Nuffnang Ads

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ยกคำร้อง

เป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมืองเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (เรื่องของการไม่ยุบพรรค คือ ยกคำร้อง)

แต่ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อวันนี้ เป็นเรื่องของ คำร้อง ที่หมายถึง คำประพันธ์สำหรับขับร้อง (หรือเนื้อร้อง บทเพลง หรือ บทร้อง) ซึ่งคำร้องเป็นสิ่งที่สื่อสารระหว่างมนุษย์ทำให้เกิดความสุขในการสื่อสาร เกิดความเข้าใจความหมายในห้วงทำนองเป็นเพลง ทำให้มนุษย์เพลิดเพลิน โดยประการสำคัญ คือ คำร้องหรือบทเพลงไม่ว่าจะเป็นชาติไหนหรือภาษาไหนก็ตามแต่ล้วนทำให้คนที่ได้ฟังเพลงเกิดความรู้สึกในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเตือนใจ ให้กำลังใจ ให้บทเรียน ให้เกิดความฝัน เป็นต้น นักประพันธ์คำร้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถอย่างสูงในการที่จะสื่อสารให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงคำร้องที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น หลายๆ คำร้องบทเพลงล้วนทำให้คนเราเกิดความรู้สึกต่างๆ คล้อยตามเป็นจำนวนมาก

สำหรับ ยก ผู้เขียนคิดว่าผู้อ่านหลายท่านคงจะทราบกันดีว่าหมายถึงการทำให้สิ่งของหรือวัตถุเคลื่อนตำแหน่งจากตำแหน่งที่ต่ำไปสู่ที่สูงขึ้น เช่น ยกน้ำหนัก อันเป็นกีฬาหนึ่งที่เป็นการยกลูกเหล็กจากพื้น (ที่ต่ำ) สู่ที่สูงขึ้นให้เหนือศรีษะของนักกีฬา หรือ ยกพื้่นถนนให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำท่วม เป็นต้น จะเห็นว่าโดยส่วนมาก ยก จะใช้ทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น ยกช่อฟ้า (อุโบสถของวัด) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เราชาวพุทธทุกคนทราบกันดีว่าเป็นเรื่องที่เป็นมงคล

ที่นี้ ยกคำร้องดังกล่าวที่เกี่ยวกับคำประพันธ์เนื้อร้องบทเพลงบทร้องจะหมายถึงอย่างไร ผู้เขียนคิดว่าน่าจะหมายถึง การทำให้คำประพันธ์สำหรับเนื้อร้องบทเพลงต่างๆ มีความหมายที่สูงขึ้นดีขึ้นในทางที่สร้างสรรค์สังคมให้มีความรู้สึกที่ดีๆ สำหรับการทำงานหรือการใดๆ ก็ตามแต่ ยิ่งถ้าหากมีการยกคำร้องที่เป็นงานสร้างสรรค์ในด้านความรักชาติ ด้านเสริมสร้างกำลังใจในการทำงานในการเรียนการศึกษา การยกคำร้องดังกล่าวน่าจะได้ประโยชน์ต่อคนหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบลเมืองนักปราชญ์มีผู้ยกคำร้องประพันธ์เพลงต่างๆ มากมายที่เราเคยได้ยินและทราบกันดี คือ ครูสลา คุณวุฒิ เป็นบุคคลที่ได้ยกคำร้องทั้งเพลงลูกทุ่งและหมอลำที่ทำให้เราได้รับฟังกันอย่างเพลิดเพลินและมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วมีครูเพลงอีกมากมายที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง ด้วยเหตุนี้ การยกคำร้อง จะเป็นส่วนหนึ่งการส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนได้ช่วยกันอนุรักษ์คำร้อง (บทเพลง) ที่สร้างสรรค์สังคมไทยให้เจริญอย่างยั่งยืน เราควรจะช่วยกันยกคำร้อง (บทเพลง) ให้มากยิ่งขึ้น

กล่าวสำหรับ คำร้อง (บทเพลง) ที่คนไทยน่าจะช่วยกันฟังและช่วยกันยกให้ลูกหลานของเราได้ทราบได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ คำร้องพระราชานิพนธ์ที่พระองค์ท่านได้พระราชนิพนธ์ขึ้นหลายๆ เพลง หลายๆ วาระ เช่น บทเพลง ยามเย็น ใกล้รุ่ง Oh I Say เป็นต้น

ดังนั้น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จึงได้จัดโครงการเทิดพระเกียรติแสดงบทเพลงพระราชนิพนธ์ โดยจัดในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตั้งแต่เวลา ๑๗๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไป ณ อาคารโรงเรียนเบญจะมะมหาราช (อาคารเก่า ๑๐๐ ปี) ซึ่งเป็นการยกคำร้องบทเพลงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงพระราชนิพนธ์มาแสดงเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน ก็ขอเชิญชวนทุกท่านมาช่วยให้กำลังลูกหลานนักเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีในวันและเวลาดังกล่าวนะครับ และที่สำคัญ ถ้าหากว่าเราคนไทยมาช่วยกัน ยกคำร้อง จะทำให้เราคนไทยได้บทเพลงที่ดีมีคุณภาพและเมื่อเราได้ฟังเราก็จะมีความสุขไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกคำร้องเพลงรักสามัคคีของคนในชาติ

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คนบ้านเดียวกัน

เมื่อวาน (วันอาทิตย์ที่ ๒๘​ พ.ย. ๒๕๕๓) ผู้เขียนได้ดูการแสดงดนตรีความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นักร้องชายของกัมพูชาร้องเพลงไทย คือ เพลงคนบ้านเดียวกัน (ของไผ่ พงศธร) ซึ่งในเนื้อเพลงมีท่อนหนึ่งที่ประทับใจ (จริงๆ แล้วมีหลายๆ ท่อนที่ให้ความหมายที่ดีมากๆ)  ท่อนที่ว่า คือ "คนบ้านเดียวกัน แค่มองตากันก็เข้าใจอยู่" 


ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนบ้านเดียวกัน ซึ่งหมายถึงในครอบครัวของเราในบ้านของเรา ถ้าหากมองตากันแล้วก็เข้าใจกันในทุกเรื่องจะดีมากเลย จะทำให้ครอบครัวนั้นมีความสุขในการอยู่ร่วมกันทั้งคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก ที่นี้เราจะทำอย่างไรกันเพื่อให้เกิดมองตากันก็เข้าใจกัน สำหรับครอบครัวใดที่มีความรักความอบอุ่นต่อกันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่สำหรับครอบครัวใดที่อาจจะมีปัญหา ผู้เขียนคิดว่าอาจจะต้องต่างฝ่ายต่างควรจะลองหยุดให้มีสติคิดทบทวนในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเอาผลประโยขน์ของส่วนรวมของครอบครัวเป็นหลัก (อย่าเอาประโยชน์ส่วนตนตัวเองเป็นหลัก) และมีมีสติคิดแล้ว ก็ควรมานั่งคุยกันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้ชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในครอบครัวถ้าหากทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นผู้แพ้แล้วละก็ ครอบครัวของเราจะเป็นผู้ชนะตลอดไป


