วันนี้ตั้งใจเขียนเรื่องสักเรื่องให้กับเพื่อนร่วมงานที่เกิดอาการ “จุก” เมื่อวานนี้ (24 พ.ค. 2554) แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี อย่างไรก็ดี เมื่อเช้าได้เดินออกกำลังกายก็เลยคิดเรื่องที่จะอยากจะแลกเปลี่ยนและให้กำลังสำหรับท่านใดที่อาจจะเกิดอาการ “จุก”
ครับในชีวิตของเราทุกคนนั้น ผู้เขียนคิดว่าทุกคนจะต้องเคยเกิดอาการ “แค้น” (แต่ไม่ใช่ อาการแค้นในภาษาอีสานที่หมายถึงอาการกินมากเกินไป จน “จุก” นะครับ) กล่าวสำหรับ “ความแค้น” เกิดจากการที่เราถูกทำร้ายทั้งด้านกาย วาจา หรือ ใจ โดยผู้ที่ทำร้ายเรานั้นอาจจะมีอำนาจมากกว่า อาจจะมีอาวุธมากกว่า หรือ อาจจะมีอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้เรานั้นเกิดความทุกข์ในด้านที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่า “ความแค้น” มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลาเกิดความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
แน่นอนครับ ที่นี้ ปัญหาคือว่า แล้วมันจะดับร้อนดับความแค้นไปได้อย่างไร มันยากมาก เหมือนกับสุภาษิตจีนที่บอกไว้ว่า “แค้นนี้ต้องชำระ” แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ดังนั้น ในระยะเวลาที่เรามีความแค้นอยู่นั้นมันจะเป็นทุกข์อย่างมาก จะหาโอกาสที่แก้แค้นให้ได้ ผู้เขียนคิดว่า เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้การเอาชนะความแค้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราเอาชนะความแค้นได้ เราจะหมดทุกข์ เราไม่ต้องเป็นห่วงว่า คนที่กระทำกับเราเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะได้รับอะไร เพราะกฎธรรมชาติเป็นธรรมเสมอ ใครทำอะไรก็จะได้อย่างไร เหมือนกับคำสอนที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ไม่เร็วไม่ช้าผลกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำต่อคนอื่น เราก็จะต้องได้รับเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้ วิธีการดับความแค้นนั้นไม่ยาก คือ ดับที่ตัวเราที่จิตของเราโดยการไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยวางมัน ให้ความทุกข์ออกจากตัวของเราให้ได้ (วิธีง่ายๆ ลองยิ้มซิครับ เพราะการยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เรามีความสุขและความทุกข์จะหายไป หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองทำหน้าโกรธเป็นทุกข์ และลองยิ้มดูว่า อย่างไหนง่ายกว่ากัน)
ที่นี้เรื่องของความผิด ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความ “ผิด” เป็นทุกข์ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาจากท้องของคุณแม่เรา เพราะอะไรละครับ ท่านลองนึกดูว่าเมื่อเราเกิดมาตั้งแต่วินาทีแรกนั้น เราทุกคนก็ร้องให้แล้ว ไม่มีใครคนไหนเลยที่คลอดออกมาแล้วยิ้มเลยไม่มี ด้วยเหตุนี้ ทุกคนล้วนเคยทำ “ผิด” กันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นความผิดเล็กน้อยความผิดมากมายใหญ่โตจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อตัวเรารู้ว่าตัวเราทำ “ผิด” เราควรจะต้องทำสิ่งดังกล่าวมาคิดทบทวนอย่างมีสติว่าเป็นเพราะเหตุใด มีอะไรเป็นปัจจัยในการที่เราได้ลงมือกระทำลงไป และทุกสังคมประชาคมมนุษย์เราอยู่ด้วยกันเพื่อนร่วมงานต่างก็เคยทำผิดพลาดทั้งในการทำงานหรือการปฏิบัติตน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เรานั้นได้เรียนรู้ถึงความผิดการทำผิด และเมื่อผิดแล้วเราแก้ไขและให้อภัยซึ่งกันและกัน หากเมื่อใดที่เราให้อภัยซึ่งกันและกันความ “แค้น” ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นและไม่เกิดความทุกข์ตามมา ผู้เขียนคิดว่า “การกระทำผิด” ในเรื่องต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่หากว่าเรารู้แล้วมาเรื่องนี้ผิด เราจะต้องไม่ทำอีก และจะต้องนำไปบอกคนอื่นๆ สอนคนอื่นๆ เพื่อจะทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดการพัฒนาเรื่องนั้นๆ ในการทำงาน และในที่สุดจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งการพัฒนางานและพัฒนาตัวเราสังคมเรา ชุมชนของเรา
ครับ “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่ประสบพบเห็นกับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่อเราเข้าใจในเรื่อง “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปโดย “ไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะแก้ไข” (ผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากการเมืองเป็นอย่างที่กล่าวก็จะดีต่อประเทศไทยของเรา)
