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ เสียสมดุล) และส่งผลต่อระบบลมที่อยู่ในร่างกายของเรา ลมที่ว่าคือ ระบบการหายใจ (ธาตุลม) และหากระบบสมดุลของน้ำในร่างกาย ระบบลมในร่างกายเสียสมดุลไปแล้ว แน่นอนย่อมจะมีผลต่อธาตุไฟในร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ เกิดความโกรธ เกิดความทุกข์ และในที่สุด เกิดสภาวะที่เรียกว่า "ความกดดัน" ในจิตใจ

จะเห็นว่า "ความกดดัน" อาจจะเกิดจากความเสียสมดุลของธาตทั้ง ๔ ในร่างกายของตัวเรา อย่างไรก็ตาม "ความกดดัน" อาจจะสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นอีกที่ตัวเรารับรู้ได้จากทวารทั้ง ๖ คือ หู ตา ลิ้น จมูก กาย (ผิวหนัง) และใจ ตัวอย่างเช่น ในที่ทำงานเรามักจะได้ยินเสียงดุด่าจากผู้บังคับบัญชาเป็นประจำ (และที่สำคัญ คือ เสียงดังเอามากๆ) หรือ ในสถานที่บางแห่งมีกลิ่นเหม็นของปฏิกูลต่างๆ มาก เป็นต้น

"ความกดดัน" ทำให้ความทุกข์จะทุกข์น้อยทุกข์มากก็แล้วแต่แรงดันที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราปล่อยว่างไม่สนใจความกดดันดังกล่าวที่เกิดขึ้น จะทำให้เราไม่เกิดความทุกข์ ตรงกันข้ามตัวเราอาจจะเกิดความสุขด้วยซ้ำ หากใครมากดดันเราเขาคนนั้นยิ่งจะเหมือนถูกกดดันมากกว่าตัวเราหลายร้อยเท่า เพราะในจิตใจของเขามีแต่จะคิดว่าทำอย่างไรจะให้เราเป็นผู้แพ้ ให้เราเป็นผู้ที่ได้รับความสูญเสีย ให้เราเป็นผู้ที่เป็นทุกข์

ดังนั้น ความกดดัน ใครจะกด ใครจะดัน ก็ชั่งหัวมัน (ท่านใดอยากจะทราบเกี่ยวกับเรื่อง "ชั่งหัวมัน" เชิญ Click ที่นี่)
ไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยวาง และปล่อยว่าง ด้วย ก็น่าจะดี ผู้เขียนเองก็มีแต่เขียนมั่วแต่พูด ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่เราก็จะต้องเรียนรู้จะต้องฝึกปฏิบัติให้ได้นะครับ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เราได้มาโดยง่ายๆ แม้กระทั่งเกิดเป็นคน ก็ใช่ว่าจะเกิดกันง่ายๆ จะต้องทำบุญกุศลกี่ชาติที่ผ่านมาก็ไม่รู้ ทำชั่วทำกรรมชั่วเมื่อไรรับรองได้ว่าอาจจะไม่ได้เกิดเป็นคนอีกหรอกครับท่าน (อย่ากดดันกันเลย)

ครับ สุดท้ายนี้ หากเมื่อไรถูกกดดัน ก็อย่าไปกดดันคนอื่นเขาต่อนะครับ เพราะเดี๋ยวความกดดันมันจะกลับมาดันเราในทุกๆ ด้าน ทุกๆ เรื่อง ทุกๆ เวลา แล้วเมื่อนั้นท่านจะไม่มีแรงดันในร่างกาย

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

ฉันรักเมืองไทย

เมื่อวานวันอาทิตย์มีเวลาว่างได้นั่งดูรายการ "ฉันรักเมืองไทย" ช่อง ๙ ซึ่งพิธีกรคุณแอนดี้ ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคนต่างชาติที่มาอยู่เมืองไทยและเกิดรักและหลงเสน่ห์เมืองไทย

เป็นรายการที่ขอบอกว่า "ดีมากๆ" เพราะอย่างน้อยที่สุดบางสถานที่เราคนไทยยังไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไร ทำไม่คนต่างชาติเขาถึงได้รักและอยากจะอยู่เมืองไทยใช้ชีวิตในเมืองไทย

แทบไม่น่าเชื่อว่าคนต่างชาติเหล่านี้เขามีความรู้สึกดีๆ กับประเทศไทยของเรารวมถึงคนไทยด้วย และหากสังเกตดีๆ เวลาที่พวกเขาเหล่านั้นได้ให้สัมภาษณ์แววตาของพวกเราจะบ่งบอกถึงความสุขอย่างที่บริสุทธิ์และแท้จริง

คนไทย (บางคน บางกลุ่ม) ไม่รักเมืองไทยของเราเลย มีแต่ทำลายนำแต่สิ่งที่ไม่ดีมาสู่ประเทศไทยของเรา ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของตนเอง อีกทั้งพวกที่บ่อนทำลายโดยการขายยาเสพติด และทำเรื่องที่ไม่ดีสำหรับแผ่นดินไทยของเรา คนพวกนี้ เราไม่รู้ว่าจะเรียกว่า "คนไทยหรือไม่" ทำไมพวกเขาไม่ลองดูรายการ "ฉันรักเมืองไทย" ซะบ้าง เผื่อบางครั้งจะได้มีสติปัญญาความคิดในการที่รักษาห่วงแหนธรรมชาติต่างๆ ไม่ทำในสิ่งที่เกิดความเสียหายให้กับประเทศชาติ

รายการ "ฉันรักเมืองไทย" ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า คนต่างชาติเขายังรักเมืองไทย แล้วทำไมเราคนไทยจะรักเมืองไทยไม่ได้และควรจะรักเมืองไทยของเรามากกว่าคนต่างชาติด้วยซ้ำ

ทุกวันนี้ที่เราเห็นข่าวของภัยธรรมชาติน้ำท่วมในพื้นที่ภาคต่างๆ ของไทยเรา จะเห็นว่าสาเหตุที่เกิดน้ำท่วมหรือเกิดภัยพิบัตินั้น ล้วนเกิดจากที่เราคนไทยไม่ได้ช่วยกันรักษาธรรมชาติรักษาป่า ซึ่งรักษาป่ายังไม่พอเราต้องสร้างหรือปลูกป่าให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อจะได้เป็นแหล่งธรรมชาติที่เป็นบ่อเกิดหรือแหล่งเกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตามวงจรธรรมชาติ อันจะทำให้ลูกหลานคนไทยได้เรียนรู้ได้ศึกษาและเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติคือ “ป่าไม้” เราคนไทยจงร่วมมือร่วมใจปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ ปลูกให้ได้ ๘๔ ล้านต้น และ ๘๐ ล้านต้น ตามลำดับนะครับ

ขอกลับมาที่รายการ "ฉันรักเมืองไทย" อีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนยอมรับว่าผู้ผลิตรายการได้ให้ความสำคัญของเมืองไทยของเราว่า เหตุใดคนต่างชาติเขาถึงรักเมืองไทยและอยากจะอยู่เมืองไทย ซึ่งอาจจะตรงกันข้ามกับคนไทยบางคนบางกลุ่มที่ไม่อยากจะอยู่เมืองไทย ดูถูกเมืองไทยว่าไม่มีอะไรดี ดังนั้น ถึงเวลาแล้วละครับว่า เราคนไทยทุกคนจะต้องช่วยกันรักเมืองไทยของเรา ซึ่งจะต้องรักเมืองไทยด้วยจิตใจ เหมือนคนต่างขาติ (ในรายการฉันรักเมืองไทย) ที่เขาเหล่านั้นยังบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรักเมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งผู้เขียนคิดว่าคนต่างชาติเขาประทับใจรักเมืองไทย ก็อาจจะเพราะว่า ประเทศไทยของเราเป็น "สยามเมืองยิ้ม" ที่คนไทยมีแต่รอยยิ้มให้ซึ่งกันและกัน ถ้าหากเราคนไทยไม่ว่าจะเป็นเพศ อาชีพ การศึกษา หรือแตกต่างกันอย่างไรก็ตามแต่ หากเราคนไทยยิ้มให้กัน รักกัน สามัคคีกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน รู้แพ้รู้ชนะ ผู้เขียนเชื่อว่า เราคนไทยทุกคนจะรักเมืองไทยมากยิ่งขึ้น

ครับ สุดท้ายผู้เขียนก็คงจะไม่ขออะไรมากมาย หากท่านพอมีเวลาว่างในวันอาทิตย์หากท่านไม่มีธุระประการใด เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น ลองเปิดโทรทัศน์ไปที่ช่อง อสมท.(ช่อง ๙) ดูรายการ "ฉันรักเมืองไทย" แล้วท่านจะรักเมืองไทยมากยิ่งขึ้น เหมือนกันผู้เขียนที่มีความรู้สึกที่ว่า "ฉันรักเมืองไทย"

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

online

ชื่อเรื่องของวันนี้อาจจะแปลกไปสักนิดหนึ่ง เพราะเป็นภาษาอังกฤษและเป็นคำที่ผู้เขียนทุกท่านน่าจะทราบกันดีว่าหมายถึงอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มักกล่าวถึง “online”

อย่างไรก็ดี online ดังกล่าวนั้น อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับในการเขียนเรื่องวันนี้สักเท่าไรนัก เพราะผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี “บนเส้นทางชีวิต” :เรื่องราวชีวิตการงาน การต่อสู้ ความใฝ่ฝันของคนบ้านนอกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคนหลายคน

ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีมากๆ อยากจะให้ท่านใดที่มีเวลาว่างได้อ่าน ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอบางส่วนที่ได้จากหนังสือของท่านคุณหมอประเวศ ดังนี้

หน้า ๓๗ “ในการศึกษาของมนุษย์ ควรได้เรียนรู้หรือสัมผัสกับเรื่องราวหรือตัวบุคคลที่เป็นปูชนียบุคคลให้มาก”

หน้า ๘๑ “อาจารย์เสม พริ้งพวงแก้ว พูดเสมอว่า ชีวิตที่สุขสบายไม่ทำให้เกิดปัญญาสร้างสรรค์”

หน้า ๑๒๕ “บัณฑิตของเรา จบการศึกษา ได้รับปริญญาเพราะจบการศึกษา และหลังจากนั้นก็จบเลย คือ ไม่ศึกษาต่อไปอีก เรามีข้าราชการที่ จบการศึกษา เต็มประเทศไปหมด เลยทำอะไรไม่ค่อยเป็น ทำให้บ้านเมืองเสียหายมาก

มหาวิทยาลัยจะต้องผลิตบัณฑิตที่ “ไม่จบการศึกษา”

หน้า ๑๖๘ “การศึกษาควรจะสร้างค่านิยมหรือวัฒนธรรมแห่งการพึ่งตนเองในเรื่องศักดิ์ศรีและความสุข”

หน้า ๑๘๒ “แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ในการศึกษาของไทยนั้น เรายัดเยียดเนื้อหากันเป็นดุ้นๆ และเกือบจะไม่สอนแนวคิดกันเลย ทำให้คนไทยคิดไม่ค่อยเป็น”

หน้า ๑๘๓ “นิสัยเปลี่ยนได้ช้า และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนเร็ว”

“เป็นหน้าที่ของการศึกษาที่จะต้องพัฒนาคนให้มีความสามารถที่ทันต่อการแก้ปัญหา การศึกษาหมายถึงการที่จะแก้นิสัยด้วย ไม่ใช่ท่องหนังสือไปเรื่อยๆ ซึ่งแก้พฤติกรรมหรือนิสัยไม่ได้”