สำหรับคนบ้านเดียวกันในครอบครัว ถ้าต้องการที่จะเข้าใจกันมากยิ่งๆ ขึ้นก็ควรจะต้องหาเวลาศึกษากันให้มาก หมายความว่า มีเวลาพักผ่อนร่วมกันทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งมีมากมาย เช่น ไปทำบุญที่วัด ไปทำบุญเลี้ยงเด็กด้อยโอกาสในสถานที่ต่างๆ ไปเที่ยวธรรมชาติ เป็นต้น และที่สำคัญ คือ จะทำกิจกรรมอะไรก็ตามแต่ ควรจะต้องยึดหลักของประชาธิปไตยในครอบครัว รับฟังความคิดเห็นของคนส่วนมาก แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความคิดเห็นคนส่วนน้อย (นั้นคือ รับฟังเพื่อไปปรับปรุงในครั้งต่อๆ ไป หรือ ให้เสียงส่วนน้อยมีส่วนร่วมในกิจกรรมอื่นๆ) 

สำหรับท่านใดที่ไม่มีครอบครัวก็ไม่เป็นไร เราอาจจะไปประยุกต์ใช้กับที่ทำงานเพื่อนร่วมงาน ถ้าหากที่ทำงานใดหน่วยงานใดที่เพื่อนร่วมงานต่างคิดว่าทุกคนเป็นคนบ้านเดียวกัน ความเข้าใจก็จะเกิดขึ้น จะทำงานสิ่งใดร่วมกันก็จะประสบความสำเร็จทุกอย่าง โรงเรียนใดครูนักเรียนต่างคิดว่าโรงเรียนเป็นบ้านของเราทุกคนในโรงเรียนต่างก็เป็นคนบ้านเดียวกัน (โรงเรียนเดียวกัน) ทำการสิ่งใดโรงเรียนนั้นก็จะประสบความสำเร็จไปทุกเรื่องเพราะเกิดรักความสามัคคีความเข้าใจกัน สำหรับมหาวิทยาลัยก็เช่นกันถ้าหากผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา ต่างก็มีความรู้สึกว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน (มหาวิทยาลัยของเรา) ความเข้าใจกันก็จะเกิดขึ้นทำสิ่งประการใดก็จะสำเร็จลุล่วง เกิดความรักสามัคคีในมหาวิทยาลัย

ที่นี้ ผู้เขียนขอกลับมาที่เนื้อร้องของเพลงดังกล่าว ซึ่งจริงๆ แล้วเนื้อร้องมีเนื้อหาสาระที่สำคัญหลายประการ ผู้อ่านลองฟังเพลงนี้จะดีหรือไม่ครับ "คนบ้านเดียวกัน"  นอกจากนั้น เนื้อร้องบางส่วนบางท่อนมีส่วนเกี่ยวกับอาชีพคนขับแท็กซี่ ซึ่งผู้เขียนได้เคยเขียนเกี่ยวกับอาชีพนี้เมื่อปี ๒๕๕๓​ เดือนกันยายน ท่านใดที่สนใจอ่านเชิญ "อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี้"


คนบ้านเดียวกันทำได้ไม่อยากหรอกครับ ถ้าหาเราทุกคน (คนไทย) ลองเป็นคนบ้านเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นญาติกันไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ถ้าหากว่าเราต้องการเป็นคนบ้านเดียวกันแล้วละก็ จะทำให้เราเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ทำอะไรเราก็มีความสุขร่วมกัน แต่ก็อย่างเดียว คนบ้านเดียวกัน อย่างให้ น.หนู มันไปไหนนะครับ เพราะเดี๋ยวมันจะกลายเป็น "คนบ้าเดียวกัน" (คนบ้าเหมือนกัน) 
มนูญ​​​ ศรีวิรัตน์

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พ่อ คำสั้นๆ เช่นกัน แต่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากมั๊ก

คำว่า พ่อ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า คำว่า แม่ ที่เราทุกท่านมีชีวิตที่ดีมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพระคุณของ "พ่อ" ในโลกใบนี้ พ่อ เป็นสิ่งที่คู่กับ แม่ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ก็ไม่มีตัวเรา ครอบครัวใดที่มีความสุขมีความอบอุ่นได้นั้น ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ให้ความอบอุ่นให้ความรักต่อลูกๆ ต่อคนในครอบครัว


ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนตระหนักเป็นอย่างดีว่าพระคุณของพ่อนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นผู้ที่คอยอบรมให้ความรักให้ความเอาใจใส่ให้ทุกที่สิ่งทุกอย่างที่ลูกต้องการ พ่อ เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง พ่อ เป็นสิ่งที่ลูกๆ คอยเรียกหาเมื่อได้รับความเดือดร้อน พ่อ เป็นบุคคลที่พร้อมจะให้ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยากเรื่องนั้นจะอยู่ที่ไหน พ่อจะเป็นคนที่คอยจัดหามาให้ลูกๆ


ผู้เขียนมีเรื่องสั้นที่เกี่ยวกับ พ่อ มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อลูกๆ จะได้ช่วยกันให้ความรักต่อพ่อมากยิ่งๆ ๆ ขึ้น

พ่อสี เป็นชาวนาที่ไม่มีความรู้มากมายเพราะเนื่องจากไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือก็ด้วยเพราะฐานะที่ยากจน พ่อสีมีลูกทั้งชายและหญิงจำนวน ๕ คน ครอบครัวของพ่อสีก็เป็นปกติมาตลอดถึงแม้ว่าจะมีอาชีพเพียงทำนาเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย พ่อสีอาจจะโชคร้ายเพราะต้องมาเสียภรรยาอันเป็นที่รักเมื่ออายุพ่อสีได้เพียง ๔๐ ปี ซึ่งขณะนั้นลูกคนโตอายุ ๑๘ ปี และคนสุดท้องอายุ ๑๐ ขวบ อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกคนโตซึ่งเป็นผู้ชายได้สมัครใจว่าจะไม่เรียนหนังสือต่อจะช่วยพ่อสีในการทำนาเพื่อเลี้ยงครอบครัวและน้องๆ พ่อสีจะต้องออกไปทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดไม่มีเวลาที่จะไปเที่ยว และพ่อสีไม่รู้เหมือนกันว่าเที่ยวเป็นอย่างไร ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อส่งเสียลูกๆ อีก ๔ คน เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ มีการศึกษา มีอาชีพการงานที่มั่นคง ไม่ต้องมาทำนาทำไร่ ที่สำคัญคือ พ่อสี "ได้บอกลูกๆ ทุกคนว่า พ่อไม่มีอะไรจะให้ลูกมากมาย พ่อมีแต่ความรักความปรารถนาดีให้ลูกได้ตั้งใจเรียน ตั้งใจศึกษาเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อที่ทำงานไม่มีวันหยุด ไม่รู้ว่าวันเสาร์และวันอาทิตย์คือวันอะไร" ลูกๆ ของพ่อสีอีก ๕ คน เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน ทุกคนล้วนตั้งใจศึกษาหาความรู้เพื่อจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อสี และที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่พ่อสีได้บอกลูกๆ คือ อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสทำงานเพื่อในหลวง ทำงานเพื่อแผ่นดินรับใช้แผ่นดิน ถึงแม้ว่าอาชีพดังกล่าวจะไม่ได้ร่ำรวยก็ตามแต่ สิ่งที่พ่อสีต้องการคือเห็นลูกๆ ได้เป็น "ข้าราชการ" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความมุมานะของพ่อสีความตั้งใจจริงของพ่อสีในการต่อสู้กับสภาพอากาศในการทำนาฟันผ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อลูก และในที่สุด พ่อสีและลูกชายคนโตก็ได้ส่งเสียลูกๆ อีก ๔ คน จนอาชีพ คือ คนรองรับราชการทหาร คนที่ ๓ รับราชการเป็นพยาบาล คนที่ ๔ รับราชการเป็นปลัด และคนสุดท้ายเป็นคุณครู จะเห็นว่าความรักของพ่อที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล ยอมที่จะลำบากทำงานอย่างไม่มีวันหยุด ให้การอบรมสั่งสอนให้ลูกๆ มีเป้าหมายในชีวิต นั้นคือ รับใช้แผ่นดินรับใช้ในหลวง และเมื่ออายุของพ่อสีได้ ๕๕ ปี พ่อสีก็ต้องจากโลกใบนี้ไปด้วยเวลาอันสั้นเหลือเกิน ก็ด้วยเพราะทั้งชีวิตพ่อสีไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้มีวันหยุด ไม่ได้มีเวลาไปตรวจสุขภาพ ไม่ได้มีโอกาสกินของดีๆ อย่างไรก็ดี พ่อสีก็มีความสุขอย่างมากที่ในชีวิตได้สร้างคนดีแก่สังคมประเทศชาติรับใช้แผ่นดิน และที่สำคัญ คือ ลูกๆ ของพ่อสี ทุกคนล้วนเป็นคนดีที่พร้อมจะทำงานเพื่อแผ่นดินไทย ถึงแม้ว่าลูกๆ ของพ่อสีจะไม่ได้เป็นคนเก่ง แต่พ่อสีได้สอนให้ลูกๆ ทุกคนเป็นคนดี ความดีที่พ่อสีทำไว้ให้แผ่นดีน คือ สอนคนให้เป็นคนดี

