เมื่อคืนได้ดูละคร มงกุฎดอกส้ม (ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อเรื่องหมายความว่าอย่างไร ก็เนื้อหาของเรื่องก็ดีและไม่ดี เช่น เจ้าสัวมีภรรยาได้หลายคน มีแต่เรื่องแตกความสามัคคี ไม่ขอวิจารณ์ดีกว่า) มีอยู่ตอนหนึ่งที่ว่า หากทำตัวหนักเหมือนก้อนหิน เดี๋ยวก็หล่นลงมาเอง ผู้เขียนก็เลยลงมือเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับหิน แต่เป็น หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น
แน่นอนครับหินเป็นวัตถุที่มีขนาดมีน้ำหนัก หากก้อนขนาดใหญ่ก็ย่อมมีน้ำหนักมากตามไปด้วย หากเปรียบกับมนุษย์เราถ้าท่านใดที่มีจิตใจที่หนักแน่น ก็มักจะถูกเรียกว่า จิตใจหนักแน่นดั่งกะหิน หรือ จิตใจที่แข็งแกร่งพร้อมจะผ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ ในทางตรงกันข้ามหากท่านใดมีจิตใจที่ไม่หนักแน่น ก็อาจจะเรียกว่า จิตใจที่บางเบาเหมือนกับปุยนุ่น
อย่างไรก็ดี หากที่เรามีจิตที่หนักเหมือนหินบางครั้งอาจจะไม่ดีหนัก เพราะจิตที่หนักแน่นดังกล่าวหนักไปด้วยกิเลสความต้องการต่างๆ ที่ไม่มีวันจบสิ้น การหนักเหมือนหินดังกล่าวไม่ได้เกิดประโยชน์แต่อย่างไร มีแต่จะเกิดความทุกข์ในจิตใจไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานไปก็ยิ่งจะหนักไปเรื่อยๆ การหนักดังกล่าวก็จะทำให้เรานั้นดิ่งด่ำลงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า เกิดนรกในใจ
หากท่านใดที่สามารถปล่อยวางจิตให้เบาโดยละเว้นกิเลสที่ทำให้เกิดความทุกข์ ทำจิตใจให้เบาเสมือนปุยนุ่นและยิ่งเบาเท่าไรยิ่งดี นั้นหมายความว่า การทำให้จิตเบานั้น คือ การที่เราฝึกปฏิบัติตนไม่ให้ถืออะไรให้หนักโดยเฉพาะในจิตใจแล้วเราก็จะยิ่งรู้สึกว่าเบาไปทุกส่วนของร่างกายเกิดความสุขในการไม่ต้องยึดถือไม่ต้องแบกอะไร อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร (แม้แต่ผู้เขียนก็ยังทำไม่ได้)
ที่นี้ขอกลับมาที่ชื่อของเรื่องอีกครั้งที่ว่า หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น ผู้เขียนขอขยายความเพิ่มเติม ดังนี้
หนักเหมือนหิน หมายความว่า เราจะต้องมีจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่ในเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการใดๆ ก็ตามแต่ การหนักเหมือนหินดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นถึงที่มีจิตความตั้งใจตั้งมั่นที่มั่นคงในเป้าหมายที่ตั้งไว้
ส่วนเบาเหมือนปุยนุ่น หมายความว่า เราจะต้องทำจิตใจให้ปล่อยวางในกิเลสในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ในการดำรงชีวิต ยิ่งเราฝึกปฏิบัติให้จิตไม่ยึดอะไรเป็นของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะอยู่รอดคงกระพัน ไม่มีใครที่จะสามารถนำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ไปกับตัวเราได้เมื่อเราจากโลกนี้ไป ดังนั้น การที่เราทำจิตใจให้เบาเหมือนปุยนุ่นได้มากเท่าไรก็ยิ่งจะเป็นการดี การเบาในจิตใจเป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกและจะต้องพยายามฝึกให้เบาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ครับ หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น หากผู้อ่านท่านได้สามารถทำได้ ผู้เขียนคิดว่าจะทำให้ผู้นั้นได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิต ที่สำคัญ คือ การหนักเหมือนหินจะต้องหนักให้สิ่งที่ดีๆ และพยามเบาเหมือนปุยนุ่นในสิ่งที่ไม่ดีเอาออกจากจิตใจของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น การหนัก และการเบา จะเกิดความสมดุลตามหลักของธรรมะและธรรมชาติ
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้กำลังใจผู้อ่านทุกท่านว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ยากเย็น ขอให้ทุกท่านมีจิตที่หนักเหมือนหินในการไปสู่เป้าหมายของท่าน และมีจิตที่เบาเหมือนปุยนุ่นในการไม่ยึดถืออะไรไว้ที่เป็นทุกข์นะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์
สัญญาว่า ถ้ามีเวลาว่างจะเขียนเรื่องราวต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น