หน้า ๓๔๗ “ก็ลองนึกดูเถอะครับ คนจบมัธยมศึกษาแต่สามารถตรวจวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาเอกได้ การขวนขวายเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ปริญญา เป็นเพียงเครื่องสมมติ ถ้าไม่ระวัง คนที่มีปริญญาโก้ๆ อาจมี ความว่างเปล่าทางวิชาการ เป็นอย่างยิ่งก็ได้”

หน้า ๒๒๒ “ในการทำแผนอุดมศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยน่าจะต้องมีปัญญาที่จะสามารถตีความเรื่องวัฒนธรรมกับการพัฒนาให้ลึกซึ้งและครอบคลุม เพราะวัฒนธรรมกับการพัฒนาคือโจทย์ที่ยิ่งใหญ่และท้าทายเราทุกคน”

หน้า ๔๑๙ “วัฒนธรรม หมายถึงระบบความเชื่อ คุณค่า พฤติกรรม และผลของพฤติกรรมของกลุ่มชนที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน หรือคือวิถีชีวิตทั้งหมดที่สืบทอดกันมา”

หน้า ๖๑๓ “ความเป็นชุมชน หมายถึง การที่คนกลุ่มหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นับถืออะไรร่วมกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการติดต่อสื่อสารกัน มีการเรียนรู้และกระทำร่วมกัน และมีองค์การจัดการ”

ด้วยเหตุนี้ “บนเส้นทางชีวิต” หนังสือของท่านคุณหมอประเวศข้างต้นนั้น ทำให้ผู้เขียนอยากจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ “Online” ซึ่งเบื้องต้นคิดได้เพียงแต่ว่า บนเส้น น่าจะตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า Online (on = บน line = เส้น) แต่ท่านใดที่เรียนด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ไม่ควรจะไปแปลอย่างนั้นเป็นเด็ดขาด ว่า Online แปลว่า บนเส้น (Online System ไม่ใช่ ระบบบนเส้น)

ในโลกใบนี้ ความหมายของเส้น จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด และจะต้องไม่ใช้จุดเดียวกัน และมีระยะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เส้นทาง เราก็มักจะต้องเริ่มด้วยจุดเริ่มต้นของเส้นทางอยู่ที่ไหน จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน เส้นก๋วยเตี๋ยว ก็มีทั้งเส้นที่ยาวและสั้น เส้นผมทั้งเส้นยาวและสั้นเช่นกัน

เส้นต่างๆ ที่กล่าวมานั้น หากเรากระทำใดๆ ลงบนเส้นจะทำให้เกิดความชัดเจนเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ตัวอย่างเช่นการทำสีบนเส้นผม การทำเส้นบะหมี่ให้สีเขียว (ก็เรียกว่า หมี่หยก)

บนเส้นอีกอย่างหนึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับกีฬา เช่น เทนนิส ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล อยากอยู่บนเส้นที่กำหนดไว้เมื่อไรละก็จะเป็นเรื่องทันที่ ไม่ว่าเป็นฝ่ายที่ได้คะแนนและเสียคะแนน ดังนั้น บนเส้น เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่บางฝ่ายก็ไม่ต้องการบางฝ่ายก็ต้องการ

อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่เราคนไทยมักจะต้องรู้จักและพูดถึงอย่างแน่นอน คือ “การมีเส้น” “เส้นใหญ่” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมีผู้อำนาจมีอิทธิพลมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น สามารถที่จะผลักดันบันดาลเรื่องต่างๆ จากยากให้กลายเป็นง่ายได้ ด้วยเหตุนี้ ใครที่อยู่ “บนการมีเส้น” “บนเส้นใหญ่” แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ มีแต่คนที่กลัวเกรง อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไม่เรื่องดังกล่าวข้างต้นใช้คำว่า “เส้นใหญ่” หรือ “ใช้เส้น” “มีเส้น” อันนี้ยอมรับจริงๆ ว่าไม่เข้าใจไม่รู้ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ในความคิดของผู้เขียน (อันนี้ขอเดานะครับ) ว่า ที่เราใช้ “เส้นใหญ่” “มีเส้น” ก็อาจจะเป็นเพราะในร่างกายของมนุษย์เรานั้นมีเส้นเลือด เส้นประสาท เส้นเอ็น หรือ เส้นอื่นๆ อีกมากมาย เส้นเลือดที่ใหญ่ก็ย่อมสำคัญต่อการดำรงชีวิต เส้นประสาทที่ใหญ่ก็สำคัญต่อการดำรงชีวิตเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่า เรื่อง “เส้น” ย่อมสำคัญอย่างเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเวลาเราปวดเมื่อยแล้วให้หมอนวดแผนไทยได้ “วางหรือกดนิ้วไว้บนเส้นเอ็นที่เกิดจากการทำงานหนักแล้วจะก็ จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกและเกิดความสมดุลในร่างกายของเรา ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี”

ดังนั้น บนเส้นดังกล่าว หากว่าทำให้เหมาะให้ถูกต้องย่อมจะเกิดประโยชน์ เช่นเดียวกันกับ “เส้นทางของชีวิต” หากเราได้กำหนดว่าเราจะเดินทางไปทางไหนทิศทางไหน แล้วเราก็กำหนดว่าจะต้องอยู่ “บนเส้น” ทางของเราด้วยความตั้งใจแน่วแน่แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า “บนเส้น” สามารถที่จะเชื่อมโยงสร้างความสมดุลให้กับชีวิตทั้งตัวเราและผู้ที่อยู่รอบข้าง

เช่นเดียวกันกับที่เราทำงานให้องค์กรหน่วยงานต่างๆ หากองค์กรหน่วยงานได้กำหนดทิศทางการพัฒนาไว้แล้ว (ซึ่งก็คือ วิสัยทัศน์) เราในฐานะที่เป็นบุคลากรพนักงานในองค์กรได้กำหนดการทำงานของเราให้สอดคล้องเป็นไป “บนเส้น” ที่องค์กรหน่วยงานกำหนดไว้แล้ว เราย่อมจะไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความสำเร็จอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวของ “online” หรือ “บนเส้น” (ที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ICT) เราสามารถที่จะกำหนดให้อยู่บนเส้นของ ๓ธ คือ

ธรรมะ

ธรรมชาติ

และธรรมดา

หากเราทุกคนสามารถที่จะทำได้ เราจะไม่มีคำว่า “เส้นใหญ่” “มีเส้น” เราจะมีเพียงแต่ “บนเส้น”

ขอขอบพระคุณหนังสือของท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี “บนเส้นทางชีวิต” ที่ได้ให้แง่คิดอันสำคัญที่จะเดินทาง “บนเส้น” ของชีวิตตัวเราเองอย่างมีคุณค่า และขอบคุณนักศึกษาปริญญาโท IT คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่มีแรงผลักดันในเขียนเรื่อง online

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หนึ่งเดียวคือแม่

เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสได้ดูรายการดีๆ ของช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ "รายการจันทร์พันดาว" มีช่วงหนึ่งที่เป็นการแสดงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อสตางค์ โดยเขาคนนั้นร้องเพลงขื่อว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" ผู้เขียนไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังเพลงนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่า ไม่เขียนไม่ได้แล้ว ความตั้งใจในการร้องของน้องสตางค์ เนื้อหาสาระของเนื้อเพลง ทำให้น้ำตาของผู้เขียนไหลออกมาเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า คำว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" นั้น ยิ่งใหญ่มหาศาล คณานับ ล้นเหลือเกินจะบรรยายได้ น้ำตาของผู้เขียนที่ไหลออกมานั้น เป็นความรู้สึกว่าแม่ของเรานั้นยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาทดแทนพระคุณนั้นได้

หนึ่งเดียวคือแม่ ทำให้ทราบว่ากว่าที่เรา (ทุกคน) จะมีชีวิตได้ทุกวันนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน (จริงๆ แล้ว ผู้เขียนขอเปลี่ยนเป็น "ล้านเข็ญเหลือเกิน" เพราะมันมีค่ามากกว่าแสน) ครับ เนื้อหาของเพลงบางครั้งอาจจะทำให้เรามีสติมีความยั้งคิดเกิดขึ้นว่าทำไม่ หนึ่งเดียวคือแม่ นั้น มีความสำคัญอย่างมาก มีความหมายอย่างมาก อันนี้เราทุกท่านทราบดีว่า กว่าจะมีเราในวันนี้นั้นแม่ได้เสียสละความสุขส่วนตัวมามากแล้ว ความทุกข์ของแม่คือความสุของลูก (ขณะที่ผู้เขียนได้บรรยายหรือเขียนขณะนี้ น้ำตายังไหลอยู่เลย เพราะไม่รู้ว่าในชีวิตชาตินี้ไม่รู้ว่าจะทดแทนบุญคุณของแม่ได้อย่างไร พูดง่ายๆ คือ หมดปัญญาที่จะทดแทนบุญคุณดังกล่าว)

น้องสตางค์ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่ทำให้เราทราบว่าพระคุณของคุณแม่นั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้จะเหมือนได้ หนึ่งเดียวคือแม่ ทำให้เราเกิดความเข้าใจเกิดความรู้สึกที่ดีว่า ที่เรามีลมหายใจได้ทุกวันนี้ นั้น เพราะ "หนึ่งเดียวคือแม่จริงๆ " แต่ก่อนผู้เขียนเคยโกรธให้แม่เวลาที่แม่อารมณ์ไม่ดี แม่ดุด่าเรา แต่เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสคิดทบทวนแล้วทำให้ทราบว่า ที่คุณแม่ดุด่าว่าเรานั้น ก็เพราะความรู้สึกที่ท่านอยากจะให้เราได้รับแต่สิ่งดีๆ เกิดประโยชน์ต่อตัวเรา หนึ่งเดียวคือแม่ เป็นสิ่งที่เราทุกคนทราบกันดีว่า ไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกใบนี้จะทดแทนได้ พระคุณท่านที่ยิ่งใหญ่ เราจะต้องหาโอกาสหาเวลาทดแทนตอบแทนท่านให้ได้ ผู้เขียนเสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เพราะแม่ได้จากผู้เขียนไปตั้งนานแล้ว ก็ได้แต่อยากจะเสนอให้ท่านใดที่ยังมีแม่อยู่ได้คิดว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" เราจะต้องหาโอกาสหาเวลา ทำให้ "แม่คือหนึ่งเดียวที่เราจะทำให้ท่านได้มีความสุขเท่าที่เราจะทำได้"

หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าเราจะทำเพื่อแม่เมื่อไรก็ได้ อย่างไรก็ดี สำหรับผู้เขียนแล้วขออนุญาตแนะนำทุกท่านว่า หากท่านมีเวลาให้กับ "หนึ่งเดียวคือแม่" ในวันนี้ ขอให้ท่านได้ลงมือทำเลยและทำอย่างที่เราอย่างจะทำเพื่อแม่จริงๆ

วกกลับมาเรื่องของน้องสตางค์ที่ได้น้องเพลงเพื่อแม่ก่อนหน้านี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนประทับใจในคำพูดของน้องคือ "เมื่อหนูสู้แล้วพ่อจะต้องสู้ด้วยนะ ต้องการให้พ่อเขามีสุขภาพดีเหมือนเดิม" ซึ่งจริงๆ แล้วน้องสตางค์เขาเหลือพ่อเพียงคนเดียวและป่วยด้วย คำพูดของน้องสตางค์ทำให้น้ำตาของผู้เขียนต้องไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะขนาดที่น้องสตางค์อายุยังน้อยก็ยังมีความคิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้ที่ให้กำเนิดบังเกิดเกล้าและสร้างกำลังให้ผู้เป็นพ่อ คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า "หากเรารักใครปรารถนาดีต่อใคร ผลดังกล่าวย่อมเกิดผลดีอย่างแน่นอน" ซึ่งเราเรียกว่า "คิดดี ย่อมจะเกิดผลดี"