สำหรับพ่อของผู้เขียน มีชื่อว่า พ่ออ้วน ทั้งนี้จริงแล้วตอนเด็กๆ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าท่านไม่ได้ชื่ออ้วน แต่เป็นเพราะแม่ของท่านเปลี่ยนให้ใหม่เป็น อ้วน เพื่อจะได้มีความสมบูรณ์แข็งแรง พ่อของผู้เขียนตอนเป็นเด็กจะต้องเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เพื่อการค้าขายทำให้ไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ดังนั้น พ่อจึงจบการศึกษาเพียง ป.๓ เท่านั้น อาชีพทางบ้านก็อย่างที่บอก คือ เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็นอนที่นั้น เมื่อเติบโตขึ้นก็จะต้องช่วยเหลือตัวเองเนื่องจากแม่ของพ่ออ้วนนั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่พ่ออ้วนได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ นั้นคือ กรรมกรทำถนนเส้นจังหวัดสุรินทร์ พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า เวลากลางคืนจะมีเหมือนที่ไม่ใช้คนมากวนทำให้ไม่ได้หลับได้นอน พอตื่นมาตอนเช้าก็รีบไปหารูปในหลวงมาไว้ที่ Office (เรียกให้มันโก้ๆ ไปอย่างนั้นเอง) แล้วก็บอกกับเจ้าที่เจ้าทางว่า แผ่นดินนี้เป็นของในหลวง ในหลวงต้องการมาใช้ความเจริญให้พวกเราทุกคน ปรากฏว่าค่ำคืนนั้นพ่ออ้วนและเพื่อนๆ ก็หลับสบาย พ่ออ้วนหลังจากที่ได้ทำอาชีพสร้างความเจริญแล้วก็มุ่งหน้าสู่เมืองกรุงเพื่อเสาะหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยบอกผู้เขียนว่า ท่านก็เคยเป็นเด็กสามย่าน (แถวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) แต่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเรียนกับเขาหรอก เพียงแต่ที่เรียกว่า เด็กสามย่าน ก็เพราะว่าท่านเคยไปถีบสามล้อแถวๆ ระหว่างสามย่านกับหัวลำโพง (แต่พ่ออ้วนก็มีความภาคภูมิใจที่ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เรียนสามย่าน แต่ลูกชายของท่านก็ได้มีโอกาสสำเร็จการศึกษาจากที่นั้น) อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว พ่ออ้วนต้องฟันผ่าอุปสรรคมากมายในการต่อสู้ และมีโอกาสได้เข้าบวชเรียนเป็นระยะเวลาหลายปี และในที่สุดก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วในที่สุดก็กลับมาที่บ้านเกิดทำการค้าขายมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่ออ้วนเคยสูบบุหรี่แต่หลังจากที่คู่ชีวิตได้เสียชีวิตไปด้วยโรคร้ายมะเร็งที่ปอด วันต่อมาพ่ออ้วนไม่เคยสูบบุหรี่ให้เราเห็นอีกเลย แสดงว่าท่านมีจิตใจที่เด็ดเดียวเป็นอย่างมากในการที่จะละทิ้งอะไรที่ไม่ดี นั้นเป็นสิ่งที่พ่อได้สอน และได้ปฏิบัติให้เห็นว่า สิ่งใดที่เราจะละทิ้งมัน เราทำได้ ถ้าเราตั้งใจจะทำ หลายสิ่งหลายอย่างที่พ่ออ้วนได้เคยสอน ผู้เขียนก็มาได้รู้ได้เข้าใจได้สำนักเมื่อไม่นานมานี้ ตัวอย่างเช่น พ่ออ้วนให้ตื่นเช้าก่อนหกโมงเช้าเพื่อมาฟังวิทยุข่าวแห่งประเทศไทย และให้จดวันสำคัญในอดีต (ที่อ่านโดยท่านปรีชา ทรัพย์โสภา)ผู้เขียนจำได้ว่าทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน ตั้งแต่ ป.๕ ถึง ม.๓ ซึ่งจะต้องตั้งใจฟังและตั้งใจจด เพราะถ้าอย่างนั้นจะไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น การสอนของพ่ออ้วนดังกล่าว เป็นการฝึกให้เรามีสมาธิ ตั้งมั่นกับสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับนักเรียน นักศึกษาในปัจจุบัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าพ่อของทุกๆ คนล้วนแต่เป็นคนดีเป็นคนที่เราเอาแบบอย่างในการทำงานในการปฏิบัติตน สำหรับพ่ออ้วนแล้วท่านบอกอยู่เสมอว่าให้เรียนสูงๆ พ่อไม่มีโอกาส พ่อจบ ป.๒ เป็นเด็กสามย่านที่ถีบสามล้อเท่านั้น พ่อได้เรียนได้เขียนหนังสือก็เพราะวัด ดังนั้น ขอให้ลูกเรียนให้มากๆ เมื่อเรียนให้มากๆ แล้วก็จะต้องทำงานรับใช้แผ่นดินรับใช้ในหลวง อาชีพที่พ่ออยากจะให้ลูกได้เป็น คือ อาชีพรับราชการ จะเป็นอะไรก็ได้เป็น ครู เป็นตำรวจ ปลัดก็ได้ แต่จะต้องรับใช้แผ่นดิน คำๆ นี้ ที่พ่ออ้วนได้พูดใส่หูอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักว่า การได้มีโอกาสรับใช้แผ่นดิน รับใช้ในหลวง พ่อหลวงของเราชาวไทยทุกคน นั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะไม่มากมาย แต่ถ้าหากเราใช้อย่างไม่มากมาย เราก็อยู่ได้ ชีวิตนี้เราต้องการอะไรไปมากกว่านี้ มีโอกาสทำให้ในสิ่งที่พ่อต้องการ สิ่งที่พ่ออยากเห็น มันก็เป็นความสุขอย่างยิ่งใหญ่ที่พ่อได้รับ หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาในอดีตผู้เขียนก็ไม่ใช้คนดีมากมายสำหรับพ่อ เคยโกหกท่าน เคยทำให้ท่านเสียใจ ไม่ฟังท่าน ไม่ใส่ใจท่าน ก็ได้แต่ตั้งจิตขอโทษท่านให้ท่านอโหสิกรรมให้ ความผูกพันในชาติเก่าที่ผ่านมาและชาติต่อๆ ไป ก็จะยังคงอยู่นานแสนนาน สิ่งหนึ่งที่จะกระทำได้ ก็คือ ทำให้พ่อของเรายิ้มทุกเวลาที่เจอหน้าเรา ผู้เขียนคิดว่าแค่นี้ก็พอ อีกไม่นานเราก็จะต้องจากกันไปไม่เร็วไม่ช้าแล้วแต่ฟ้าจะกำหนด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ทำและคิดว่าเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะต้องฝึก คือ การที่ฝึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอนจะไปเมื่อไรไม่รู้ แต่สิ่งที่รู้ คือ รู้ว่าปัจจุบันเราทำอะไรอยู่แล้วก็พยายามทำให้ดีที่สุด สำหรับพ่ออ้วนเมื่อหลายปีก่อนประมาณอายุ ๘๐ ปี (ตอนนี้ท่านอายุ ๘๓)ผู้เขียนสังเกตว่าท่านกลัวความตายทำให้ผู้เขียนก็กลุ้มใจเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี จนในที่สุดผู้เขียนก็ได้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับธรรมะต่างๆ (การเตรียมตัวก่อนตายอื่นๆ อีกมากมาย) โดยผู้เขียนอ่านแล้วก็นำไปวางทิ้งที่บ้านพ่ออ้วน (แต่ไม่ได้บังคับให้ท่านอ่าน) จนเวลาผ่านไป ๑-๒ ปี ผู้เขียนสังเกตว่าพ่ออ้วนคงจะอ่านหนังสือต่างๆ เพราะมีการพับหน้าต่างๆ จากเล่มต่างๆ ไว้ และเมื่อมาปีนี้ผู้เขียนสังเกตว่าท่านไม่กลัวความตายแล้ว และท่านก็เคยบอกว่าคนเราถึงเวลามันก็ไปของมัน ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวทำให้ผู้เขียนมีความสุขเป็นอย่างมากที่ท่านได้เข้าใจ การเข้าใจดังกล่าวทำให้ไม่เป็นทุกข์กับสังขารที่เป็นเรื่องไม่เที่ยง นั่นเป็นบางส่วนบางตอนของพ่อ ผู้เขียนเชื่อว่าสำหรับพ่อแล้ว ทุกคนล้วนมีเรื่องราวดีๆ สำหรับพ่อของเราอย่างแน่นอน

