ที่ผ่านมาหลายๆ ครั้งในชีวิต เราได้เห็นหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่มากระทบดวงตาของเรา และที่สำคัญ คือ การมีแสงสว่างทำให้เราได้เห็นสิ่งต่างๆ และเช่นเดียวกัน เมื่อเราใช้ดวงตาของเราภายใต้แสงสว่างที่เพียงพอแล้วเพ่งไปที่สิ่งที่เรามีความสนใจ เราก็มักจะเรียกว่า มอง ซึงบางครั้งก็มีการเรียกว่า การมองเห็น
เช่น เรานั่งอยู่ข้างถนน เราเห็นรถยนต์วิ่งผ่านไปผ่านมา
และเช่นเดียวกัน เรามองรถยนต์คันหนึ่งสีแดงวิ่งผ่านหน้าเราไป
ดังนั้น จะเห็นว่า เราจะต้อง เห็นก่อน เราถึงจะมองสิ่งนั้นๆ ที่เราสนใจ จึงกลายเป็นว่า เรา มองเห็นรถยนต์สีแดงคันที่เราสนใจ เราลองมาพิจารณาดูว่า การเห็นแต่ไม่ได้มอง เป็นอย่างไร ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประกอบเกี่ยวกับการเรียนหนังสือเพื่อให้ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ในห้องเรียนหนึ่งอาจารย์ผู้สอนยืนอยู่หน้าห้อง มีนักเรียนในห้องเรียนประมาณ ๖๐ คน มีนักเรียนหลายๆ คนในห้องที่ใช้ดวงตาทั้งสองของพวกเขาและในห้องมีแสงสว่างที่เพียงพอ ทำให้พวกเขาสามารถเห็นอาจารย์ผู้สอนที่อยู่หน้าห้อง พวกเขาเพียงแต่เห็นอาจารย์เท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้มองอาจารย์ผู้สอนเลย เพราะพวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้เห็นด้วยจิตที่ตั้งใจในการเรียน
อย่างไรก็ดี หลากเหล่านักเรียนดังกล่าวข้างต้น ได้แต่มองอาจารย์ คือ หมายความว่า เพ่งดวงตาทั้งสองไปที่อาจารย์ผู้สอนที่อยู่หน้าห้องเท่านั้น แต่ไม่ได้เห็นอาจารย์เลย เพราะพวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้มองด้วยจิตใจที่ตั้งใจในการเรียน
ดังนั้น ถ้าจะให้ดี เมื่อนักเรียนได้เห็นแล้วก็ควรจะมองด้วย นั้น คือ การดูอะไรก็ตามแต่จะต้องใช้ดวงตาทั้งสองของเราให้สามารถเห็นสิ่งนั้นๆ และต้องมองด้วย เป็นการเห็นและมองด้วยจิตที่ตั้งใจใส่ใจในสิ่งนั้นๆ ด้วยเห็นนี้จะเห็นได้ว่า การเห็นและการมองเป็นสิ่งที่จะต้องคู่กัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนคิดว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ถ้าเราเห็นและมองในสิ่งที่เราทำอยู่นั้น เราจะมีความเข้าใจ เราจะมีความคิดกับสิ่งนั้นๆ มีความรู้สึกกับสิ่งนั้นๆ มีสติกับสิ่งนั้นๆ และในที่สุด เราก็สามารถพิจารณาทำให้เกิดความเข้าใจกับสิ่งนั้นๆ มากยิ่งๆ ขึ้น เหมือนกับในครอบครัวหนึ่งถ้าหากเกิดความไม่เข้าใจกัน คนในครอบครัวนั้น ก็ได้แต่เห็นกันเท่านั้น แต่ไม่ได้มองซึ่งกันและกัน ว่าแต่ละคนในครอบครัวกำลังทำอะไรอยู่ ใครทำอะไรก็ไม่สนใจ ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าหากครอบครัวใดที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทุกคนให้ครอบครัวต่างก็จะเห็นและมองซึ่งกันและกัน ว่าใครกำลังทำอะไรกันอยู่ ใครมีความเดือดร้อนอีกคนก็มองเห็นและเข้าไปช่วยเหลือ
ในองค์กรก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากคนในองค์กรนั้นต่างก็เห็นและมองซึ่งกันและกัน จะทำให้ทุกคนในองค์กรต่างก็ไถ่ถามทุกข์สุขของเพื่อนร่วมงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน ดูแลกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น การขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรก็ไปได้รวดเร็วเจริญก้าวหน้า เพราะทุกคนในองค์กรล้วนแต่มีจิตใจที่มองเห็นซึ่งกันและกัน หากวันนี้เป็นต้นไปองค์กรของเรา มองและเห็นกันและกัน ผู้เขียนประกันได้เลยว่า องค์กรนั้นจะเป็นองค์กรหน่วยงานที่มีความสุขในการทำงานเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เราคนไทยทุกคน เรามาเริ่มที่เห็นและมองตัวเองเสียก่อน เมื่อได้อย่างนั้นแล้ว ก็ลองเห็นและมองคนรอบข้าง แล้วก็เห็นและมองออกไปอีก คือ เห็นและมองสังคม เห็นและมองประเทศชาติ เมื่อเป็นเช่นกันแล้ว การเห็นและการมองจะทำให้เรามีความสุขเป็นอย่างมาก
มนูญ ศรีวิรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น