ครับ ในโลกใบนี้นั้น หากเราทุกคนตระหนักถึง "หนึ่งเดียวคือแม่" จะทำให้เราที่แม่เกิดพลังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือ การใดๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขอสนับสนุน ทุกท่านที่ยังมีแม่อยู่ให้ความสำคัญของ "หนึ่งเดียวคือแม่" ส่วนท่านใดที่แม่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ขอให้ท่านได้ระลึกถึงแม่และพระคุณของท่านอยู่ตลอดเวลา เพราะแม่จะคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ "หนึ่งเดียวคือแม่" หากคนไทยทุกคนให้ความสำคัญอย่างจริงจังทุกระดับทุกสังคม ผู้เขียนเชื่อว่าสังคมไทยของเราจะมีเป็น "น้ำหนึ่งใจเดียวกัน" เพราะหากเราคิดถึง "แม่" เรื่องต่างๆ ที่เราคิดจะเป็นเรื่องที่ดีๆ ทั้งนั้น เมื่อ "หนึ่งเดียวคือแม่" เราควรจะต้องทำให้ "แม่คือหนึ่งเดียว" กันนะครับ

"ผมรักแม่ครับ"

"ผมคิดถึงแม่เมื่อไรทำไมน้ำตาของผมมันไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลย"

"ผมอยากจะบอกว่า แม่คือสิ่งเดียวที่วิเศษที่สุดในโลกใบนี้ครับ"

หากท่านพอมีเวลา ท่านลองฟังเพลง "หนึ่งเดียวคือแม่" นะครับ

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ม.ม้า ม.แม่

วันนี้ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างน้อมถวายความจงรักภักดี ถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าราชินีฯ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

โดยเมื่อเช้าของวันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าราชินีฯ ร่วมกันหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุบลราชธานี และหลังจากนั้นก็ใช้เวลาไปห้างสรรพสินค้าต่างๆ จนถึงเที่ยงวัน ทำให้ผู้เขียนได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับ “วันแม่” มีแม่ลูกคู่หนึ่งที่แต่งกายเหมือนกันทุกอย่างตั้งแต่ทรงผม เสื้อผ้า กระโปรง รองเท้า ทำให้รู้สึกแม่และลูกคู่นั้นมีความตั้งใจเป็นอย่างมาก และทั้งคู่เวลาเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข และมีอีกส่วนที่ผู้เขียนได้เห็นคือ มากันทั้งยาย แม่ และ ลูก ชวนกันไปรับประทานอาหารกลางวัน รู้สึกว่าสังคมไทยของเรามีความอบอุ่นเป็นอย่างมากมีความผูกพันทั้งรุ่นยาย รุ่มแม่ รุ่นลูก ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ทำไมตัวเราไม่เคยจะทำแบบนี้ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะผู้เขียนไม่เคยเห็นหน้าคุณยายเลย และใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่เพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรครับ พระคุณของคุณแม่นั้นยังตราตรึงอยู่ในจิตใจทุกห้วงเวลา

คำว่า “แม่” นั้น เป็นแหล่งกำเนิด เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นประโยชน์มหาศาล มีพละกำลัง มีอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งคำว่า “แม่” ถูกนำไปใช้นำหน้านามหรือสิ่งต่างๆ ที่ระบุถึงสิ่งที่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เช่น

- ใช้นำหน้า “น้ำ” กลายเป็น “แม่น้ำ” คือ แหล่งให้กำหนดน้ำที่หล่อเลี้ยงมนุษยชาติในประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้

- ใช้นำหน้า “ทัพ” กลายเป็น “แม่ทัพ” คือ ผู้กล้า ผู้ที่มีสติปัญญา ผู้นำ ในการออกศึกเพื่อป้องกันประเทศชาติให้รอดพ้นจากผู้รุกราน

- ใช้นำหน้า “สี” กลายเป็น “แม่สี” คือ สีที่เป็นแหล่งกำหนดของสีต่างๆ กล่าวคือ แม่สีประกอบด้วยสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน เป็นบ่อเกิดของสีต่างๆ มากมาย เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายเช่นกัน

- ใช้นำหน้า “คุณ” กลายเป็น “แม่คุณ” คือ หญิงอันเป็นที่รักยิ่งของชายให้ความเคารพนับถือ (อันนี้ผู้เขียนคิดเองนะครับ)

- ใช้นำหน้า “พิมพ์” กลายเป็น “แม่พิมพ์” คือ ผู้ให้ความรู้สั่งสอนเราให้ได้แต่สิ่งดีๆ สำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งก็คือ “ครู” ผู้สอนเรานั้นเอง

- ใช้นำหน้า “ครัว” กลายเป็น “แม่ครัว” คือ ผู้ที่ประกอบอาหารให้เราได้รับประทานเป็นอย่างดี

นอกจากนั้น คำว่า “แม่” ใช้นำหน้าคำอื่นๆ อีกมากมาย เช่น แม่โพสพ แม่พระธรณี แม่ย่านาง แม่นม เป็นต้น แต่บางครั้งคำว่า “แม่” ก็ยังสามารถนำไปใช้ชีวิตประจำวัน เช่น แม่ยก แม่สื่อแม่ชัก แม่เลี้ยง

ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่านครับ คำว่า “แม่” นั้น ยิ่งใหญ่มหาศาลเกินที่เราทุกคนจะคณานับได้ และยิ่งเป็นที่น่าแปลกใจประหลาดใจเป็นอย่างมาก คือ ทุกชนชาติ ล้วนเอยคำที่เรียกผู้ที่ให้กำเนิดเกิดเรามานั้น ด้วยคำที่มี “ม.ม้า” ล้วนแทบทั้งสิ้น กล่าวคือ ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สหรัฐ จะเรียกผู้ที่ให้กำเนิดว่า “MOM หรือ MAM” คนเอเชียจีน จะเรียกว่า “ม๊ะ ม่า หรือ ม่ามี้” สำหรับคนไทยทุกคนก็เรียกว่า “แม่” ซึ่งจะเห็นว่าล้วนใช้ตัว ม.ม้า กันเกือบทุกส่วนในโลกใบนี้ เรื่องนี้แหละที่ทำให้ผู้เขียนประหลาดใจและคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ภาษาไทยพยัญชนะของไทยเรา ทำไมถึงเรียก “ม.” ว่า “ม.ม้า” ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาเป็นเรียกว่า “ม.แม่” ที่เป็นอย่างนี้ ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนที่เกิดมาล้วนเกิดได้ก็เพราะแม่ และเราจะระลึกถึงแม่อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่

ไม่เป็นไรครับ ผู้เขียนเพียงแต่ขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวเพียงเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ตามแต่ “ม.แม่” สำหรับผู้เขียนแล้วไม่มีสิ่งใดที่ทดแทนได้ พระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิดผู้เขียนก็ไม่รู้ว่าจะทดแทนอย่างไร ได้เพียงแต่พยายามทำตัวเองให้ดี ทำดีเพื่อส่วนร่วมเท่าที่จะทำได้ตามโอกาสและศักยภาพของตัวเราเอง ผู้อ่านหลายๆ ท่านที่มีคุณแม่อยู่ด้วยท่านก็คงจะทำหน้าที่ที่ดีของท่านในฐานะของลูก ส่วนท่านใดที่เป็นคุณแม่ก็คงทำหน้าที่ของตัวท่านให้ดีที่สุด ผู้เขียนไม่โอกาสอย่างหลายๆ ท่าน คุณแม่ของผู้เขียนได้จากโลกใบนี้นานแล้ว แต่อย่างไรก็ดี ผู้เขียนและคุณแม่ของผู้เขียน สิ่งที่ที่เหมือนกัน นั้น คือ มี “ม.แม่” ด้วยกัน เพราะชื่อของคุณแม่ผู้เขียนมีชื่อว่า “มะลิ” ส่วนผู้เขียนก็มี “ม.แม่” คือ ชื่อว่า “มนูญ”

ดังนั้น เนื่องในโอกาสวันนี้เป็นวันแม่ ขอให้แม่ทุกท่านมีความสุข มีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และสุดท้ายอยากจะเชิญชวนทุกท่าน มาเรียก “ม.ม้า” เป็น “ม.แม่” เพื่อเราทุกคนจะได้ระลึกถึงพระคุณของ “แม่” อยู่ตลอดเวลา

อ้างอิงเพิ่มเติม "ที่นี้"

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เล็ก แต่ ดี

หลายสิ่งในโลกใบนี้เขาสร้างให้เป็นคู่ (หมายถึง มีสองสิ่งอาจจะเหมือนกันหรือตรงกันข้าม) ขาวคู่กับดำ สูงคู่กับเตี้ย (ต่ำ) อ้วนคู่กับผอม ยาวคู่กับสั้น และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่วันนี้ ผู้เขียนอยากจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ "เล็ก" หลายๆ ท่านคงจะทราบกันดีว่า "เล็ก" อาจจะคู่กับใหญ่ และหลายท่านเช่นกันอาจจะบอกว่า "เล็ก" เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดงานต่างๆ แล้วละก็มักจะกล่าวกันว่าจะต้องจัดให้ "ใหญ่ๆ" และ "ยิ่งใหญ่" เอาเข้าไว้ จะเป็นเหตุผลประการใดก็ตามแต่ ผู้เขียนไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้องจะดีกว่าทุกท่านอาจจะลืมไปว่า ที่เราเกิดมานั้นล้วนแต่เริ่มต้นมาจากสิ่งที่เรียกว่า "เล็กๆ" ทั้งนั้น เริ่มจากหนุ่มสาว (ที่เป็นคู่กัน) เริ่มรักกันชอบกันจากสิ่งเล็กๆ เป็นตัวเริ่มต้น แล้วก็ตัดสินใจใช้ขีวิตสมรสกัน จนในที่สุดก็มีสิ่ง "เล็กๆ" เริ่มก่อตัวในท้องของเจ้าสาวและกลายเป็นคุณแม่ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของเราทุกคนนั้นอย่างที่กล่าวแล้วนั้น เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ทั้งนั้น แล้วจะไม่ให้ผู้เขียนเขียนถึงเรื่อง "เล็ก" ได้อย่างไรกัน

ก็อย่างที่พระพุทธองค์ได้สั่งสอนเราไว้หลายพันปีแล้วว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดดับอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างหากกล่าวลงย่อยให้เล็กๆ จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย (หากเราลองพินิจพิจารณาให้ดี) ที่กล่าวอย่างนี้ เพราะวันนี้ (๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔) เป็นวันพระใหญ่ วันอาสาฬหบูชา ที่เราทุกคนชาวพุทธควรจะกลับมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง "เล็ก" ที่อยู่จิตใจของเรา หากเราไม่สนใจเรื่องเล็กในจิตใจของเรา ปล่อยไว้มัน มันจะขยายตัวเป็นเรื่องใหญ่ เราจะต้องพิจารณาให้มันเล็กลงไปเรื่อยๆ จนดับสูญไปให้ได้ (ผู้เขียนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน "ดีแต่พูด")