ครับ พ่อ เป็นบุคคลที่เราทุกคนต้องให้ความเคารพรัก ใครที่เคยดุด่าพ่อ คิดร้ายต่อพ่อ ผู้เขียนเชื่อว่าชีวิตของเขาจะไม่มีความเจริญก้าวหน้า ก็ได้แต่หวังว่าเราทุกคนที่มีพ่ออยู่ในขณะนี้จะได้มอบความรักให้กับพ่อทดแทนบุญคุณที่ท่านได้เลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่มาทุกวันนี้ หากมีสิ่งใดที่เราได้กระทำไม่ดีล่วงเกินต่อพ่อของเรา ในโอกาสวันที่ ๕ ธันวามหาราช ที่เป็นวันพ่อแห่งชาติที่จะถึงนี้ ผู้เขียนขอเชิญทุกท่านได้มาร่วมจิตรวมใจกันบอกรัก "พ่อ" ของเราให้ท่านมีความสุขตลอดไป และประการสำคัญ คือ เราคนไทยทุกคนทุกหมู่เหล่ามาตั้งจิตอธิษฐานให้ "พ่อหลวงของเรา ในหลวงของเรา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมพรรษายิ่งยืนนานตราบนานเท่านาน"


อจต. 


ให้

เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ รุ่นน้องที่เรียนมหาวิทยาลัยขอนแก่นโทรศัพท์มาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาของชีวิตว่าจะทำอย่างไรดี สิ่งแรกที่ผู้เขียนคิดว่าจะต้องทำก่อนในขณะนั้น คือ รับฟังปัญหาของเขา (แต่ในใจก็ไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้มากน้อยเพียงใด เพราะตัวเองก็ไม่มีประสบการณ์มากมาย) นั้นคือ การให้ความร่วมมือในการรับฟัง และตั้งใจว่า จะเขียนอะไรที่ให้กำลังใจสำหรับรุ่นน้องเพื่อจะได้เดินหน้าดำเนินชีวิตให้มีความสุข
ก็เลยทำให้ผู้เขียนคิดว่าวันนี้ น่าจะเขียนเรื่อง ให้ เพราะ ให้ หรือ การให้ เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับมนุษย์เรา คนเราเกิดมาจะต้องมีการให้ คุณพ่อคุณแม่ให้ความรักโดยไม่หวังผลตอบแทนใดทั้งสิ้น คุณครูอาจารย์ให้ความรู้ลูกศิษย์โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนเช่นกัน
ให้ การให้ ถ้าหากตัวของเราให้สิ่งใดกับใครโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนแล้ว จะทำให้ตัวเรามีความสุขอย่างมากมาย เพราะไม่ต้องมามัวรอว่าเมื่อเราให้เขาไปแล้วเขาจะคิดอย่างไรกับเรา เขาจะสนใจเราหรือไม่อย่างไร ซึ่งการให้แบบชนิดที่ไม่ต้องการหวังผลใดๆ นี้แหละที่ทำให้ตัวเรามีความสุขอย่างมาก เช่น ถ้าหากเรารักใครสักคน แล้วเราก็ปรารถนาให้เขาได้รับแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราไม่ได้หวังว่าเขาจะรักเราตอบหรือไม่ เราไม่ได้หวังเป็นเจ้าของเขา การให้ดังกล่าวจะทำให้เราเป็นเพื่อนกันมีอะไรก็สามารถปรึกษาหารือกัน แต่ถ้าหากเราให้ความรักเขาแล้วต้องการให้เขารักตอบ การให้ดังกล่าวจะเป็นทุกข์อย่างมาก
ให้ความรัก ควรจะคู่กับให้อภัย เพราะเนื่องจากเวลามีความรักต่อกันทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันช่างโสภาเป็นอย่างมาก อะไรก็ดีไปหมด อะไรก็ถูกไปหมด พูดง่ายๆ คือ ทุกอย่างมันเลิศไปหมดเลย อย่างไรก็ดีในทางตรงกันข้ามเมื่อหมดรักต่อกัน อะไรก็ผิดไปหมด อะไรก็ไม่ดีไปหมด มีแต่ความทุกข์โศกเศร้าเข้าหาตัวเรา แต่ถ้าหากเราลองฝึกการให้ ที่เป็นแบบ ให้อภัย การให้ดังกล่าวจะเกิดบุญกุศลต่อกันและกันไม่เกิดความทุกข์อีกต่อไป ดังนั้น เมื่อให้ความรักต่อกันแล้วก็ควรจะต้องมีให้อภัยต่อกัน
ให้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างมากสำหรับเราทุกคนที่จะทดลองฝึกตนเองให้รู้จักให้อย่างมีความสุขอย่างมีคุณค่าทัั้งต่อตนเองและผู้อื่นๆ เช่น การให้โอกาสสำหรับตัวเราเองในการกลับตัวกลับใจละเว้นจากสิ่งที่ไม่ดี การให้โอกาสคนในครอบครัวของเราให้กลับตัวกลับใจในการทำดีเพื่อครอบครัว การให้โอกาสสำหรับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น ให้ เป็นสิ่งที่หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่เคยที่จะคิดจะให้ ด้วยเหตุนี้ ประการแรก ลองมาคิดจะให้ (ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ให้จริงๆ) สิ่งดีๆ สำหรับตัวเราและคนอื่นรอบข้าง
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับให้ คือ รับ (หรือการรับ) เมื่อไรก็ตามที่ท่านคิดว่าการให้เป็นเรื่องที่ยาก ท่านลองลงมือทำง่ายๆ ก่อน คือ การไม่รับ ซึ่งเมื่อเราไม่รับสิ่งใดๆ บ่อยมากยิ่งขึ้นความอยากก็จะลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อนั้นแล้วท่านก็อาจจะเกิดความคิดหรือความอยากจะให้ขึ้นมาเอง ก็ลองลงมือทำนะครับ เพราะถ้าหากไม่ทำก็ไม่รู้ ถ้าหากไม่รู้ก็ไม่ได้ทำอะไรกับเขาสักอย่าง
มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็คิดว่า ให้ เป็นเรื่องสำคัญจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกคนในสังคมคงจะต้องช่วยกันรณรงค์การให้ (ให้) ให้ความรักซึ่งกันและกัน ให้อภัยซึ้งกันและกัน ให้โอกาสซึ่งกันและกัน และที่สำคัญ คือ ให้เราคนไทยทุกคนได้มีรักต่อกันมากยิ่งๆ ขึ้นไป
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตอกตะปู


หลายวันก่อนมีน้องที่เป็นหมอได้อยากจะให้เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับ "ตอกตะปู" ผู้เขียนก็รับปากไว้และตั้งใจว่าจะเขียนให้เร็วทีสุด แต่ก็ไม่มีเวลาเพื่อที่จะเขียน อีกทั้งเป็นเรื่องที่คิดไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดี

แต่ไม่เป็นไรในเมื่อเรารับปากแล้วจะต้องรักษาคำพูดของตัวเราเอง ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ตะปู นั้นมาจากคำว่า ตาปู (ตาของปู) หรือไม่ ถ้าเราสังเกตตาปูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าก็อาจะมีลักษณะที่คล้ายตะปูเหมือนกัน คือ มีหัวตะปู (ซึ่งคล้าย ส่วนหัวตาของปู)


ที่นี้มาขอเริ่มก็แล้วกัน ตอกตะปู เป็นการที่เรานำตะปูไปตอกกับวัตถุต่างๆ ไม่ว่าเป็นพื้นไม้ ท่อนไม้ คอนกรีต ฝาผนัง ฝาบ้านหรือสิ่งอื่นๆ ซึ่งจะเห็นว่า การตอกตะปู ส่วนมากแล้วจะเป็นการยึดวัตถุให้มีความติดแน่นกันหรือยึดกันให้อยู่ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ และที่สำคัญคือ ตอกตะปูจะทำให้วัตถุที่ถูกตอกเป็นรูตามขนาดของตะปู ก็แสดงว่าตอกตะปูทำให้เกิดการติดกันและเป็นรู หากตอกตะปูด้วยแรงมากๆ ก็ทำให้เกิดการยึดติดกันมากขึ้นไปด้วย ถ้าเปรียบเหมือนชีวิตของมนุษย์เรา ตอกตะปูน่าจะเปรียบเสมือนกับที่เราได้สร้างความสัมพันธ์กับใครเพื่อให้มีความใกล้ชิดและความลึกซึ้งเข้าใจกัน และถ้ายิ่งใส่ใจความตั้งใจในความสัมพันธ์ดังกล่าวก็จะเกิดความใกล้ชิดกันอย่างเหนียวแน่นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ตอกตะปู จะตรงข้ามกับคำว่า "ถอนตะปู" ทั้งตอกตะปูและถอนตะปูต่างจะต้องใช้แรงในการตอกและถอนพร้อมทั้งใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อที่จะให้การตอกและการถอนตะปูไม่เกิดปัญหา แต่ประการสำคัญ คือ เมื่อมีการถอนตะปูขึ้นมาจะเกิดรอยของรูตะปูอย่างแน่นอนหนีไม่พ้น ซึ่งจะหาอะไรมาปิดบังหรืออุดรอยตะปูดังกล่าวก็ยังรู้อยู่วันยังค่ำว่าเคยเป็นรอยตะปูมาก่อน และถ้าหากเปรียบกับชีวิตของเราแล้วก็อาจจะหมายถึง เมื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นอย่างดีและเกิดเลิกลากัน ทั้งสองคนที่คบหากันนั้นก็ยังมีรอยในอดีตที่ไม่สามารถจะลืมเลือนได้ ซึ่งจะต้องใช้เวลาเข้ามาช่วยเพื่อให้รอยดังกล่าวคอยจางหายไป โดยจะหาใครมาทดแทนเหมือนกันการปิดบังหรืออุดรอยตะปูก็อาจจะได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้นั้น

แต่ผู้เขียนคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ควรจะทำเมื่อมีรอยจากการถอนตะปู คือ หาวัสดุอะไรก็ตามแต่ที่มีความเหมือนกันวัสดุที่เป็นรอยรูตะปูมาอุดให้สามารถมองไม่เห็นรอยจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องชีวิตมนุษย์ ก็อาจจะเปรียบได้ คือ เราก็หาใครสักคนที่เหมาะกับตัวของเรามากที่สุด ถ้าหาไม่เจอก็ให้มันเป็นรอยต่อไป สักวันหนึ่งมันก็จะชินไปเอง ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อตอกตะปูแล้วก็ไม่ควรจะถอนตะปู แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านใดที่ถอนตะปูไปแล้วก็ให้มันเป็นไปอย่างนั้น ก็เท่านั้น

ที่นี้ มีตอกตะปูอย่างหนึ่งที่ถูกนำไปใช้กับเรื่องอะไรก็ตามแต่ที่จะเป็นจะเกิดอย่างแน่นอน คำที่ว่า คือ "ตอกฝาโลง" ซึ่งตอกฝาโลงมักจะใช้สำหรับเหตุการณ์ใดๆ ที่ดูเหมือนจะยากที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เช่น การแข่งขันฟุตบอลที่ผลการแข่งขันขณะเวลาประมาณนาทีที่ ๘๘ ผลของทีม ก นำ ทีม ข อยู่ด้วยผล ๓ ต่อ ๐ แต่พอนาทีที่ ๘๙ ทีม ก ยิงเพิ่มอีก ๑ ประตู เป็น ๔ ต่อ ๐ ดังนั้น ณ เวลานาทีที่ ๘๙ ผู้บรรยายมักจะพูดว่า "ทีม ก ตอกฝาโลง" นั้นหมายความว่า ไม่ฟื้นจากการตาย(คือ คนตายอยู่ในโลงศพ)อย่างแต่นอน โดยหากประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันสำหรับคำว่า "ตอกฝาโลง" ก็น่าจะสามารถใช้กับเรื่องใดเรื่องนั้นที่เราคิดว่า เราตั้งใจอย่างแน่วแน่จะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายใดๆ ที่ตั้งใว้ ก็อาจจะเรียกได้ว่าเราตอกฝาโลงสำหรับเป้าหมายของเรา ที่เรายึดไว้ให้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้

