เมื่อเช้าวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓ น่าจะประมาณตี ๕ ฝันว่าได้เข้าเผ้าสมเด็จพระเทพฯ ร่วมกับท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร (ดร.สมหมาย ปรีชาศิลป์) และ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ศ.ดร.ยุวัฒน์ วุฒิเมธี) และข้าราชการคนอื่นๆ ประมาณ ๑๐ ท่าน โดยจังหวัดมุกดหารได้จัดงานสิ่งของที่ระลึกทูลถวายพระองค์ท่าน (ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องถักทอของจังหวัดมุกดาหาร) แต่สำหรับตัวผู้เขียนในฝันก็เดินลงจากตึกไปตามหาสิ่งของที่จะทูลถวาย และในที่สุดก็ไปเจอคณะอาจารย์และเจ้าหน้าที่ภาควิชาชีวฯ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดย ดร.นารีรัตน์ บอกว่าได้จัดสวนดอกไม้ซึ่งทั้งหมดเป็นดอกสีม่วงถวายอยู่ด้านหน้าของอาคารเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนก็รีบวิ่งขึ้นไปยังอาคารอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนที่ได้โปรดพระราชทานให้ถ่ายภาพร่วมกับพระองค์ต่างก็จัดที่นั่งของตัวเองโดยไม่สนใจว่าพระองค์ท่านอยู่ที่ไหน โดยขณะนั้นเองพระองค์ท่านก็ทรงแอบหลบมาอยู่ด้านหลังของทุกคน ต่างคนก็ต้องการให้เห็นวิวด้านหลังที่เป็นสวนดอกไม้สีม่วง และในที่สุดผู้เขียนก็ได้ตระโกนบอกทุกคนว่า "พระองค์ท่านประทับยืนหลบอยู่ด้านหลังของทุกคน ขอให้หลีกทางให้พระองค์ท่านด้วย" และในที่สุดผู้เขียนก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา (เวลาประมาณ ๖.๔๐ น.)
ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่า ที่ฝันมานั้น เป็นเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็อาจจะเป็นเพราะคิดมาก เห็นมาก เนื่องจากในบ่ายของวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓ ผู้เขียนจัดบ้านพักให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยนำรูปภาพที่ได้ถวายรายงานสมเด็จพระเทพฯ มาใส่กรอบให้สวยงามแล้วนำไปติดที่ผนังบ้านและที่ทำงาน (โดยที่ทำงานได้นำรูปที่ทรงพระกรุณาฉายร่วมกับคณะทำงานที่วิทยาเขตมุกดาหาร เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๒) นอกจากนั้น ผู้เขียนได้แก้ไขเอกสารที่ ศ.ดร.ยุวัฒน์ วุฒิเมธี มอบหมายให้จัดทำ คือ เอกสารเกี่ยวกับการยกระดับวิทยาเขตมุกดาหาร เป็น วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา จังหวัดมุกดาหาร (มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี)
ดังนั้น ผู้เขียนสรุปโดยส่วนตัวได้เลยว่า การฝันดังกล่าวก็อาจจะเป็นเพราะการคิดมากการทำงานมากเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ แล้วในที่สุดสมองความคิดก็ให้เกิดความฝันขึ้นมา แต่สิ่งหนึ่งที่เรามนุษย์ไม่สามารถทำได้ คือ การบังคับให้ฝันเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี การฝันที่ไม่เกี่ยวกับการนอนหลับนั้น เป็นเรื่องที่เราทุกคนสามารถที่จะฝันได้และฝันดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีที่เราทุกคนควรจะต้องฝันว่า "สักวันในอนาคตเราจะเป็นอย่างไร เราต้องการอะไร" และฝันดังกล่าวจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจ เรามีความจริงใจที่จะไปให้ถึงทำให้เป็นจริงด้วยจิตใจของเราที่มั่นคงแข็งแกร่งพยายามทำให้เป็นจริงให้ได้ และนอกจากนั้น หากท่านใด "คิดมาก ย่อมจะฝันมากไปได้" ในทางตรงกันข้าม ท่านใดไม่คิดอะไรเลย ก็อาจจะไม่ฝันอะไรเลยก็ได้
จะเห็นว่า การคิดมากบางครั้งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากคิดมากในเรื่องที่เกิดประโยชน์ในเรื่องที่ทำให้สังคมเกิดความสุขสงบ ปีใหม่แล้ว ผู้เขียนก็ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันคิดมากๆ ในเรื่องความสุขของประเทศชาติ ทำอย่างไรที่จะทำให้เราคนไทยกลับมามีความสุขตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ว่า มีเหตุผลในการทำการใดๆ ก็ตามแต่ มีความพอดีในการทำการใดๆ ก็ตามแต่ และทำแล้วจะต้องมีภูมิคุ้มกันให้ตัวเราสังคมไม่อ่อนแอ ภายใต้หลักของความมีคุณธรรมและซื่อสัตย์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
ครับ เรื่องคิดมาก ฝันมาก ก็เป็นเพียงเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้ประสบอาจจะไม่สามารถทำไปใช้ได้กับทุกๆ ท่าน ก็ขอให้ท่านได้ใช้วิจารณญาณของท่านในการอ่านและในการนำไปใช้นะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนจะทำต่อไป คือ คิดมากในทุกๆ วัน โดยคิดมากในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม ถึงแม้ว่าการคิดมากดังกล่าว จะทำให้ฝันมาก ก็ไม่เป็นไร ขอให้การคิดของเราทำให้เกิดความสุขต่อผู้อื่นและสังคมก็พอแล้ว
มนูญ ศรีวิรัตน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น