กลับมาสู่โลกความจริงในปัจจุบัน "เล๊ก" อาจถูกใช้สำหรับการเรียกชื่อของลูกๆ คนสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง เราจะเห็นว่ามีพี่ๆ เพื่อน น้องๆ ที่ชื่อ "เล็ก" มากมาย แต่หลายๆ ท่านที่ชื่อ "เล็ก" ก็ไม่ได้เล็กตามชื่อ หลายๆ ท่านมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ มีความยิ่งใหญ่ในการเรียนในการทำงาน ดังนั้น ผู้เขียนก็เลยอยากจะขอให้กำลังใจคนชื่อ "เล็ก" ถึงแม้ท่านจะเล็ก แต่ท่านก็เป็นบุคคลที่ทำให้คนชื่อ "ใหญ่" บางคนยังทำไม่ได้เหมือนท่านเลย ด้วยเหตุนี้ จะกลายเป็นว่า "เล็ก แต่ ดี" และขอให้กำลังใจเอาใจช่วยให้คนชื่อ "เล็ก" ได้ประสบความสำเร็จในการทำเรื่องที่ตรงกันข้ามกับชื่อของท่าน คือ ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ "ใหญ่ๆ และ ยิ่งใหญ่" ในทุกเรื่องที่ท่านได้ตั้งใจจะทำ


สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ หากเราไม่ทำเรื่อง "เล็ก" ให้เป็นเรื่อง "ใหญ่" สังคมไทยของเราจะมีความสุขเป็นอย่างมาก เหมือนกันสภาพของประเทศไทยในปัจจุบันที่ผ่านพ้นการใช้สิทธิในการเลือกตั้งไปแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามแต่ หากทำเรื่อง "เล็ก" ให้เป็นเรื่อง "ใหญ่" มันอาจจะไม่ดี อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตของเราก็เหมือนกัน หากตัวเราทำเรื่อง "เล็ก" ให้เป็นเรื่อง "ใหญ่" ผู้เขียนเชื่อว่าตัวเราก็จะมีความทุกข์ไม่มีวันจบสิ้นอย่างแน่นอน

ครับในปัจจุบัน มีเรื่อง "เล็ก แต่ ดี" มากมายเหลือเกินจนผู้เขียนไม่สามารถนำมากล่าวในที่นี้ได้ แต่เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะมีเรื่อง "เล็ก แต่ ดี" ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านมากมายหลายเรื่องเช่นกัน ก็ขอให้ท่านได้ช่วยกันคนละไม้คนมือช่วยสังคมไทยของเราช่วยประเทศไทยของเราให้มีแต่เรื่อง "เล็กๆ แต่ ดี" ให้มากมาย อย่าพยายามทำเรื่อง "เล็ก" ให้เป็นเรื่อง "ใหญ่" นะครับ แต่ถ้าหากจะทำเรื่องที่ "ใหญ่ และ ยิ่งใหญ่" ก็ควรพยายามกระทำด้วยจิตที่ ๓ ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมะ และ ยุติธรรม แล้วเราจะทุกคนจะได้มีความสุขร่วมกัน

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สัน กับ เด็ก

พอย่างก้าวเข้าเดือนกรกฎาคมแล้วผู้เขียนมีความรู้สึกว่าแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร หรืออาจจะเป็นเพราะเราได้ทำงานมาแล้วครึ่งปี หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นเดือนที่จะเข้าพรรษาก็เป็นได้ แต่ก็ช่างมันเถอะครับ

อย่างไรก็ดี ตามที่ได้ตั้งหัวข้อหรือชื่อเรื่องไว้ว่า “สัน กับ เด็ก” เป็นชื่อเรื่องที่ผู้เขียนคิดได้เมื่อสักครู่นี้เอง เพราะมีนักศึกษาได้บอกว่าอาจารย์ลองเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ด.เด็ก ผู้เขียนก็เลยใส่คำว่า “สัน” เข้าไปด้วยเพื่อจะได้ให้มีความหมายเพิ่มเติมขึ้นมา เพราะ “สัน” มีความหมายว่า “ตน” หรือ “ตนเอง” หรือ “ตัวเอง” เพื่อจะพยายามให้เข้ากับ ด. เด็ก ให้ได้ เหตุผลก็เนื่องจาก เด็กโดยส่วนมากมักจะเห็นประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ตั้งแต่แรกเกิด (หากเราจำความได้) หากอยากจะได้อะไร พ่อแม่ตามใจ ตามใจ (เนื้อหาเหมือนกับเพลงของวงคาราบาวเลยครับ) สำหรับเรื่องของ “สัน” ที่เป็น ตัวตน ตัวเอง หรือ เรียกง่ายๆ ว่า ตัวกู ของกู นั้น (ผู้เขียนเคยได้เขียนไว้ที่เรื่อง I my mine and me (มันเรื่องของฉัน ของเรา ของผม หรือของกู) ) นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากหากว่าเราทุกคนรู้ตัวของเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจะทำให้เราเข้าใจว่าตัวของเราเป็นอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เมื่อ “สัน” ตัวของเรารู้ตัวของเราดีแล้ว ต่อไปเราอาจจะต้องมองหาสิ่งที่จะมาต่อจาก “สัน” ซึ่งอย่างที่ผู้เขียนได้เกริ่นนำไปแล้วว่า “สัน กับ เด็ก” จะเป็นอย่างไร

ด.เด็ก คำแรกที่จะต้องต่อจาก “สัน” คือ ด.เด็ก ที่เป็น “โดษ” จึงเป็น “สันโดษ” หมายถึง การที่ตัวตนเองมีความพอใจ พอดี พอเพียง กับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้หมายถึงการที่ได้อยู่ตัวคนเดียวตามลำพังโดยที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครในโลกใบนี้ ด้วยเหตุนี้ หลายๆ อย่างในชีวิตของเราทุกอาชีพเราสามารถที่จะ “สันโดษ” ได้ โดยที่พอใจ พอเพียงกับฐานะอาชีพของตนเอง พอใจพอเพียงในสิ่งที่ตนมีอยู่ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากมายที่หลายๆ ท่านได้ใช้ชีวิตอย่าง “สันโดษ” ตามฐานะหน้าที่ของตนเอง (และที่สำคัญอย่างเข้าใจผิดว่า สันโดษ คือ การที่อยู่คนเดียวตามลำพัง นะครับ)

ค.เด็ก คำที่สองที่จะต้องต่อจาก “สัน” คือ ด.เด็ก ที่เป็น “ดาน” จึงเป็น “สันดาน” หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าคำๆ นี้ไม่สุภาพ ซึ่งจริงแล้วผู้เขียนก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อได้ทราบและรู้ว่า “สันดาน” หมายถึง พื้นฐานเดิมของจิตอุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด (โดยส่วนมากมักใช้ในทางไม่สู้จะดี และใช้เป็นคำด่า เช่น สันดานชั่ว เลวในสันดาน เป็นต้น) ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนต่างก็มีสันดานคือเป็นเรื่องของจิตตัวเรามาตั้งแต่กำหนดว่าเป็นอย่างไร สันดานเป็นสิ่งที่เราทำให้เรารู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร เกิดการพัฒนาจิตของเราพัฒนานิสัยของเรา เพราะตัวนิสัยก็ย่อมจะต้องเกิดจากจิต หากจิตของเราเป็นจิตที่ดี สิ่งที่ตามมาก็ดี คือ นิสัยดี และก็จะกลายเป็นสันดานดีในที่สุด

ซึ่งจะเห็นว่าหากผู้ปกครองคุณพ่อคุณแม่ได้ให้ลูกๆ ของท่านได้เข้าใจเรื่องของ “สัน” กับ “เด็ก” ตั้งแต่วัยเยาว์แล้วละก็จะทำให้เด็กลูกๆ ของท่านกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพก้าวหน้าในการเรียนการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าเป็นอย่างมากในสังคม

ดังนั้น หากเราทุกคนทำสันโดษให้เป็นสันดานของเราก็คงจะดีนะครับ เพราะเราจะได้กลายเป็นคนที่มี ๒ สัน หรือ สัน ๒

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โขน กับ หัวโขน

หลายวันก่อนนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีท่านหนึ่งได้แนะนำและอยากจะให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องของหัวโขน ผู้เขียนได้รับปากท่านไป แล้วและคิดว่าจะต้องสวมหัวโขนในการเขียนเรื่องดังกล่าวให้ได้

โขน เป็นการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงอันเก่าแก่ของเมืองไทยมาเป็นเวลาช้านาน อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดี (รายละเอียดไม่ขออนุญาตกล่าวถึงนะครับ) แต่โดยข้อเท็จจริงผู้เขียนก็ไม่เคยได้มีโอกาสได้สัมผัสและดูการแสดงของโขนสักกะที ซึ่งโดยส่วนมากแล้วเรามักจะทราบกันดีว่าโขนที่แสดงนั้น เป็นเรื่อง “รามเกียรติ์”

แต่ประเด็นสำคัญคือ “โขน” มักจะเกี่ยวกับ “หัวโขน” เพราะบทบาทการแสดงต่างๆ นั้น ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ และตัวลิง จะต้องแต่งกายให้เป็นไปตามบทบาทที่กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวยักษ์ ตัวลิง จะต้องสวมหัวโขนเพื่อทำให้ทราบว่าหน้าตาลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งผู้แสดงเมื่อสวมหัวเข้าไปแล้วก็จะต้องเล่นไปตามหน้าตาหรือหัวที่กำหนดไว้ เช่น ตัวยักษ์ (ซึ่งก็มีหลายประเภท) ก็ย่อมจะแสดงให้สมจริงสมจังในอิทธิฤทธิ์ที่มีผู้กำหนดผู้เขียนบทได้วางไว้ ตัวลิงก็เช่นกัน (ก็มีหลายประเภท) ก็ย่อมจะต้องแสดงให้สมบทบาทที่ได้กำหนดตัวลิงบางตัวก็มีพลังอำนาจอิทธิฤทธิ์มากเช่นกัน

เมื่อหมดเวลาการแสดงหรือเรื่องราวของเรื่องนั้นได้จบลง หัวโขนของผู้แสดงในบทต่างๆ ทั้งตัวยักษ์ตัวลิงก็จำเป็นจะต้องถอดออกจากหัวของผู้แสดง เพราะหากไม่ถอดออกก็อาจจะชีวิตหาไม่ เนื่องจากไม่สามารถที่จะรับประทานสิ่งใดๆ ได้ และอาจจะได้รับอากาศไม่เพียงพอก็เป็นได้

จะเห็นว่าในเรื่องของโขนข้างต้นนั้น ตัวพระ ตัวนาง (นางเอก) มักจะไม่สวมใส่หัวโขน (อันนี้ผู้เขียนก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด) แต่ผู้เขียนจะให้ข้อสังเกตว่า หัวโขนมักจะถูกสวมใส่เฉพาะในบทบาทของตัวยักษ์ตัวลิงเท่านั้น ดังนั้น อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าเมื่อสวมหัวแล้วจะต้องเล่นให้สมจริงตามบทที่กำหนด หากเปรียบเทียบกับมนุษย์เรานั้นจะเห็นว่าการที่เราทำหน้าที่ต่างๆ ล้วนต่างถูกกำหนดให้สวมในบทบาทต่างๆ เช่น เป็นพ่อแม่ก็จะต้องทำหน้าที่ที่ถูกวางกำหนดไว้ตามตำแหน่งหน้าที่ของพ่อแม่ ลูกก็จะต้องทำหน้าที่ของที่กำหนดเรียกว่าลูกให้ดีที่สุด เป็นต้น จะเห็นว่าสิ่งที่กำหนดตั้งแต่เราแรกเกิดมาบนโลกนี้ เราจะต้องทำหน้าที่ตามที่สังคมได้กำหนดไว้แล้วอย่างเช่น พ่อ แม่ ลูก และกล่าวสำหรับที่เราได้ถูกสมมติเพิ่มเติมต่อจากนั้นอีก คือ บทบาทของการเป็นนักเรียน นักศึกษา เราก็จะต้องทำหน้าที่ในหัวโขนดังกล่าวให้สมบูรณ์ครบถ้วน