ดังนั้น ตอกตะปู เป็นสิ่งที่ดีที่เราทุกคนควรจะตอกตะปูในเรื่องการทำงานใดๆ ที่เราต้องการให้ความใกล้ชิด ความสัมพันธ์กัน ให้ยึดกันติดยึดมั่นกันเพื่อให้ทุกอย่างอยู่ด้วยกันประกอบกันให้มีความสมบูรณ์ ผู้เขียนขอให้กำลังใจสำหรับท่านใดที่กำลังจะตอกตะปูในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตอกตะปูในเรื่องของการทำงานร่วมกันในองค์กร

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เราและนาย

หลายวันก่อนได้ดูข่าวกีฬาฟุตบอลทางสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ปรากฏว่าเห็นนักฟุตบอลผู้จัดการทีมและเพื่อนๆ ไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมและขอโทษเพื่อนนักฟุตบอลอีกทีมที่ได้รับบาดเจ็บ​ (ขาหักสองท่อน)​จากการปะทะกันในเกมส์แข่งขันที่ไม่ได้มีเจตนา ภาพข่าวดังกล่าวมีเพลงประกอบด้วย คือ เพลง "เราและนาย" ของนักร้องชื่อเสกโลโซ ผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่เคยฟังเพลงนี้ ลองฟังได้ที่นี้ครับ  ท่อนที่ซึ้งกัน คือ "เราและนาย" 

แต่ที่ผู้เขียนจะขออนุญาตเเพิ่มเติมจากข่าวข้างต้นและเพลงดังกล่าว คือ คำว่า "เราและนาย"  เราและนายดังกล่าวผู้เขียนหมายถึง เรา หมายถึง ตัวเรา ส่วนนาย หมายถึง เจ้านาย  ซึ่งบางคนอาจจะเป็นทั้งเจ้านายและลูกน้อง

เจ้านาย ความหมาย ค่อนข้างที่จะเป็นส่ิงที่อยู่สูงเหลือเกิน เพราะเนื่องจากเป็น เจ้า ซึ่งสมัยก่อนนั้น คือ ผู้ที่เราจะต้องให้ความเคารพนับถือเพราะเนื่องจากเป็นบุคคลที่ทำงานเพื่อแผ่นดินรับใช้พระมหากษัตริย์  ดังนั้น เจ้านายเราจะต้องให้ความเคารพนับถือยำเกรง ซึ่งเจ้านายเป็นผู้ที่ให้อาชีพแก่เรา มอบหมายงานให้เราทำ จ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับเรา ดังนั้น จะเห็นว่าเจ้านายนั้นให้ทั้งคุณและโทษ​​ (ถ้าหากเราทำผิด ย่อมจะถูกลงโทษ นั้่งเอง)  แต่สำหรับ ลูกน้อง เป็นคำที่มาจาก ทั้ง ลูก รวมกับ น้อง ดังนั้น จะเห็นว่าลูกน้องเป็นบุคคลที่เป็นทั้ง ลูก และ น้อง สำหรับเจ้านาย  ที่เป็นลูก คือ เจ้านายจะต้องดูแลให้มีความเจริญเติบโต ให้ความอบอุ่น ที่เป็นน้อง คือ เจ้านายจะต้องดูแลให้ความเอ็นดู ดูแลเปรียบเสมือนน้องแท้ของเจ้านาย 

จากข้างต้น ผู้อ่านเห็นหรือยังว่า "เราและนาย"​ จะต้องทำงานด้วยกันให้ความเคารพนับถือเชื่อฟังสำหรับคนที่เป็นเรา (ลูกน้อง) และสำหรับเจ้านายก็ต้องให้ความรักความอบอุ่นดูแลเรา (ลูกน้อง) ให้ดี ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากในทุกหน่วยงานจะมี "เราและนาย" ก็ขอให้เป็น เราและนาย ที่เข้าใจกันและกัน เข้าใจบทบาทของทั้ง เรา​(​ลูกน้อง)​ และเจ้านาย ซึ่งถ้าทั้งสองไม่ว่าจะเป็นเราและนายเข้าใจกันเป็นอย่างดี หน่วยงานนั้นสังคมการทำงานร่วมกันนั้นก็จะมีแต่ความสุข ดั่งเนื้อเพลงบางช่วงบางตอนของเพลง "เราและนาย"​ที่ว่า

จากวันนี้ จะมีเรา เราและนาย 
จดจำไว้ตลอดไป ไม่ทิ้งกัน 
หากมีเราจะมีนายร่วมทางไม่มีไหวหวั่น 


ดังนั้น ขอให้เราคนไทยทุกคนมาเป็น "เราและนาย" ที่จะร่วมเดินทางพัฒนาประเทศของเราให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปตลอดไป
มนูญ​ ศรีวิรัตน์






เหนือฟ้ายังมีฟ้า





ผู้เขียนได้มีโอกาสนำ (ร่าง) โครงการแสดงปาฐกถาเกียรติยศ "การทำงานตามรอยพระบาท เพื่อประโยชน์ของปวงประชา" ไปกราบเรียนเชิญและรับข้อเสนอแนะนำต่อ ฯพณฯ ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ผ่านเลขานุการฯ ของท่านที่สำนักองคมนตรี (ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง) เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตอนเช้าที่ผ่านมา ขณะที่เดินทางกลับอุบลราชธานีได้มีโอกาสถ่ายภาพท้องฟ้า ก็เลยคิดว่า น่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับฟ้า จึงเป็นที่มาของเรื่อง เหนือฟ้ายังมีฟ้า 

ขณะที่เราอยู่พื้นดินเรามองขึ้นไปยังท้องฟ้าเราก็จะเห็นฟ้านั้นมีความสวยงามมีเฆกหมอกที่งามตา แต่ถ้าหากเรามีโอกาสขึ้นไปบนฟ้าเราก็จะเห็นว่าเหนือท้องฟ้าที่เราเห็นนั้น ข้างบนก็ยังมีฟ้าอีกที่หนึ่ง (ดังรูปภาพดังกล่าวข้างต้น) ก็แสดงว่า ฟ้าที่เรามองเห็นจากข้างล่างพื้นดินนั้น หากไปดูบนฟ้าอีก (บนเครื่องบิน) ก็ยังมีฟ้าอีก ด้วยเหตุนี้ เห็นหรือยังครับว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ (ไม่ใช่เหนือฟ้ามี  ไม้โท  "  ้  ") 

แต่จริงแล้ววันนี้ เรื่องเหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่ได้เกี่ยวกับกับเรื่องของฟ้าหรือเฆกสักเท่าไรนัก เพราะคำว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า โดยส่วนมากเรามักจะได้ยินจากการที่ ใครคนใดคนหนึ่งที่มีความสามารถ มีความเก่ง มีความดี แล้วปรากฏว่า มีอีกคนที่มีความสามารถมากกว่า เก่งกว่า ดีกว่า  เขาจึงเรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า  ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว คำว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า มักจะถูกใช้กับเรื่องที่ดีๆ  ส่วนเรื่องที่ไม่ดี (หรือ ชั่ว) มักจะไม่ถูกใช้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า  (เพราะมีใครที่ทำชั่วแล้ว มีคนที่ทำชั่วกว่าเลวกว่า ถูกเรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า อาจจะเป็นเพราะว่า ฟ้าเป็นของสูงก็ได้)  

