ผู้เขียนได้อ่านบทสัมภาษณ์ของพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร กับ "ธรรมะของพระเจ้าอยู่หัว" ในหนังสือสกุลไทย มีความตอนหนึ่งที่น่าประทับมากๆ
"... พอเดือนเมษายน ปี ๒๕๑๗ ก็เป็นปีที่ต้องเฝ้าฯ กันใหม่เพราะท่านเสด็จฯ ไปประทับหัวหินทุกเดือนเมษายน ผมก็มีบุญอีก ได้รับพระมหากรุณาฯ ให้เข้าไปรับพระราชทานเลี้ยง แต่คราวนี้มีบุญหนักเข้าไปอีกตรงที่ได้นั่งโต๊ะเสวยด้วย และอยู่ข้างพระเจ้าอยู่หัวด้วย พอรับประทานอาหารจะเสร็จแล้ว ก่อนเสด็จขึ้น ผมกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ท่านก็ถามว่าจะเอาอะไร ผมก็กราบทูลว่า ขอพระบรมราชานุญาตปิดทองหน้าพระ รับสั่งถามว่า ทำไม เกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าถวายละเอียดเลยว่า ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมระหกระเหินแค่ไหน เสี่ยงอันตรายแค่ไหน ไปปะทะต่อสู้ เครื่องบินถูกยิงจนเกือบจะตก แต่พอสิ้นปีผมไม่ได้เงินเดือนขึ้นสักบาท เพราะผมมีเรื่องทะเลาะกับนาย ท่านก็ฟังจนจบ ก็รับสั่งว่า ปิดทองหลังพระต่อไป แล้วมันจะล้นออกมาข้างหน้าเอง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ผมยึดหลักของพระเจ้าอยู่หัว คือ ผมทำให้มันดีที่สุด ใครจะชมก็ช่าง ใครจะด่าก็ช่าง ถ้าคุณดูให้ดีจะเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวเองท่านทรงปฏิบัติพระองค์อย่างนั้น ท่านทรงทำ ผมก็ทำตาม แล้วก็จริงอย่างที่ท่านรับสั่ง เวลานี้ทองยังล้นมาไม่หยุดเลย มันมาในรูปของลาภ ของยศ ของสรรเสริญ มาในรูปของความสุข..."
อ่านบทสัมภาษณ์ดังกล่าวแล้ว ผู้เขียนคิดว่า ควรจะเผยแพร่ให้ทุกท่านได้รับทราบเพื่อเป็นข้อคิดในการปฏิบัติตนไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดๆ หน้าที่ใดๆ ก็ตาม
การปิดทองหลังพระ เป็นส่ิงที่บางท่่านอาจจะไม่ชอบ เพราะเป็นลักษณะการกระทำสิ่งใดแล้วไม่มีคนอื่นเห็นว่าเรากำลังทำอะไรให้กับหน่วยงานองค์กรที่เราทำงานอยู่
ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว บางคนอาจจะยังไม่เคยแม้จะคิดไปปิดทอง (ไม่ว่าจะหลังพระ หรือหน้าพระ) ความหมายก็คือ ไม่เคยคิดแม้กระทั่งจะกระทำความดี ประกอบความดีในการเรียน การทำงาน หรือในการใดๆ และประการสำคัญ คือ เวลาทำงาน โดยส่วนมาก ผู้คนที่ทำงานให้หน่วยงานองค์กรใดๆ ก็มักจะทำงานเพื่อให้เจ้านาย หรือ ผู้บังคับบัญชาให้ได้เห็นว่า เรานั้นเป็นผู้ทำ ซึ่งบางครั้ง เขาเรียกว่า ทำงานเอาหน้าของตัวเอง โดยปกติเรารู้กันว่า ใครก็ตามที่คิดทำงานเอาแต่หน้านั้น ไม่น่าจะคบหาสมาคมด้วย เพราะเป็นคนที่เอาความดีใส่ตัว เอาความชั่วให้กับคนอื่น
แต่อย่างไรก็ดี ในสังคมไทยถ้าหากเราได้ปฏิบัติตนให้เหมือนกับพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งตามข้างต้น ที่ว่า " ปิดทองหลังพระต่อไป แล้วมันจะล้นออกมาข้างหน้าเอง " แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าสังคมของไทยเราคงจะมีแต่ความสุข เพราะสักวันเราจะมีทองที่ล้นออกมาข้างหน้าอย่างมากมาย
มีตัวอย่างที่ให้เห็นมากมายๆ แต่ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นลักษณะการปิดทองหลังพระหรือไม่ คือว่า "...ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของดินแดนที่ไกลมากๆ งบประมาณก็มีจำนวนจำกัดค่อนข้างจะน้อย เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่ห่างไกลจากเมืองหลวง เงินสำหรับการจ้างดูแลภูมิทัศน์สิ่งแวดล้อมก็ไม่คอยจะมี แต่มีพื้นที่ให้ดูแลมากมายเหลือเกิน คนงาน (หรือที่เรียกว่าคนสวน) ก็ทำงานในหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง เวลาทำงานเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย ทำงานก็ตั้งแต่เช้าประมาณ ๘ นาฬิกา ซึ่งทำงานดังกล่าวก็ร้อนมากๆ เพราะจะต้องเผชิญแดดที่แรงกล้าแผดเผาใบหน้าและร่างกาย คนงานเหล่านี้จะต้องสวมหมวกบางครั้งก็ต้องสวมหมวกที่เรียกว่า หมวกไหมพรม (เพราะเขาต้องการที่จะปัองกันแสงแดดนั่นเอง) คนในมหาวิทยาลัยไม่เคยรู้เลยว่าเขามีหน้าตาอย่างไร เขาทำงานเหนื่อยหรือไม่ เขาได้รับค่าจ้างเพียงพอต่อการดำรงชีวิตหรือไม่ ทั้งที่ชีวิตอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ทั้งการเรียน การสอน การทำงาน แต่สิ่งที่ทุกคนต้องการ คือ ต้องการให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีความสวยงาม มีภูมิทัศน์ที่น่าอยู่ แต่ทุกคนไม่เคยคิดเลยว่า จะทำมหาวิทยาลัย (บ้านของเรา) ให้น่าอยู่ได้อย่างไร มีแต่อ้างว่าไม่มีงบประมาณ ไม่มีคน ไม่มีสาระพัด แต่ไม่เคยคิดเลยว่า มีคนบางคนบางตำแหน่งที่จะต้องสู้แดดสู้ฝน เพื่อทำให้มหาวิทยาลัยน่าอยู่... เขาเหล่านั้นอยู่เบื้องหลัง เวลามีงานใหญ่ๆ เป็นหน้าเป็นตาของมหาวิทยาลัยพวกเขาไม่เคยได้มีส่วนร่วม..."
ที่จริงแล้วในองค์กรหนึ่งๆ นั้น อาจจะมีหลายๆงาน หลายๆ ฝ่าย หลายๆ คนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ ...(เสนอหน้า) แต่ไม่ผู้เขียนคิดว่าไม่เป็นไรหรอกครับ เราทำงาน ปิดทองหลังพระต่อไป แล้วมันจะล้นออกมาข้างหน้าเอง
และขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันปิดทอง... โดยปิดที่พระ และ ....ปิดที่หลังขององค์พระต่อไป นะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์
ขอขอบพระคุณ ท่านที่กรุณาส่งบทสัมภาษณ์พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ให้ได้อ่านนับว่าเป็นการปิดทองหลังพระช่วยกันต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น