และเมื่อเราสำเร็จการศึกษาเราก็ถูกสมมติให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งการงานต่างๆ ตามที่ได้เล่าเรียนมา แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องย้ำเน้นเกี่ยวกับหัวโขนโดยตรง คือ หากเมื่อไรก็ตามที่เราได้มอบบทบาทหน้าที่ในระยะเวลาที่เขากำหนด เราก็จะต้องทำให้สมบทบาทในหน้าที่ในเวลาที่เขากำหนดให้แสดง ตัวอย่างเช่น เราอาจจะถูกกำหนดให้รับหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญๆ หรือยิ่งใหญ่ แน่นอนครับเราจะต้องทำหน้าที่สวนหัวโขนดังกล่าวให้ดีและเหมาะสมกับหัวโขนนั้นๆ แต่ประการสำคัญที่จะกล่าวคือ หลายๆ ท่านอาจจะลืมไปว่านั้นเป็นเรื่องสมมติที่เขากำหนดให้เราสวมหัวโขน สักวันเขาจะต้องถอดออก สักเวลาเราก็ย่อมจะถอดออก เราไม่สามารถสวมหัวโขนดังกล่าวไว้ได้ตลอดเวลา และจะยิ่งเลวร้ายเป็นอย่างมากหากเราได้สวมหัวโขนในบทบาทหน้าที่ที่มีพลังอำนาจ ปรากฏว่าเราใช้อำนาจพลังไม่ถูกไม่ควรไม่สมบทบาทตามที่กำหนดไว้แล้ว ก็จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล

โลกของการแสดงโขนย่อมจะมีวันเวลาจบสิ้น หัวโขนย่อมจะถูกถอดออก ตัวผู้แสดงก็ย่อมกลับคืนสู่ชีวิตปกติสุขที่เป็นอยู่ ตำแหน่งหน้าที่ที่กำหนดหากเป็นเสมือนกับหัวโขนที่เขากำหนดให้แสดง หากเราลุ่มหลงใส่แต่หัวโขนแสดงอำนาจพลังตามที่หัวโขนกำหนดไว้ไม่ยอมถอดออก (แม้แต่เวลาอยู่หลังฉากการแสดงก็ไม่ยอมถอด) และไม่ยอมถอดแม้ว่าการแสดงจะจบสิ้นสมบรูณ์ลงไป เราอาจจะเป็นทุกข์ที่จะต้องบทสวมหัวโขนในบทของตัวยักษ์หรือตัวลิงอยู่ตลอดเวลา (หัวโขนมักจะกำหนดให้สวมกับเฉพาะบทบาทของตัวยักษ์กับตัวลิงเท่านั้น ตัวพระ ตัวนาง มักจะไม่ต้องสวมหัวโขน)

ดังนั้น ที่ผู้เขียนได้ลองเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง “โขน” หรือ “หัวโขน” ตามข้างต้นไปแล้วนั้น ผู้เขียนคิดอยู่เหมือนกันว่าตกลงผู้เขียนสวมหัวโขนในบทบาทอะไรกันอยู่ในขณะนี้ เป็น “ตัวพระ” “ตัวนาง” (ตัวนางคงเป็นไปไม่ได้) “ตัวยักษ์ “ หรือ “ตัวลิง” กันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผู้เขียนสวมบทบาท เป็นตัวของตัวเอง จะเป็นดีแน่แท้ ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านพยายามเป็นตัวของตัวเอง โดยการค้นหาตัวเองให้พบ แล้วท่านจะได้พบกับ “ตัวพระ” อย่างแท้จริง



วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชอบ ทำ

มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาล้วนต่างเกี่ยวกับคำว่า "ชอบ" และ "ทำ" ก่อนที่จะขยายความและนำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผู้เขียนขอนำเสนอคำว่า "ชอบ" ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษ คือ "Like" ที่ฮิตกันมากในการใช้ Social Network โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ใช้บริการของ Facebook

ชอบ หรือ Like นั้นประกอบด้วย

L= Look ดู

I = Identify กำหนด

K = Know รู้

E = Everyone ทุกๆ คน

ดังนั้น Like ดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องดูกำหนดรู้ให้ดีเพื่อบอกกับทุกๆ คนว่าเรานั้นพอใจกับสิ่งนั้นๆ ซึ่งเราก็จะเรียกว่า "ชอบ" ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราชอบสิ่งใดเราจะต้องดูกำหนดรู้ให้ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจและมีความสุขในสิ่งที่เราได้ดูกำหนดรู้ลงไป จะเห็นว่าชอบถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั้นแต่มีความหมายเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อไรก็ตามที่ชอบสิ่งใดนั้น เราจะมีความสุขในสิ่งที่เราชอบ

ที่นี้เมื่อชอบแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนก็ต้องขอนำเสนอคำว่า "ทำ" ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษน่าจะเป็นคำว่า "Do"

D = Develop พัฒนา

O = Organise จัดองค์กรหน่วยงาน

ดังนั้น "ทำ" หรือ " Do" จะเป็นการพัฒนาองค์กรหน่วยงานของเรา ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าการ "ทำ" คือ การพัฒนางานของเราที่เราได้รับมอบหมายหรือรับผิดชอบให้ดีขึ้น

อย่างไรก็ดี เมื่อเรามีคำสองคำ "ชอบ" และ "ทำ" อาจจะสามารถนำจับมาคู่กันได้หลายกรณีดังนี้

กรณีที่ ๑ ชอบ ทำ

กรณีที่ ๒ ชอบ ไม่ทำ

กรณี ๓ ไม่ชอบ ทำ

กรณี ๔ ไม่ชอบ ไม่ทำ

หากเราพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อไรก็ตามที่เราเกิดความชอบในงานของเราและได้มีโอกาสได้ "ทำ" งานดังกล่าวแล้ว เราจะมีความสุขเป็นอย่างมาก ส่วนกรณีที่ ๒ เรามีความชอบแต่เราไม่มีโอกาสได้ทำซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยใดๆ ก็ตามแต่ ในทางตรงกันข้ามกรณีที่ ๓ เราไม่ชอบเลย แต่ได้มอบหมายให้ "ทำ" งานนั้น แล้วท่านคิดว่าวจะมีความสุขหรือไม่ครับ ส่วนกรณีสุดท้ายนั้น เราไม่ชอบ ก็ไม่ต้องทำเลย กรณีนี้เป็นกรณีที่หากท่านใดประสบกับตัวเองก็อาจจะมีความสุข เพราะไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดๆ ทั้งนั้น

กรณีที่ ๑ และ ๔ เป็นกรณีพิเศษที่อาจจะเกิดความสุขสำหรับท่านใดที่ได้ประสบพบกับเหตุการณ์นั้นๆ แต่โดยส่วนมากในชีวิตของคนเรานั้น มักจะเจอกันกรณีที่ ๓ คือ ไม่ชอบ แต่ได้ "ทำ" ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วย่อมจะเกิดความทุกข์ตามมาอย่างแน่นอน ที่นี้เราจะทำอย่าไรดี ส่วนกรณีที่ ๒ "ชอบ" ไม่ได้ทำ ก็ยังดีความสุขในการที่ได้ชอบถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสทำ

ขอวกกลับมากรณีที่ ๓ ที่อาจจะเกิดความทุกข์มากที่สุด ผู้อ่านหลายๆ ท่านคงอาจะประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่ไม่ชอบแต่ได้รับมอบหมายให้ทำ ผู้เขียนก็เคยประสบเช่นกัน หนทางหนึ่งที่จะทำได้คือ จะต้องทำเช่นกัน คือ "ทำใจ" ให้ยอมรับให้ชอบเพื่อจะได้ "ทำ" ต่อไปให้สำเร็จบรรลุตามเป้าหมายที่ได้รับมอบหมายไว้ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวผู้ที่เป็นหัวหน้าผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาก็ควรจะต้องพิจารณาเช่นกันว่าได้มอบหมายด้วยความเป็นธรรมหรือด้วยความตามข้อเท็จจริงความสามารถของผู้ที่จะมอบงานให้เขาทำหรือไม่

ดังนั้น สิ่งที่ผู้เขียนใคร่ขอนำเสนอคือ เรื่องของ "ชอบ" และ "ทำ" นั้น ทั้งผู้มีอำนาจผู้บังคับบัญชาควรจะพิจารณามอบในสิ่งที่เรียกว่า "ชอบธรรม" แทนคำว่า "ชอบให้ทำ" ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่หากเราทุกคนทุกระดับไม่ว่าชนชั้นใดทำงานหน้าที่ใด หากทำด้วยความ "ชอบธรรม" แล้วสังคมทุกสังคมจะมีแต่ความสุขด้วยความชอบธรรมจริงๆ

สังคมไทยของเราจะอยู่ร่วมกันได้ก็เพราะความเราคนไทยทุกคนจะต้องมีความ "ชอบธรรม" ในทุกๆ เรื่อง

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรื่องของ ๒ ดวง และเกี่ยวกับ พระ

เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้เขียนได้เฝ้าดูปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งคิดว่าหลายๆ ท่านคงจะทราบกันดีว่าเกี่ยวกับเรื่องของ ๒ ดวง คือ ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ ผู้เขียนคงจะไม่ลงรายละเอียดของปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าว แต่สิ่งที่ต้องการจะสื่อให้ทุกท่านได้ร่วมกันคิดและร่วมกันเพิ่มเติม นั่นคือ การที่ ๒ ดวง สำคัญกับชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก "ดวง" เราอาจจะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเป็นไปในทางที่ดีก็มักจะถูกเรียกว่า "ดวงดี" หากตรงกันข้ามก็จะถูกเรียกว่า "ดวงไม่ดี หรือ ดวงซวย" (ซึ่งเราทุกคนล้วนไม่ต้องการ)

ดวงเมื่อนำหน้าอาทิตย์ ก็จะหมายถึง ดวงอาทิตย์ ที่ให้แสงสว่างให้พลังงานในเวลากลางวัน

ดวงเมื่อนำหน้าจันทร์ ก็จะหมายถึง ดวงจันทร์ ที่ให้แสงสว่างในเวลาค่ำคืน (ทั้งที่ความจริงแล้วดวงจันทร์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่จะสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ในเวลาค่ำคืนเท่านั้นเอง)

เมื่อเรานำคำว่า "ดวง" มานำหน้าอาทิตย์และจันทร์ ก็จะเป็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่สามารถคาดคิดได้ว่า ในแต่วันนั้นดวงอาทิตย์จะให้แสดงสว่างมากหรือน้อย บางครั้งก็แสงแดดร้อนแรงเป็นอย่างมาก บางครั้งก็ไม่ร้อนแรง (เพราะมีเมฆมาบดบัง) ก็เช่นเดียวกันในเวลากลางคืน แสงจากดวงจันทร์ก็ไม่แน่นอนเช่นกัน ดังนั้น จะเห็นว่าทั้ง ๒ ดวงยังไม่มีความแน่นอนเลย แล้วชีวิตของมนุษย์เราจะแน่นอนได้อย่างไร ย่อมจะมีดีหรือไม่ดีควบคู่กันเสมอไป

อย่างไรก็ดี บางครั้งเราก็เอาคำว่า "พระ" มาแทนคำว่า "ดวง" เพื่อนำหน้า "อาทิตย์" และ "จันทร์" จึงกลายเป็น "พระอาทิตย์" และ "พระจันทร์" ตามลำดับ