คำว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เรามักจะได้ยินจากละครหรือภาพยนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนต์จีนกำลังภายใน ที่กล่าวถึงการฝึกวิทยายุทธ์ให้มีความเก่งกาจสามารถที่จะหาใครเทียบได้ โดยผู้ที่ฝึกฝนนั้นจะต้องมีความขยันมานะอดทนเพื่อจะได้เป็นสุดยอดของจอมยุทธ (จอมยุทธจักร)  ซึ่งแน่นอนผู้ที่ฝึกฝนมีความมุ่งมั่นที่แท้จริงเพื่อจะได้มีเคล็ดวิชาที่ล้ำเลิศสุดยอดเพื่อเก่งกว่า ก็มักกล่าวกันว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า นั้นหมายความว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะสุดยอดเก่งที่สุด ย่อมจะมีใครสักคนที่เก่งกว่าเรา เนื่องจากเขาเป็นคนที่อย่างที่บอกไปแล้ว คือ มีความตั้งใจจริง ขยัน มั่นเพียร อดทน เพื่อจะได้ถูกเรียกว่า เก่งกว่า ดีกว่า สุดยอดกว่า 

ที่นี่ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ใช้ได้กับการทำงานได้หรือไม่ ผู้เขียนคิดว่าจะต้องใช้ได้อย่างแน่นอน เพราะเนื่องจากว่าถ้าหากมีคนใดในหน่วยงานที่เก่ง มีความดี มีความสามารถ  ถ้าหากสามารถทำได้ดีกว่า เก่งกว่า มีความดีกว่า ย่อมจะถูกเรียกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ได้เช่นกัน  ซึ่งตรงนี้เราจะต้องไปศึกษาว่าหน่วยงานใดเขามีดี เราก็ขอไปศึกษาดูงาน (บางครั้งอาจจะเรียกว่าหา Best Practice)  เมื่อเราไปดูเขาแล้ว เราก็กลับมาดูตัวเรา และพัฒนาปรับปรุง (ฝึกฝนวิทยายุทธ​ เพื่อให้มีเคล็ดวิชาที่สุดยอด) ให้ดีกว่าเขา  แล้วหน่วยงานของเราก็จะเป็น เหนือฟ้ายังมีฟ้า  ถ้าจะให้ดีเราก็ควรจะต้องศึกษาพัฒนาปรับปรุงตัวเราเองให้ดีอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น  คนอื่นหน่วยงานอื่นก็จะเหนือกว่าเรา  

วันนี้ หากเราต้องการเหนือฟ้ายังมีฟ้า เราจะต้องพยายามฝึกฝน ตั้งใจ มุ่งมั่น อดทน ขยัน เพื่อจะได้เหนือคนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา และเมื่อนั้น เราจะเป็นจอมยุทธผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธจักร ที่มีเคล็ดพลังไหมฟ้า (กระบี่ไร้เทียมทาน)  ขอให้ทุกท่านโชคดี และมีฟ้าที่อยู่ต่ำกว่าท่านตลอดไป 

มนูญ​ ศรีวิรัตน์

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฝัน

ฝัน เป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เราทุกคน ล้วนที่จะต้องประสบกับตัวตนเเอง บางท่านอาจจะฝันเป็นเรื่องเป็นราว บางท่านก็อาจจะมีความรู้สึกว่า มีความฝันเหมือนกันแต่จำความฝันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงสำหรับความฝัน คือ ไม่มีใครรู้กับตัวเรา ว่า ราฝันอย่างไร ตัวเราเองจะรู้ดีที่สุด ว่าความฝันที่เราฝันนั้น มันเป็นอย่างไร เพราะถ้าหากเราโกหกใคร ว่า ความฝันของเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่มีใครที่จะสามารถมาตรวจสอบความฝันของเราได้ ก็เพราะเนื่องจากการฝันดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่เรานอนหลับ (ซึ่งเราจะมักไม่ใช้คำว่า หลับนอน)

การฝันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว หลายๆ ประเทศ หลายๆ สมัยตั้งแต่โบร่ำโบราณ ก็มักจะมีผู้ที่ทำนายฝัน ซึ่งแน่นอนการที่จะทำนายฝันได้นั้น ก็จะต้องมีการจัดเก็บข้อมูล หรือ ที่เรียกว่า สถิติ ที่เกี่ยวข้องกับความฝันในกรณีต่างๆ 

แต่บางครั้ง การฝัน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ต้องนอนหลับ ก็มีความฝันได้ ซึ่งความฝันดังกล่าว จะถูกเรียกว่า ความคาดหวังในอนาคตกับสิ่งที่เราต้องการจะได้รับ ต้องการจะได้เป็น ดังนั้น การฝันดังกล่าวก็มักจะทำให้มนุษย์เรามีความสุขกับการฝันความฝันที่ตั้งไว้ บางคนก็มีความฝันที่สูงส่ง หรือ อาจจะเรียกว่า มีความฝันเกินความเป็นจริง การมีความฝันดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้เราได้มีความตั้งมั่นตั้งใจว่าสักวันหนึ่ง เราจะต้องประสบความสำเร็จตามที่เราได้ตั้งความฝันไว้ ความฝันดังกล่าวช่วยทำให้เรามีความกระตือรือร้นในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ได้

สำหรับความฝันอันเกิดจากการนอนหลับนั้น บางคนเมื่อตื่นขึ้นมาก็อาจจะจำความฝันได้ บางคนก็ไม่อาจจะจำความฝันได้  บางคนก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง การจดจำความฝันได้นั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะอาจจะทำให้ผู้มีฝันได้รับทราบข้อมูลที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ บางคนถึงกับเอาความฝันไปเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงโชค ซึ่งเราก็เห็นมาพอสมควรว่าความฝันทำให้บางคนนั้นร่ำรวยในพริบตาได้ 

กล่าวสำหรับคำที่เกี่ยวกับฝัน ผู้่อ่านคงจะเคยได้ยินคำว่า ฝันลมๆ แล้งๆ ฝันกลางวัน ซึ่งการฝันทั้งสองอย่างนั้น เป็นการแสดงถึงการคาดหวังหรือหวังอะไรที่ เป็นไปไม่ได้ หรือโอกาสที่จะเป็นจริงน้อยมากๆ  ที่นี้ กล่าวสำหรับฝัน ที่อาจจะเป็นจริงได้นั้น มีการนำวิชาการ ที่เรียกว่า สถิติ มาช่วยในการทำนายฝัน โดยเราจะเห็นว่ามีหนังสือมีตำราเกี่ยวกับการทำนายทายฝันอย่างมากมาย  แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ประสบและเคยสอบถามกับผู้อื่นๆ ที่เป็นทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อนร่วมงาน ก็พบว่า มีฝันอย่างหนึ่งที่ หลายๆ ท่านอาจจะเคยฝัน นั่นก็คือ มีความฝันว่าจะสอบตก หรือ ไปสอบไม่ทัน ทำให้ไม่สามารถข้ามชั้นเรียนไปสู่ชั้นที่สูงกว่าเดิมได้ และโดยส่วนมากมักจะเป็นความฝันที่เหมือนเกิดขึ้นตอนประถม มัธยม หรือแม้กระทั่งอุดมศึกษา  ผู้เขียนก็ไม่ได้เป็นผู้ชำนาญในเรื่อง ทำนายทายฝันดังกล่าว แต่การฝันดังกล่าวนั้น มีผู้รู้ได้กล่าวว่า เป็นเรื่องของจิตสำนึก ข้อกังวล ที่ค้างคาอยู่ในใจ ในจิตของเรา มานานซะเหลือเกิน  การฝันว่า สอบตก หรือ สอบไม่ผ่าน ในตอนเด็กๆ ผู้ที่ฝันก็มักจะบอกตัวเองในฝันว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง ตื่นจากฝันได้แล้ว แล้วรีบกลับมาสู่ความเป็นจริงในปัจจุบัน

