(ร่าง)
โครงการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการข้อมูลความรู้
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ
อุบลราชธานี
หลักการและเหตุผล
พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงบรรยายในหัวข้อ “แนวโน้มการจัดการเรียนการสอนเพื่อการเรียนรู้ในทศวรรษหน้า” ในการสัมมนาวิชาการ เรื่อง “เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในทศวรรษหน้า” ณ โรงแรม บีพี สมิหลา
จังหวัดสงขลา วันที่ 23 กันยายน 2542
ความตอนหนึ่งว่า “...แนวโน้มความรู้ในทศวรรษหน้าจะมีหลายอย่าง ดังนี้
ประการแรก ความรู้สากล
คือความรู้ที่จะสามารถเปรียบเทียบกันได้ทั้งโลก ประการที่ 2 ความรู้ที่เป็นมาตรฐานระดับประเทศ ที่เราจะกำหนดว่าคนไทยควรต้องรู้อะไร
ประการที่ 3 ความรู้ท้องถิ่น ทำให้เรารู้ความเป็นมาและศักยภาพของท้องถิ่น
ที่สำคัญคือ จะต้องสามารถโยงความรู้ทั้ง 3
ระดับนี้ให้เข้ากันได้...” (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี. (2542). รัตนพินิจ นิทิศการศึกษา :
รวมปาฐกถาด้านการศึกษา ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. กรุงเทพมหานคร มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร) ดังนั้น จะเห็นว่าความรู้ท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดการโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความรู้ดังกล่าวสามารถที่เผยแพร่ให้ความรู้กับประชาชนทั่ว
อันจะนำไปสู่ความรู้ที่เป็นมาตรฐานระดับประเทศ และความรู้สากลในที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญของประเทศชาติที่จะต้องร่วมกันอนุรักษ์ไว้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๕๗
น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ทรงเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๗ (อ้างอิง ๑) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า จากการที่เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับสั่งด้วยว่า
"หลังจากมีการสร้างอาคาร หอสมุดแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติใหม่แล้ว
ควรจะมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการแก่ประชาชนให้มีมาตรฐาน
อีกทั้งควรจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ควรมีการปรับปรุงระบบจัดเก็บเอกสารหายากให้สามารถสืบค้นและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ส่วนงานด้านจดหมายเหตุ ควรมีความร่วมมือกับหอจดหมายเหตุชาติของต่างประเทศ
เพื่อขอสำเนาเอกสารมาให้คนไทยศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วย" (อ้างอิง ๒) สำหรับจังหวัดอุบลราชธานีในด้านศิลปวัฒนธรรมนั้น
จังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองราชธานีที่มีประวัติอันยาวนานเกี่ยวข้องกับศิลปะมาตั้งแต่โบราณกาล
ตามคำขวัญของจังหวัดที่ว่า "เมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี มีปลาแซบหลาย
หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา
ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์"
โดยที่ผาแต้มนั้นเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมที่เป็นสมบัติอันล้ำค่าของประเทศไทย นอกจากนั้น จังหวัดอุบลราชธานีได้กำหนดวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาจังหวัด
คือ “ชุมชนเข้มแข็ง เมืองน่าอยู่
เป็นประตูการค้าและการท่องเที่ยว การเกษตรมีศักยภาพ” พร้อมทั้งกำหนดนโยบาย
๔ นคร ประกอบด้วย "นครแห่งธรรม นครแห่งเทียน นครแห่งการพัฒนา
นครแห่งความฮักแพง" ซึ่งจะเห็นว่าวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ว่า “เมืองน่าอยู่” นั้น
จะต้องประกอบด้วยด้านการพัฒนาศิลปวัฒนธรรม อันจะสอดคล้องกับนโยบาย ๔ นคร
เช่นกัน
เมื่อกล่าวถึงศิลปวัฒนธรรมนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเชื่อมโยงกับพื้นที่ต่างๆ
ทั้งใกล้และไกลของจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่
กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร
อำนาจเจริญ) ได้กำหนดวิสัยทัศน์ว่า "หุ้นส่วนเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน”
โดยที่หุ้นส่วนเศรษฐกิจหากมีการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมระหว่างประเทศเพื่อนบ้านแล้ว
จะเกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อพร้อมที่เป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘
ซึ่งในปีดังกล่าวอยู่ในช่วงระยะของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่
๑๑
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ที่จะเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับการเป็นประชาคมอาเซียนที่ประกอบด้วยเสาหลัก
คือ (๑)ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community–ASC) (๒) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) และ (๓)
ประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community-ASCC) ด้วยเหตุดังกล่าว การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องความรู้ด้านต่างๆ
นอกจากด้านศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ซึ่งหน่วยงานหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ
อุบลราชธานีมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญในการติดต่อประสานงานกับทุกส่วนราชการในการถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.๒๕๒๖ โดยเฉพาะในเรื่อง การรับมอบเอกสารราชการที่มีอายุครบ
๒๕ ปี การฝากเก็บเอกสารราชการ และการทำลายเอกสารราชการ
รวมทั้งการได้มาของเอกสารที่เก็บรักษาไว้เป็นเอกสารสำคัญของชาติ
หรือเอกสารจดหมายเหตุ ดังนั้น หากว่านำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ในการจัดการข้อมูลของหอจดหมายเหตุฯ
พัฒนาในรูปแบบสื่อดิจิตอล
จะสามารถทำให้ข้อมูลดังกล่าวเป็นสารสนเทศความรู้ที่เป็นมาตรฐานระดับประเทศและความรู้สากลในที่สุด
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๖๐ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๘ (ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘
รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ ๒ เมษายน ของทุกปี อันเป็นวันคล้ายวันพระ ราช
สมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น “วันอนุรักษ์มรดกไทย”)
๒. เพื่อเป็นการน้อมนำพระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีในประเด็นการเชื่อมความรู้ ๓ ระดับ คือ ความรู้ท้องถิ่น
ความรู้ระดับประเทศและความรู้สากลให้เข้ากันได้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
๓.
เพื่อพัฒนาข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ
อุบลราชธานีเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมให้กับนักเรียนประถมศึกษา มัธยมศึกษา
และอุดมศึกษา และประชาชนทั่วไปในรูปแบบสื่อดิจิตอล
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑.
ทำให้ประชาชนสำนักในพระมหากรุณาธิคุณและเฉลิมพระเกียรติในวโรกาส
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๖๐ พรรษา ในปี พ.ศ.๒๕๕๘
๒.
ทำให้สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์เชื่อมต่อข้อมูลความรู้ ๓ ระดับ
คือ ความรู้ท้องถิ่น
ความรู้ระดับประเทศและความรู้สากลให้เข้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓.
ทำให้มีแหล่งเรียนรู้จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานีด้านศิลปวัฒนธรรมให้กับนักเรียนประถมศึกษา
มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา และประชาชนทั่วไปในรูปแบบสื่อดิจิตอล
อ้างอิง
ที่มาของภาพ
http://www.finearts.go.th/promotion/ข่าวประชาสัมพันธ์/ข่าวประชาสัมพันธ์/item/สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ-สยามบรมราชกุมารี-เสด็จฯ-ทรงเปิดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย-พุทธศักราช-๒๕๕๗.html
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เดินทางไปเยี่ยมชมอาคารโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช (หลังเก่า) โดยมีท่านสุรพล สายพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ให้การต้อนรับและนำเสนอเกี่ยวกับอาคารดังกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น