แล้วเมื่อนำ "พระ" มานำหน้าคำดังกล่าวแล้วจะเป็นอย่างไร ครับอย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวนำไปข้างต้นแล้วว่า เมื่อดวงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่คาดคิด เมื่อนำคำว่า "พระ" มานำหน้าแล้ว ผู้เขียนก็คิดว่า น่าจะหมายถึงทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสิ่งที่สำคัญนำแสงสว่างมาให้มนุษย์เราทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนในการเดินทางไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ พระเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้นำไปสู่การรักษาศีลชี้นำเราไปสู่หนทางที่ดีได้พบกับแสงสว่างในชีวิต นั้นหมายความว่าสิ่งใดก็ตามแต่ที่มีพระนำหน้า จะทำให้เราได้มีสติในการรักษาศีลเพื่อทำความดีนำแสงสว่างมาสู่ชีวิตของเรา ทั้งกลางวันเรามีพระอาทิตย์ในการนำแสงสว่างมาสู่การดำรงชีวิตให้เรา พร้อมกับกลางคืนเรามีพระจันทร์นำแสงสว่างมาสู่ตัวเราให้มีความสุขเช่นกัน

ดังนั้น ชีวิตของมนุษย์หากเรามีพระนำหน้าในทุกเรื่องแทนที่จะเป็นคำว่า "ดวง" ก็ย่อมหมายความว่า หากเรารักษาศีลมีสติในการนำสำหรับการทำงานการปฏิบัติแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า ชีวิตของเราจะมีแต่แสงสว่างไม่มืดมน สามารถที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมายของชีวิตเราได้ชัดเจนและมีความสุขอย่างแน่นอน จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องข้างต้นที่ว่า "๒ ดวง แล้วเกี่ยวกับ พระ"

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนก็ขออนุญาตเพิ่มเติมว่า หากเมื่อไรก็ตามที่ชีวิตของเราอาศัยแต่ดวงแล้วอาจจะทำให้เราไม่มีความสุข แต่หากเมื่อไรก็ตามที่การดำรงชีวิตของเรานำเอา "พระ" มานำหน้าอย่างที่กล่าวไปแล้ว เหมือนกับที่เราเปลี่ยนจาก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มาเป็น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็คิดว่าน่าจะทำให้เราสามารถมีแสงสว่างในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงและมีความสุขอย่างยั่งยืน

ดวงไม่ดี ก็โทษนั่นโทษนี้
ดวงดี ก็บอกว่าเกิดจากบุญกุศล
มีดวงเกิดเป็นคน ก็ต้องมั่นทำความดี
หากให้ดี ก็ต้องคิดแต่เรื่องดีๆ และลงมือทำ

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Way back into love

วันนี้ผู้เขียนกำหนดชื่อเรื่องเป็นภาษาอังกฤษว่า “Way back into love” ซึ่งเป็นชื่อเพลงๆ หนึ่ง เรื่องของเพลงผู้เขียนเดี๋ยวเราค่อยมาฟังกันภายหลังว่าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อในวันนี้ คือ การหาหนทางกลับมารักกันใหม่ อาจจะเหมือนบรรยากาศของประเทศไทยของเราให้ขณะนี้ที่กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งกันไม่อีกสัปดาห์ สิ่งที่หนึ่งเราคนไทยทุกคนจะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาในระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยคนไทยเราต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน (อาจจะเป็นเพราะอะไรผู้เขียนคิดว่าทุกท่านทราบกันดี) และสิ่งหนึ่งที่เหล่านักการเมืองผู้เสียสละจะเข้ามารับใช้พ่อแม่พี่น้องประชาชนต่างก็นำเสนอคือเรื่องของ “ความปรองดอง” หลายๆ พรรคการเมืองต่างก็มีนโยบายความเห็นที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ดี หากเราคนไทยทุกคนทุกฝ่ายทุกพรรคต่างก็พยายามที่หาหนทางการกลับมารักกันให้เหมือนเดิมแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าประเทศไทยของเราจะน่าอยู่เป็นอย่างมาก แน่นอนครับหนทางที่ว่าสิ่งหนึ่งที่จะเป็นไปได้นั้น จะต้องมีคำว่า “ให้” โดยให้ในที่นี้ คือ ให้อภัยซึ่งกันและกัน ให้ความรักซึ่งกันและกัน ให้การยอมรับกันและกัน และการให้นี้แหละครับที่เป็นเรื่องที่ยาก เพราะหากว่าทุกคนไม่ได้ให้ด้วยความจริงใจอย่างแท้จริงบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงแล้วละก็ การให้ดังกล่าวก็สูญเปล่า สำหรับ “ให้” ตรงกับภาษาอังกฤษ คือ “GIVE”

G = Good สิ่งที่ดีๆ

I = I ตัวเรา

V = Victory ชัยชนะ

E = Everything ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง


ดังนั้น “ให้” ดังกล่าวก็จะเป็นการที่ตัวเรานำสิ่งที่ดีๆ ทุกๆ อย่างทุกๆ ด้านให้กับคนอื่นๆ คนรอบข้างเพื่อชัยชนะร่วมกัน โดยชัยชนะร่วมกัน คือ ความสุขของแผ่นดินและในหลวงของเรา

เราทุกคนเมื่อครั้งในอดีตอาจจะเคยโกรธให้เพื่อนร่วมห้อง (ตั้งแต่สมัยมัธยมหรือระดับไหนก็ตามแต่ ซึ่งผู้เขียนก็เคยเหมือนกัน) แต่สิ่งหนึ่งเราได้พยายามให้ความโกรธนั้นหายไปและหาหนทางกลับมารักกันเหมือนเดิม ก็คือการที่เราได้มีโอกาสได้คุยกันด้วยความเป็นเพื่อนและที่สำคัญ คือ การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” และ “การให้อภัยกัน” แน่นอนครับเมื่อเราทั้งสองต่างก็ขอโทษซึ่งกันและกันและให้อภัยกันแล้ว ความรักก็กลับมาเหมือนเดิมและยิ่งรักกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ประเทศไทยของเราหากว่าเราโกรธกันแล้ว ถ้าต่างฝ่ายต่างขอโทษกันและให้อภัยกัน ผู้เขียนคิดว่า Way back into love จะสามารถทำให้เราคนไทยยิ่งรักกันมากยิ่งๆ ขึ้นไปอีกครับ

ด้วยเหตุข้างต้น หากว่าคนไทยทุกคนหาหนทางเพื่อกลับมารักกันเหมือนเดิมโดยเริ่มจากการให้แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนคงจะมีความสุขอย่างแน่นอน ดังนั้น เราทุกคนลองมาทำให้เหมือนกับประโยคหนึ่งในเพลงที่ว่า “All I want to do is find a way back into love” (และลองฟังเพลงเต็มๆ ว่าดูว่าจะทำให้มีหนทางหรือไม่)

สุดท้ายนี้ หากว่าผู้เขียนเคยกระทำสิ่งใดๆ ให้ท่านใดโกรธ ก็ขอโทษและขอให้ท่านให้อภัยด้วยก็แล้วกัน เพื่อเราจะได้หาหนทางกลับมารักกันเหมือนเดิมและยิ่งรักกันมากกว่าเดิม ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เก๋ หรือ ไม่เก๋

หลายวันก่อนมีน้องได้บอกว่าให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องของ “เก๋” ผู้เขียนก็คิดอยู่นานพอสมควรว่าจะออกเป็นอย่างไรดี แต่ไม่เป็นไรลองเขียนดูว่าจะ “เก๋” หรือ “ไม่เก๋”

คำๆ นี้ เป็นคำที่วัยรุ่นสมัยก่อนและสมัยนี้ต่างนำมาใช้สำหรับการขยายคำนามหรือคำกริยา หรือที่เรียกว่า คำคุณศัพท์ (ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้เขียนพูดถูกหรือเปล่า) "เก๋" ถูกใช้ในการอธิบายสิ่งนั้นๆ ไปทิศทางที่ดีเชิงบวก ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีมีพลัง และโดยส่วนมากก็ใช้สำหรับความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย แต่งข้าวของสิ่งของทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ รวมถึงบ้านเรือนที่พักอาศัย และที่สำคัญ "เก๋" มักจะไม่ถูกใช้ในเชิงวิชาการหรือเป็นทางการทางราชการ

เก๋ เป็นการบ่งบอกหรือกล่าวจากบุคคลหนึ่งไปชื่นชมอีกบุคลหนึ่งหรืออีกสิ่งหนึ่ง และตัวเราเองโดยส่วนมากก็อาจจะไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น "เก๋ หรือ ไม่เก๋" และโดยส่วนมากเราก็มักจะได้ยินการชื่นชมด้วยคำว่า "เก๋" นั้นเป็นการกล่าวชมด้วยความจริงใจและเป็นข้อเท็จจริงจากสิ่งที่เราได้เห็นได้ยิน


เก๋ จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าสิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้เกิดความประทับใจ ซึ่งบางครั้งเราก็อาจจะรู้สึกว่าเราก็อยากจะทำตามและเอาเป็นแบบอย่างไปใช้ต่อไปทำต่อจากสิ่งที่เราได้เห็นได้ยินมา หลายๆ ครั้ง "เก๋" ทำให้เกิดขบวนการเรียนรู้ร่วมกัน หรือ อาจจะเรียกว่าเป็น KM (Knowledge Management) ไปในตัว เพราะเกิดการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในที่สุด


กล่าวสำหรับ "เก๋" ของวัยรุ่นแล้วก็มักจะเป็นการกระทำอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาหรือแปลกประหลาดออกไป ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่โดยธรรมชาติแล้วก็มักจะเป็นอย่างนี้ เพราะมีความต้องการให้ตัวเองเด่น ดัง เก่ง เป็นที่สนใจของคนอื่นๆ ดังนั้น วัยรุ่นก็มักจะครุ่นคิดและค้นสิ่งใหม่ๆ เพื่อนำเสนอต่อเพื่อนๆ ทั้งวัยใกล้ๆ กันและต่างวัยต่างเพศ หากคนใดสามารถคิดค้นได้ก็จะกลายเป็น "คนที่เก๋มาก" ในทางตรงกันข้ามหากสิ่งที่ได้คิดค้นหรือกระทำลงไปแล้ว "ไม่เก๋" เลย ก็จะทำให้เสียความรู้สึกก็ได้


ดังนั้น หากวัยรุ่นได้ครุ่นคิดคิดค้นสิ่งใหม่ที่ "เก๋" และมีประโยชน์ต่อทั้งการเรียน การดำรงคงอยู่ในช่วงชีวิตของวัยรุ่นอย่างมีความสุขแล้ว จะทำให้วัยรุ่นเกิดการแข่งขันกันในการทำสิ่งที่ "เก๋" และมีประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ผู้เขียนเลยวัยดังกล่าวมานานแล้ว ก็เลยไม่สามารถคิดค้นอะไรที่ "เก๋ๆ" แต่ตรงกันข้ามสิ่งที่คิดได้กลับ "ไม่เก๋" เลย ครับในชีวิตของเราหากเราคิดอะไรที่ "เก๋ๆ" แล้วจะทำให้เกิดความสุขในการที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่จะคิดอะไร "เก๋ๆ" ขึ้นมานะครับ


หากอยากจะ "เก๋" จะต้องทำตัวให้ "เท่"
หากอยากจะ "เท่" จะต้องทำตัวไม่ให้ "ว้าเหว่"
หากไม่อยากจะ "ว้าเหว่" จะต้องทำตัวให้ "เก๋" อยู่เสมอ

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อมีคำว่า "ลา" ก็ย่อมมีคำว่า "จาก"

