ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าถึง หลวงปู่ดู่" เชื่อว่าพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกท่านคงต้องรู้จักทราบกันดีเกี่ยวกับท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ หลวงปู่ดู่ ซึ่งครั้งหนึ่งท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เล่าถึงท่านหลวงปู่ดู่ ดังนี้
"..พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีองค์ไหนมีความประมาทในชีวิต ยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วให้ฟังองค์หนึ่งว่า พระองค์นี้คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใครไปคุยกับท่าน ท่านก็คุยธรรมะ ถ้าใครไปชมท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยังเลวอยู่มาก หลวงปู่ท่านบอกท่านไม่มีอะไรดีเลย แต่เวลาตายแล้ว หลวงปู่ท่านไม่ไปนรก สวรรค์ก็ไม่ไป พรหมโลกก็ไม่ไป ท่านไปพระนิพพาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปพยากรณ์นะ คือว่าถ้าพระองค์ไหนก็ตามคิดว่าตัวเองไม่ดี องค์นั้นเป็นพระที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลใดมีความรู้สึกตัวเองว่าเป็นพาล ตถาคตกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต" คำว่า "พาล" แปลว่า "โง่" คือรู้ตัวเองว่าไม่ดี
ที่นี้หลวงปู่ดู่ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นพาล แต่อารมณ์จิตของท่านผ่องใส ท่านเห็นแต่ความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี.."*
*จากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ ๑๑ หน้า ๕๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
จากที่ท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าถึงท่านหลวงปู่ดู่ข้างต้น เป็นคติธรรมคำสอนที่ดีอย่างยิ่งที่ทำให้ทราบว่า "ตัวเป็นพาล แต่อารมณ์จิตต้องผ่องใส เห็นความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี" ดังนั้น คงเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่จะต้องพิจารณาว่าตัวเราเป็นพาลหรือไม่อย่างไร แล้วในที่สุดจะทราบว่า "พาล" นั้นเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน
และเป็นธรรมเนียมที่ผู้เขียนจะต้องขออนุญาตฝากกาพย์ยานี ๑๑ ไว้ให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้เมตตาพิจารณาชี้แนะเพื่อการพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไปในอนาคตดังนี้
รู้สึกตัวเป็นพาล สุขสำราญเบิกบานใจ
อารมณ์จิตผ่องใส พร้อมเข้าใจในร่างกาย
รู้ตัวเองไม่ดี ให้มากมีก่อนจะตาย
ทำได้ทั้งหญิงชาย ไม่ต้องอายตายแน่นอน
พาลนั้นแปลว่าโง่ ยิ่งโมโหเสียทุกตอน
ธรรมะอย่าตัดรอน ตัดนิวรณ์ถอนจากใจ
ความไม่ดีร่างกาย ยังไม่สายหากเข้าใจ
เกิดดับสลับไป ภพชาติใหม่ใยต้องการ
อารมณ์จิตสำคัญ ฝึกทุกวันพลันเบิกบาน
เป้าหมายคือนิพพาน อาจอีกนานสานต่อไป
พาลแล้วเป็นบัณฑิต อยู่ที่จิตคิดผ่องใส
มีธรรมประจำใจ พร้อมจากไปใจสุขเอย
ปภาวีร์
"..พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีองค์ไหนมีความประมาทในชีวิต ยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วให้ฟังองค์หนึ่งว่า พระองค์นี้คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใครไปคุยกับท่าน ท่านก็คุยธรรมะ ถ้าใครไปชมท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยังเลวอยู่มาก หลวงปู่ท่านบอกท่านไม่มีอะไรดีเลย แต่เวลาตายแล้ว หลวงปู่ท่านไม่ไปนรก สวรรค์ก็ไม่ไป พรหมโลกก็ไม่ไป ท่านไปพระนิพพาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปพยากรณ์นะ คือว่าถ้าพระองค์ไหนก็ตามคิดว่าตัวเองไม่ดี องค์นั้นเป็นพระที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลใดมีความรู้สึกตัวเองว่าเป็นพาล ตถาคตกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต" คำว่า "พาล" แปลว่า "โง่" คือรู้ตัวเองว่าไม่ดี
ที่นี้หลวงปู่ดู่ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นพาล แต่อารมณ์จิตของท่านผ่องใส ท่านเห็นแต่ความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี.."*
*จากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ ๑๑ หน้า ๕๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
จากที่ท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าถึงท่านหลวงปู่ดู่ข้างต้น เป็นคติธรรมคำสอนที่ดีอย่างยิ่งที่ทำให้ทราบว่า "ตัวเป็นพาล แต่อารมณ์จิตต้องผ่องใส เห็นความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี" ดังนั้น คงเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่จะต้องพิจารณาว่าตัวเราเป็นพาลหรือไม่อย่างไร แล้วในที่สุดจะทราบว่า "พาล" นั้นเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน
และเป็นธรรมเนียมที่ผู้เขียนจะต้องขออนุญาตฝากกาพย์ยานี ๑๑ ไว้ให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้เมตตาพิจารณาชี้แนะเพื่อการพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไปในอนาคตดังนี้
รู้สึกตัวเป็นพาล สุขสำราญเบิกบานใจ
อารมณ์จิตผ่องใส พร้อมเข้าใจในร่างกาย
รู้ตัวเองไม่ดี ให้มากมีก่อนจะตาย
ทำได้ทั้งหญิงชาย ไม่ต้องอายตายแน่นอน
พาลนั้นแปลว่าโง่ ยิ่งโมโหเสียทุกตอน
ธรรมะอย่าตัดรอน ตัดนิวรณ์ถอนจากใจ
ความไม่ดีร่างกาย ยังไม่สายหากเข้าใจ
เกิดดับสลับไป ภพชาติใหม่ใยต้องการ
อารมณ์จิตสำคัญ ฝึกทุกวันพลันเบิกบาน
เป้าหมายคือนิพพาน อาจอีกนานสานต่อไป
พาลแล้วเป็นบัณฑิต อยู่ที่จิตคิดผ่องใส
มีธรรมประจำใจ พร้อมจากไปใจสุขเอย
ปภาวีร์
๓ กันยายน ๒๕๕๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น