ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ซึ่งเราพสกนิกรชาวไทยทุกคนควรจะต้องถวายความจงรักภักดีเพื่อให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญและทรงพลามัยสมบูรณ์แข็งแรงยิ่งยืนนาน
โครงการหนึ่งที่สภากาชาดไทยได้จัดทำ คือ โครงการคนไทยทุกหมู่เหล่าร่วมบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล" ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
การบริจาคโลหิตเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก ไม่ต้องมีทุนทรัพย์ก็บริจาคได้เพียงแต่อายุถึงเกณฑ์ และที่สำคัญคือสุขภาพของผู้บริจาคก็เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด โดย ๓ เดือนสามารถบริจาคได้ ๑ ครั้ง อย่างไรก็ดี การบริจาคเกร็ดเลือดสามารถจะกระทำได้เดือนละ ๑ ครั้ง เพียงแต่การบริจาคเกร็ดเลือดนั้นจะต้องใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่งถึง ๒ ชั่วโมง เพราะจะต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยในการคัดแยกคัดกรองเกร็ดเลือด
ผู้เขียนเองเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาก็มีโอกาสไปบริจาคโลหิต โดยตั้งใจว่าจะบริจาคเกร็ดเลือด แต่เนื่องจากเตียงสำหรับบริจาคและเครื่องมือไม่ว่าง มีผู้มีจิตศรัทธาจำนวน ๔ ท่านได้บริจาคอยู่ขณะนั้น ผู้เขียนก็เลยตัดสินใจบริจาคโลหิตแบบปกติ ซึ่งใช้เวลาไม่นานประมาณ ๒๐ กว่านาทีเท่านั้น
การบริจาคโลหิต คงจะไม่ต้องอธิบายนะครับว่าดีอย่างไร เพราะผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านนั้นทราบดีอยู่แล้วว่าโลหิตที่ได้จากการบริจาคจะนำไปให้ผู้ที่ป่วยผู้ที่ต้องการในการรักษา โดยในแต่ละวันมีความต้องการโลหิตจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของเทศกาลสำคัญของไทยที่มีอุบัติเหตุจำนวนมาก ซึ่งมีความต้องการโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับอุบัติเหตุ
เช่นกัน สำหรับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต เพื่อสนับสนุนโครงการของสภากาชาดตามข้างต้น จึงได้จัดทำโครงการเช่นเดียวกัน คือ โครงการบริจาคโลหิตเพื่อพ่อหลวงเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา โดยจัดในวันศุกร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ (เป็นวันสถาปนา ม.อุบลราชธานี) และมีเป้าหมายให้นักศึกษาและบุคลากรหรือประชาชนทั่วไป จำนวน ๘๔๐ คนเข้าร่วมบริจาคโลหิต หรือ เป้าหมายต้องการเลือดจำนวน ๘๔,๐๐๐ CC ก็ขอเชิญชวนทุกท่านนะครับ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเชิญชวนตั้งแต่ต้นปี คงจะไม่ว่ากัน เพราะเราจะได้เตรียมตัวเองให้มีความสมบูรณ์เพื่อให้โลหิตของเรามีคุณภาพมากที่สุด เพื่อผู้ที่รับโลหิตของเราสามารถนำไปรักษาตัวผู้ป่วยเองหายเร็วที่สุด
การบริจาคโลหิต เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสุขภาพของเรา เพราะถ้าหากเราต้องการบริจาคโลหิต เราก็ควรจะต้องดูแลรักษาตัวเองเพื่อให้ได้โลหิตที่มีคุณภาพ และที่สำคัญ คือ เมื่อได้มีโอกาสบริจาคโลหิตแล้ว จะทำให้ผู้ที่บริจาครู้สึกว่าการให้นั้น มีค่าที่ยิ่งใหญ่มาก ให้ไปแล้วตัวเราก็สร้างโลหิตขึ้นมาใหม่ได้ ให้แล้วไม่ได้หมดไป ให้แล้วมีแต่เกิดใหม่ เกิดในที่นี้ คือ การเกิดชีวิตใหม่ของผู้ที่ได้รับโลหิตของเรา เกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ ถึงแม้ว่าผู้ให้และผู้รับจะไม่ได้เห็นหน้าซึ่งกันและกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่เห็น คือ เห็นความสุขของกันและกันผ่านจิตที่บริสุทธิ์จากการให้
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอเชิญชวนผู้อ่านอีกครั้ง ท่านอาจจะจดลงสมุดบันทึกของท่านว่า วันศุกร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เจอกันที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตั้งแต่เวลา ๘.๓๐ น. เป็นต้นไป เพื่อร่วมจิตร่วมใจกันบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา "บริจาคโลหิตเป็นนิจ แล้วชีวิตจะเป็นสุข"
มนูญ ศรีวิรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น