หลายครั้งในชีวิตของคนเรานั้นย่อมจะมีคำว่า "ลา" การลาเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งสองสิ่งจะต้องแยกออกจากกันด้วยระยะห่างที่สามารถจะวัดออกมาเป็นหน่วยต่างๆ ตามที่มนุษย์กำหนด อีกทั้งการลาอาจจะบ่งบอกถึงการยุติการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เคยกระทำเป็นประจำตามหน้าที่ การลาอาจจะทำให้เรามีความรู้สึกว่าทั้งเศร้าเสียใจหรืออาจจะดีใจก็ได้ ตัวอย่างเช่น การลาพักผ่อน เป็นการหยุดทำหน้าที่ที่เคยปฏิบัติชั่วคราว และเราก็นำตัวของเราไปสู่อีกที่หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสบายผ่อนคลายพักผ่อนมีความสุข และการลาอีกอย่างที่อาจจะทำให้เกิดความทุกข์และเศร้า ก็อาจจะเป็นการลาออกจากงาน (โดยที่เราถูกบังคับให้ลาออก) เห็นหรือยังครับว่า การลานั้นทำให้เราทั้งมีความสุขและทุกข์ไปด้วยกันแล้วแต่สถานการณ์และโอกาส

การลาทำให้เราผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเหตุผลคือ "การลา" มักจะคู่กับ "การจาก" การลาทำให้เรานั้นจะต้อง "จาก" ในสิ่งที่เราเคยทำหรือเคยปฏิบัติ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วการลามักจะทำให้เกิดความเสียใจโดยส่วนมาก เมื่อเราได้เห็นได้รู้ว่าเมื่อไรจะมีการลา เรามักจะเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากให้เกิดการลาเลย โดยบางครั้งเราอาจจะเคยเห็นเคยได้ยินคำว่า "ลา" นั้นมีหลายประเภท เช่น ลาบวช ลากิจ ลาพักผ่อน ลาศึกษาต่อ ลาออก เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะหลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่ายังมีลาอีกอย่างหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยได้ "ลา" หรือ ได้เคยปฏิบัติ สิ่งนั้น คือ "ลาตาย" เพราะเหตุใดที่ผู้เขียนได้กล่าวถึง "ลาตาย" เพราะการลาตายเป็นสิ่งที่เราหลีกหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน การลาตายทำให้เราจะต้องจากกับสิ่งที่รักสิ่งที่เราเคยห่วงแหนเคยผูกพัน การลาดังกล่าวทำให้เราต้องจากห่างจากสิ่งที่เราเคยรัก ทำให้เราเกิดความเสียใจเศร้าใจ

อย่างไรก็ตาม หากเราทุกคนได้เรียนรู้ว่าการลานั้นไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสียหายเลย เป็นสิ่งเราจะต้องเรียนรู้และยอมรับว่าการลาเป็นเรื่องที่เราจะต้องพบประสบกันทุกคน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขอให้เราทุกคนมาเรียนรู้ "การลา" ย่อมจะคู่กับ "การจาก" และสิ่งหนึ่งที่จะทำให้การลาและการจากเกิดความสุข คือ เราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้ว่าการลามันเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ทำไมเราจะต้องให้เรื่องสมมติดังกล่าวมาทำร้ายเราให้เสียใจ เราจะต้องสามารถกำหนดให้เรื่องการลาเป็นเรื่องปกติในของชีวิตของเราให้ได้

หลายๆ คนอาจจะเคยมีความรู้สึกว่าอยากจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ อาจจะเป็นเพราะปัญหาในการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาก็แล้วแต่ ซึ่งการลาออกเป็นหนทางหนึ่งของการยอมแพ้ในสิ่งที่เราคิดว่าเราไม่สามารถอดทนต่อไปได้ เพราะหากเราจะทำต่อไปเราจะเกิดความทุกข์อย่างหาที่สุดมิได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วการลาออกเป็นหนทางทางเลือกสุดท้าย (และสุดท้ายจริงๆ ) ที่เราจะเลือก ดังนั้น อย่าให้การลาออกเป็นทางเลือกที่เราเลือกโดยที่เราไม่อยากจะเลือกจริงๆ ขอให้การลาออกเป็นการทางเลือกสำหรับที่เราจะเดินทางไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนเท่านั้นครับ

และสุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้เราทุกคนได้เรียนรู้ว่า เมื่อ "ลา" ก็จะต้องมี "จาก" เมื่อมี "จาก" เราก็ไม่ต้องไม่เสียใจเศร้าใจ

เมื่อลา ก็ต้องจาก
เมื่อจาก ก็ต้องห่าง
เมื่อห่าง ก็ต้องไป
เมื่อไป ก็ต้องกลับ
เมื่อไม่กลับ ก็ต้องลับจากกันในที่สุด

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สิ่งร้ายๆ จะต้องกลายเป็นดีในที่สุด

เมื่อวานเย็น (๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔) ผู้เขียนได้เจอน้องเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเขาได้บอกว่าเพื่อนร่วมงานอีกคนมีสิ่งที่เราเรียกว่า "ร้าย" อยู่ในร่างกาย ผู้เขียนเมื่อได้ยินถึงกับมีความรู้สึกว่าจิตใจอ่อนแรงลงไปอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว สำหรับเพื่อนร่วมงานที่มีสิ่งที่เรียกว่า "ร้าย" อยู่ในร่างกายนั้นเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้สึกมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบในฐานะที่เรียกว่า "ครู" เป็นแบบอย่างที่ดีมากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กล่าวสำหรับที่เรียกว่า "ร้าย" เป็นสิ่งที่อยู่กับตัวมนุษย์ของเรา อยู่ติดกับตัวเราที่เรียกว่า "เนื้อร้าย" เนื้อรายเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่ต้องให้มีหรืออยู่ใกล้กับเรา อย่างไรก็ดี เนื้อร้าย เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หากมันเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องดังกล่าวแล้ว เพื่อนร่วมงานคนที่บอกนั้นได้เพิ่มเติมว่า "ท่านไม่ต้องไปเยี่ยมหรอก เพราะท่านยังทำใจไม่ได้" ยิ่งทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า เราในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมงานเราจะทำอย่างไรดี เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็รู้จักกันเคยทำงานร่วมกัน ก็ได้แต่ส่งกำลังใจแรงใจไปช่วยให้ท่านเข้มแข็ง มีจิตใจที่จะสามารถดำรงอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า "เนื้อร้าย" ให้ได้

ครับ เรื่องร้ายๆ จะกลายเป็นดีได้นั้น เราจะต้องช่วยๆ กัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ส่งจิตของเราให้กับเพื่อนๆ ที่มีแต่เรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีให้ได้ บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเรื่องของกำลังใจเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่า เมื่อไรก็ตาม เราคิดแต่เรื่องที่ดีๆ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องร้ายๆ ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ต้องไปสนใจมัน เมื่อมันเป็นไปแล้ว ทำก็ทำใจยอมรับกับเรื่องร้ายๆ แต่เรามาเริ่มคิดใหม่ในเรื่องที่ดีๆ แน่นอนครับอาจจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับตัวเรา เราอาจจะพูดได้ เพราะไม่เกิดกับตัวเรา แต่เมื่อไรก็ตามหากมันเกิดขึ้นกับตัวเราแล้วเราจะทำอย่างไร (ท่านลองไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปสู่ปอดสักประมาณ ๑ ถึง ๒ นาที แล้วท่านจะรู้สึกอย่างไร) แน่นอนครับเป็นเรื่องที่ลำบากมากหากว่าเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น หนทางที่ดีสุดคือจะต้องอยู่มันให้ได้ เรียนรู้ว่ามันไม่สามารถทำอะไรเราได้หรอก เมื่อมันทำอะไรเราไม่ได้ สิ่งร้ายๆ ดังกล่าวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายน้อยลงและดีขึ้นในที่สุด สิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อเราคิดดีย่อมจะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดีในที่สุด

เช่นกันครับ หากเพื่อนร่วมงานของเรามีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น เราก็สามารถคิดดีปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมงาน ผู้เขียนเชื่อว่า เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะสามารถกลายเป็นเรื่องที่ดีได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ เรามาช่วยกันคิดดีปรารถนาดีกับเพื่อนร่วมงานของเรา ร่วมทั้งเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานแต่เป็นเพื่อนมนุษย์คนไทยด้วยกัน และสุดท้ายนี้ผู้เขียนก็ขอให้เพื่อนที่มีเรื่องร้ายๆ ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับเรื่องร้ายๆ แล้วทุกอย่างจะกลายเป็นดีในที่สุด

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เคย แค้น และ เคย ผิด ?

วันนี้ตั้งใจเขียนเรื่องสักเรื่องให้กับเพื่อนร่วมงานที่เกิดอาการ “จุก” เมื่อวานนี้ (24 พ.ค. 2554) แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี อย่างไรก็ดี เมื่อเช้าได้เดินออกกำลังกายก็เลยคิดเรื่องที่จะอยากจะแลกเปลี่ยนและให้กำลังสำหรับท่านใดที่อาจจะเกิดอาการ “จุก”

ครับในชีวิตของเราทุกคนนั้น ผู้เขียนคิดว่าทุกคนจะต้องเคยเกิดอาการ “แค้น” (แต่ไม่ใช่ อาการแค้นในภาษาอีสานที่หมายถึงอาการกินมากเกินไป จน “จุก” นะครับ) กล่าวสำหรับ “ความแค้น” เกิดจากการที่เราถูกทำร้ายทั้งด้านกาย วาจา หรือ ใจ โดยผู้ที่ทำร้ายเรานั้นอาจจะมีอำนาจมากกว่า อาจจะมีอาวุธมากกว่า หรือ อาจจะมีอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้เรานั้นเกิดความทุกข์ในด้านที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่า “ความแค้น” มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลาเกิดความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ

แน่นอนครับ ที่นี้ ปัญหาคือว่า แล้วมันจะดับร้อนดับความแค้นไปได้อย่างไร มันยากมาก เหมือนกับสุภาษิตจีนที่บอกไว้ว่า “แค้นนี้ต้องชำระ” แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ดังนั้น ในระยะเวลาที่เรามีความแค้นอยู่นั้นมันจะเป็นทุกข์อย่างมาก จะหาโอกาสที่แก้แค้นให้ได้ ผู้เขียนคิดว่า เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้การเอาชนะความแค้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราเอาชนะความแค้นได้ เราจะหมดทุกข์ เราไม่ต้องเป็นห่วงว่า คนที่กระทำกับเราเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะได้รับอะไร เพราะกฎธรรมชาติเป็นธรรมเสมอ ใครทำอะไรก็จะได้อย่างไร เหมือนกับคำสอนที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ไม่เร็วไม่ช้าผลกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำต่อคนอื่น เราก็จะต้องได้รับเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้ วิธีการดับความแค้นนั้นไม่ยาก คือ ดับที่ตัวเราที่จิตของเราโดยการไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยวางมัน ให้ความทุกข์ออกจากตัวของเราให้ได้ (วิธีง่ายๆ ลองยิ้มซิครับ เพราะการยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เรามีความสุขและความทุกข์จะหายไป หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองทำหน้าโกรธเป็นทุกข์ และลองยิ้มดูว่า อย่างไหนง่ายกว่ากัน)

ที่นี้เรื่องของความผิด ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความ “ผิด” เป็นทุกข์ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาจากท้องของคุณแม่เรา เพราะอะไรละครับ ท่านลองนึกดูว่าเมื่อเราเกิดมาตั้งแต่วินาทีแรกนั้น เราทุกคนก็ร้องให้แล้ว ไม่มีใครคนไหนเลยที่คลอดออกมาแล้วยิ้มเลยไม่มี ด้วยเหตุนี้ ทุกคนล้วนเคยทำ “ผิด” กันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นความผิดเล็กน้อยความผิดมากมายใหญ่โตจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อตัวเรารู้ว่าตัวเราทำ “ผิด” เราควรจะต้องทำสิ่งดังกล่าวมาคิดทบทวนอย่างมีสติว่าเป็นเพราะเหตุใด มีอะไรเป็นปัจจัยในการที่เราได้ลงมือกระทำลงไป และทุกสังคมประชาคมมนุษย์เราอยู่ด้วยกันเพื่อนร่วมงานต่างก็เคยทำผิดพลาดทั้งในการทำงานหรือการปฏิบัติตน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เรานั้นได้เรียนรู้ถึงความผิดการทำผิด และเมื่อผิดแล้วเราแก้ไขและให้อภัยซึ่งกันและกัน หากเมื่อใดที่เราให้อภัยซึ่งกันและกันความ “แค้น” ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นและไม่เกิดความทุกข์ตามมา ผู้เขียนคิดว่า “การกระทำผิด” ในเรื่องต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่หากว่าเรารู้แล้วมาเรื่องนี้ผิด เราจะต้องไม่ทำอีก และจะต้องนำไปบอกคนอื่นๆ สอนคนอื่นๆ เพื่อจะทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดการพัฒนาเรื่องนั้นๆ ในการทำงาน และในที่สุดจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งการพัฒนางานและพัฒนาตัวเราสังคมเรา ชุมชนของเรา

ครับ “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่ประสบพบเห็นกับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่อเราเข้าใจในเรื่อง “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปโดย “ไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะแก้ไข” (ผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากการเมืองเป็นอย่างที่กล่าวก็จะดีต่อประเทศไทยของเรา)


ปล. หากท่านต้องการอ่านเรื่องที่อาจจะเกี่ยวกับ เช่นที่นี้ครับ

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ท่านเคยตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต?