นอกจากนั้น อาจจะมีหลายๆ ท่านที่เคยฝันว่า รองเท้าหาย รถหาย (หรือ สิ่งที่เป็นพาหนะที่จะพาเราไปที่ไหนหนตำบลใดที่เราต้องการ)  แสดงว่า ท่านมีเรื่องที่กังวลกับชีวิตความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง ว่าจะสามารถเดินทางไปต่อ​ (เหมือนกับเดอร์สตาร์ จะไปต่อได้หรือไม่) ในหน้าที่การงาน ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ตลอดจนการเรียนหนังสือ หรือการประกอบอาชีพ  นั้นเป็นเพียงความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น อย่างไรก็ดี บางครั้ง ก็มีผู้คนเคยบอกว่า ฝันร้ายจะกลายเป็นดี เราก็คงจะไม่กังวลเกี่ยวกับความฝันของหาย รถหาย มากนัก เดี๋ยวจะทำให้เราเป็นทุกข์

สำหรับความฝัน หรือ ฝัน เป็นสิ่งที่หนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ใครที่มีอาการฝันทุกคืน หรือ ท่านใดไม่เคยฝันเลย ก็ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องความฝันของเรา ขอเพียงแต่เราทุกคนที่มีความฝันในเรื่องใดๆ ก็ขอเพียงแต่มีความตั้งใจ ตั้งจิต ตั้งมั่น ตั้งความหวังเพื่อจะเดินทางไปสู่ความฝัน (ความหวัง) ของเราด้วยความแน่วแน่ แล้วเขาจะเรียกว่า ฝันที่เป็นจริง  ด้วยเหตุนี้  เราทุกคนมาร่วมกับฝันในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ต่อครอบครัว ต่อคนรัก ต่อชุมชน และประเทศชาติ   (ฝันให้ดี เป็นศรีแก่ชาติ ฝันอย่างฉลาด จะพาชาติเจริญ)

มนูญ​ ศรีวิรัตน์ 

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เห็นแต่ไม่ได้มอง มองแต่ไม่เห็น

ที่ผ่านมาหลายๆ ครั้งในชีวิต เราได้เห็นหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่มากระทบดวงตาของเรา และที่สำคัญ คือ การมีแสงสว่างทำให้เราได้เห็นสิ่งต่างๆ และเช่นเดียวกัน เมื่อเราใช้ดวงตาของเราภายใต้แสงสว่างที่เพียงพอแล้วเพ่งไปที่สิ่งที่เรามีความสนใจ เราก็มักจะเรียกว่า มอง ซึงบางครั้งก็มีการเรียกว่า การมองเห็น

เช่น เรานั่งอยู่ข้างถนน เราเห็นรถยนต์วิ่งผ่านไปผ่านมา
และเช่นเดียวกัน เรามองรถยนต์คันหนึ่งสีแดงวิ่งผ่านหน้าเราไป

ดังนั้น จะเห็นว่า เราจะต้อง เห็นก่อน เราถึงจะมองสิ่งนั้นๆ ที่เราสนใจ จึงกลายเป็นว่า เรา มองเห็นรถยนต์สีแดงคันที่เราสนใจ เราลองมาพิจารณาดูว่า การเห็นแต่ไม่ได้มอง เป็นอย่างไร ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประกอบเกี่ยวกับการเรียนหนังสือเพื่อให้ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ในห้องเรียนหนึ่งอาจารย์ผู้สอนยืนอยู่หน้าห้อง มีนักเรียนในห้องเรียนประมาณ ๖๐ คน มีนักเรียนหลายๆ คนในห้องที่ใช้ดวงตาทั้งสองของพวกเขาและในห้องมีแสงสว่างที่เพียงพอ ทำให้พวกเขาสามารถเห็นอาจารย์ผู้สอนที่อยู่หน้าห้อง พวกเขาเพียงแต่เห็นอาจารย์เท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้มองอาจารย์ผู้สอนเลย เพราะพวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้เห็นด้วยจิตที่ตั้งใจในการเรียน

อย่างไรก็ดี หลากเหล่านักเรียนดังกล่าวข้างต้น ได้แต่มองอาจารย์ คือ หมายความว่า เพ่งดวงตาทั้งสองไปที่อาจารย์ผู้สอนที่อยู่หน้าห้องเท่านั้น แต่ไม่ได้เห็นอาจารย์เลย เพราะพวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้มองด้วยจิตใจที่ตั้งใจในการเรียน
ดังนั้น ถ้าจะให้ดี เมื่อนักเรียนได้เห็นแล้วก็ควรจะมองด้วย นั้น คือ การดูอะไรก็ตามแต่จะต้องใช้ดวงตาทั้งสองของเราให้สามารถเห็นสิ่งนั้นๆ และต้องมองด้วย เป็นการเห็นและมองด้วยจิตที่ตั้งใจใส่ใจในสิ่งนั้นๆ ด้วยเห็นนี้จะเห็นได้ว่า การเห็นและการมองเป็นสิ่งที่จะต้องคู่กัน

ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนคิดว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ถ้าเราเห็นและมองในสิ่งที่เราทำอยู่นั้น เราจะมีความเข้าใจ เราจะมีความคิดกับสิ่งนั้นๆ มีความรู้สึกกับสิ่งนั้นๆ มีสติกับสิ่งนั้นๆ และในที่สุด เราก็สามารถพิจารณาทำให้เกิดความเข้าใจกับสิ่งนั้นๆ มากยิ่งๆ ขึ้น เหมือนกับในครอบครัวหนึ่งถ้าหากเกิดความไม่เข้าใจกัน คนในครอบครัวนั้น ก็ได้แต่เห็นกันเท่านั้น แต่ไม่ได้มองซึ่งกันและกัน ว่าแต่ละคนในครอบครัวกำลังทำอะไรอยู่ ใครทำอะไรก็ไม่สนใจ ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าหากครอบครัวใดที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทุกคนให้ครอบครัวต่างก็จะเห็นและมองซึ่งกันและกัน ว่าใครกำลังทำอะไรกันอยู่ ใครมีความเดือดร้อนอีกคนก็มองเห็นและเข้าไปช่วยเหลือ

ในองค์กรก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากคนในองค์กรนั้นต่างก็เห็นและมองซึ่งกันและกัน จะทำให้ทุกคนในองค์กรต่างก็ไถ่ถามทุกข์สุขของเพื่อนร่วมงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน ดูแลกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น การขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กรก็ไปได้รวดเร็วเจริญก้าวหน้า เพราะทุกคนในองค์กรล้วนแต่มีจิตใจที่มองเห็นซึ่งกันและกัน หากวันนี้เป็นต้นไปองค์กรของเรา มองและเห็นกันและกัน ผู้เขียนประกันได้เลยว่า องค์กรนั้นจะเป็นองค์กรหน่วยงานที่มีความสุขในการทำงานเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ เราคนไทยทุกคน เรามาเริ่มที่เห็นและมองตัวเองเสียก่อน เมื่อได้อย่างนั้นแล้ว ก็ลองเห็นและมองคนรอบข้าง แล้วก็เห็นและมองออกไปอีก คือ เห็นและมองสังคม เห็นและมองประเทศชาติ เมื่อเป็นเช่นกันแล้ว การเห็นและการมองจะทำให้เรามีความสุขเป็นอย่างมาก
มนูญ ศรีวิรัตน์