ครับในชีวิตของเราทุกคนนั้น ผู้เขียนคิดว่าทุกคนจะต้องเคยเกิดอาการ “แค้น” (แต่ไม่ใช่ อาการแค้นในภาษาอีสานที่หมายถึงอาการกินมากเกินไป จน “จุก” นะครับ) กล่าวสำหรับ “ความแค้น” เกิดจากการที่เราถูกทำร้ายทั้งด้านกาย วาจา หรือ ใจ โดยผู้ที่ทำร้ายเรานั้นอาจจะมีอำนาจมากกว่า อาจจะมีอาวุธมากกว่า หรือ อาจจะมีอะไรก็ตามแต่ที่จะทำให้เรานั้นเกิดความทุกข์ในด้านที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านเชื่อหรือไม่ว่า “ความแค้น” มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลาเกิดความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
แน่นอนครับ ที่นี้ ปัญหาคือว่า แล้วมันจะดับร้อนดับความแค้นไปได้อย่างไร มันยากมาก เหมือนกับสุภาษิตจีนที่บอกไว้ว่า “แค้นนี้ต้องชำระ” แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ดังนั้น ในระยะเวลาที่เรามีความแค้นอยู่นั้นมันจะเป็นทุกข์อย่างมาก จะหาโอกาสที่แก้แค้นให้ได้ ผู้เขียนคิดว่า เรื่องดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะต้องเรียนรู้การเอาชนะความแค้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราเอาชนะความแค้นได้ เราจะหมดทุกข์ เราไม่ต้องเป็นห่วงว่า คนที่กระทำกับเราเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะได้รับอะไร เพราะกฎธรรมชาติเป็นธรรมเสมอ ใครทำอะไรก็จะได้อย่างไร เหมือนกับคำสอนที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” ไม่เร็วไม่ช้าผลกรรมต่างๆ ที่ได้กระทำต่อคนอื่น เราก็จะต้องได้รับเช่นกันครับ ด้วยเหตุนี้ วิธีการดับความแค้นนั้นไม่ยาก คือ ดับที่ตัวเราที่จิตของเราโดยการไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยวางมัน ให้ความทุกข์ออกจากตัวของเราให้ได้ (วิธีง่ายๆ ลองยิ้มซิครับ เพราะการยิ้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เรามีความสุขและความทุกข์จะหายไป หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองทำหน้าโกรธเป็นทุกข์ และลองยิ้มดูว่า อย่างไหนง่ายกว่ากัน)
ที่นี้เรื่องของความผิด ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนที่เกิดมาล้วนมีความ “ผิด” เป็นทุกข์ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาจากท้องของคุณแม่เรา เพราะอะไรละครับ ท่านลองนึกดูว่าเมื่อเราเกิดมาตั้งแต่วินาทีแรกนั้น เราทุกคนก็ร้องให้แล้ว ไม่มีใครคนไหนเลยที่คลอดออกมาแล้วยิ้มเลยไม่มี ด้วยเหตุนี้ ทุกคนล้วนเคยทำ “ผิด” กันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นความผิดเล็กน้อยความผิดมากมายใหญ่โตจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อตัวเรารู้ว่าตัวเราทำ “ผิด” เราควรจะต้องทำสิ่งดังกล่าวมาคิดทบทวนอย่างมีสติว่าเป็นเพราะเหตุใด มีอะไรเป็นปัจจัยในการที่เราได้ลงมือกระทำลงไป และทุกสังคมประชาคมมนุษย์เราอยู่ด้วยกันเพื่อนร่วมงานต่างก็เคยทำผิดพลาดทั้งในการทำงานหรือการปฏิบัติตน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เรานั้นได้เรียนรู้ถึงความผิดการทำผิด และเมื่อผิดแล้วเราแก้ไขและให้อภัยซึ่งกันและกัน หากเมื่อใดที่เราให้อภัยซึ่งกันและกันความ “แค้น” ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นและไม่เกิดความทุกข์ตามมา ผู้เขียนคิดว่า “การกระทำผิด” ในเรื่องต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่หากว่าเรารู้แล้วมาเรื่องนี้ผิด เราจะต้องไม่ทำอีก และจะต้องนำไปบอกคนอื่นๆ สอนคนอื่นๆ เพื่อจะทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดการพัฒนาเรื่องนั้นๆ ในการทำงาน และในที่สุดจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งการพัฒนางานและพัฒนาตัวเราสังคมเรา ชุมชนของเรา
ครับ “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่ประสบพบเห็นกับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่อเราเข้าใจในเรื่อง “ความแค้น” และ “ความผิด” เราทุกคนสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปโดย “ไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะแก้ไข” (ผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากการเมืองเป็นอย่างที่กล่าวก็จะดีต่อประเทศไทยของเรา)
ปล. หากท่านต้องการอ่านเรื่องที่อาจจะเกี่ยวกับ เช่นที่นี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น