ตัดสินใจ ชื่อเรื่องยาวมากครับวันนี้ แต่เป็นเรื่องที่ผู้เขียนคิดว่าทุกท่านจะต้องเคยตัดสินใจในเรื่องประเด็นที่สำคัญที่สุดในชีวิต เช่น เลือกที่เรียนที่ศึกษาต่อ เลือกที่จะทำงาน เลือกที่จะมีคู่ครอง หรือ อื่นๆ อีกมากมาย

ครับ เมื่อวานนี้ (วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔) มีนักศึกษาของวิทยาเขตมุกดาหารได้เดินทางมาพบผู้เขียนที่มหาวิทยาลัยเขาบอกผมว่าจะขอโอนย้ายจากมุกดาหารมาเรียนที่อุบลราชธานี ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เพราะเนื่องจากคิดว่านักศึกษาคนดังกล่าวคงจะคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็เพียงให้ข้อคิดว่าไปว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา (หมายถึง ตัวนักศึกษา) จะต้องคิดให้ดี เพื่อตัวเราเอง” แล้วผู้เขียนก็ลงนามในเอกสารให้กับนักศึกษาคนดังกล่าว แล้วก็บอกต่อว่า เอกสารดังกล่าวมันก็คือ เอกสาร หากเราไม่ต้องการเราก็ทิ้งเอกสารไป ไม่ต้องไปสนใจ

แต่แล้วในตอนเย็น ผู้เขียนก็ Online ผ่าน Galaxy Tab (ใช้ Internet Sim) ปรากฏว่านักศึกษาคนดังกล่าวได้ส่งข้อความถึงผู้เขียน แล้วก็บอกว่า “ผมตัดสินใจไม่ย้ายแล้วครับ” “ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้ว” และอื่นๆ อีกพอสมควร

สิ่งดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้เขียนรู้แล้วว่า การตัดสินใจครั้งสำคัญที่ชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เขาจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยความเข้าใจรอบครอบ ด้วยความพินิจพิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าดีหรือไม่ดี ว่าได้มากกว่าเสียหรือไม่ ว่ามีความสุขหรือมีความทุกข์มากกว่ากัน

นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วิทยาเขตมุกดาหาร บุคคลดังกล่าวนั้น ยิ่งใหญ่มาก และได้ทำในสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่ายิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา และเมื่อไรก็ตามที่เขาได้พิจารณาอย่างดีแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ สิ่งนั้นผู้เขียนเชื่อว่าจะไม่ทำให้เขาได้เกิดความทุกข์เลย นอกจากนั้น เขาเองจะมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจและกระทำลงไป น้อยคนนักที่จะสามารถกระทำได้ในสิ่งนี้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ตัวเรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นปัญหามันจะเป็นอุปสรรค เราไม่สามารถฝ่าฟันผ่านพ้นปัญหาหรืออุปสรรคไปได้ เราก็จะไม่สามารถก้าวพ้นสิ่งที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคไปได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตามแต่

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนคิดว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หรือ ที่วิทยาเขตมุกดาหาร ได้กล้าคิด กล้าตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเมื่อเขาเหล่านั้นสามารถทำได้ เขาจะสามารถทำอะไรก็ตามในชีวิตของเขาและจะสามารถประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า เขาสามารถใช้จิตในการสั่งกาย ใช้จิตในการที่ทำการใดๆ และการใช้จิตดังกล่าวนี้แหละเป็นพลังมหาศาลที่ผลักดันทำในเรื่องต่างๆ ได้

สุดท้ายผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังจะตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต ให้ท่านได้ใช้จิตที่เป็นกลาง จิตที่รู้ถึงความดีความงามในเรื่องนั้นๆ และเมื่อท่านสามารถทำได้แล้ว ความสุขจากการตัดสินใจจากการที่ได้ลงมือทำจะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน และเมื่อท่านได้ตัดสินใจบ่อยๆ ครั้งในเรื่องที่สำคัญ ท่านก็จะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถกำหนดให้ตัวเองได้ก้าวเดินไปในสิ่งที่ถูกที่ควรที่เหมาะสม ขอสนับสนุนการตัดสินใจของทุกท่านนะครับ

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เลือก + ตั้ง

เลือก ตั้ง ช่วงเวลานี้คนไทยทุกคนคงจะเฝ้ารอวันเลือกตั้งตามที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ อย่างที่เราทราบกันดี ทุกพรรคการเมืองต่างก็หาเสียงประชาสัมพันธ์นโยบายของตนเพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิ์ไปลงคะแนนเสียงได้พิจารณาว่านโยบายของพรรคใดเป็นสิ่งที่น่าเป็นไปได้และเป็นที่พอใจที่สุด

แต่สิ่งที่ผู้เขียนจะได้แลกเปลี่ยนในวันนี้ คือ เลือกตั้ง หากเราแยกทั้ง ๒ คำออกจากกันจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งข้างต้น

สำหรับ "เลือก" เป็นสิ่งที่เราทราบกันดีว่าจะต้องคู่กับ "ความต้องการ" เพราะหากเราไม่ต้องการเราก็ไม่ต้องไปเลือก และนอกจากนั้นจำนวนที่จะถูกเลือกหรือให้เลือกนั้นจะต้องมีจำนวนมากพอและมีคุณภาพไปด้วย สรุปง่ายๆ คือ การเลือกจะต้องประกอบทั้งจำนวนปริมาณและระดับคุณภาพ

เพื่อให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ขออนุญาตยกตัวอย่างประกอบ หากความต้องการมีค่าจำนวนปริมาณเท่ากับ ๕และระดับคุณภาพเท่ากับ ๕ ปรากฎว่าสิ่งที่ต้องการให้เลือกเป็นได้ ๔ กรณี ดังนี้
กรณีที่ ๑. มีปริมาณจำนวนมากกว่า และระดับคุณภาพที่สูงกว่า ความต้องการของเรา
กรณีที่ ๒. มีปริมาณจำนวนมากกว่า และระดับคุณภาพที่ต่ำกว่า ความต้องการของเรา
กรณีที่ ๓. มีปริมาณจำนวนน้อยกว่า และระดับคุณภาพที่สูงกว่า ความต้องการของเรา
กรณีที่ ๔. มีปริมาณจำนวนน้อยกว่า และระดับคุณภาพที่ต่ำกว่า ความต้องการของเรา


สำหรับกรณีที่ ๑ นั้น แน่นอนเราจะต้องเลือกอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ต้องการเลือกมีจำนวนมากกว่า กรณีนี้จะต้องพิจารณาให้อย่างดีถี่ถ้วน กรณีที่ ๒ และ ๔ เราคงจะไม่ต้องการ ส่วนกรณีที่ ๓ นั้น เราไม่ต้องเลือกเลย เราเอาหมดเลย เพราะจำนวนที่มีอยู่ก็มีจำนวนน้อยแต่มีระดับคุณภาพสูงมาก ดังนั้น จะเห็นว่า กรณีที่เราจะต้องทำการเลือกจะเกิดขึ้นได้เพียงกรณีที่ ๑ เท่านั้น


สำหรับ "ตั้ง" เป็นสิ่งที่เราทราบดีว่าเกี่ยวข้องกับการนำสิ่งของหรือวัตถุที่อาจจะล้มอยู่หรืออาจจะไม่มีอยู่ให้สามารถทำมุมกับพื้นโลกในลักษณะ ๙๐ องศา เช่น เสาไฟฟ้าที่นอนอยู่ข้างถนน เราตั้งให้เสาดังกล่าวทำมุมกับพื้นโลก ๙๐ องศาโดยการตั้งตรง หรือ การขึ้นบ้านใหม่ เราหล่อเสาเอกให้ตั้งตรงทำมุมกับพื้นโลก ๙๐ องศา และเสาบ้านทุกต้นก็จะต้องตั้งตรงทำมุมกับพื้นโลก ๙๐ องศาเช่นกัน เป็นต้น ซึ่งจริงๆ แล้วมีอีกจำนวนมากมายที่เกี่ยวกับ "การตั้ง "


จะเห็นว่าการตั้งนั้นจะเกี่ยวข้องกับการทำให้สิ่งที่ขนานกับพื้นโลก (คือ ทำมุม ๑๘๐ องศา) แล้วทำให้มันทำมุมกับพื้นโลกเป็นมุก ๙๐ องศา นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับวัตถุ แต่หากกล่าวถึงการตั้งที่เกี่ยวกับมนุษย์แล้ว ก็มักจะเกี่ยวกับการที่ทำให้มีขึ้นมา เช่น การตั้งคณะกรรมการ การตั้งคณะทำงาน การตั้งชมรม การตั้งสมาคม เป็นต้น ซึ่งการตั้งดังกล่าวก็มักจะเกี่ยวข้องกับการทำให้มันดีกว่าเดิม ทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนร่วม ทำให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลต่อองค์กร ทำให้เกิดความเรียบร้อยในการทำงานประสานงาน ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เรามีการตั้งที่เกี่ยวกับคณะบุคคล บุคคลเหล่านี้จะต้องมีความเที่ยงตรง (ให้เป็นมุม ๙๐ องศา กับพื้นโลก) มีความชี้ตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าถึงความศักดิ์สิทธิ์บนสรวงสวรรค์


ด้วยเหตุนี้ เมื่อไรก็ตามที่เราตั้งอะไรที่เกี่ยวกับคณะบุคคล จะต้องมีการเลือกบุคคลที่มีจำนวนปริมาณที่พอเหมาะและที่สำคัญคือจะต้องมีคุณภาพด้วย เพื่อให้การตั้งดังกล่าวสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ครับ ที่กล่าวมาทั้งหมดที่เกี่ยวกับ "เลือก" และ "ตั้ง" ผู้เขียนไม่มีเจตนาใดๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพียงแต่นำเสนอความคิดเห็นส่วนตัว เพื่อเป็นข้อคิดเตือนตัวเองเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากท่านใดจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นการดี เพราะจะทำให้เราทุกคนได้เรียนรู้การ "เลือก" และ "ตั้ง" เพิ่มเติม สามารถนำไปประยุกต์ในการปฏิบัติหน้าที่ทำงานได้อย่างดีมากยิ่งๆ ขึ้น


ปล.หากท่านใดสนใจอย่างจะอ่านเกี่ยวกับ ปรองดอง