วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันปีใหม่ เราก็ควรจะใหม่ตามไปด้วย

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๔ อีกวาระหนึ่งที่บางท่านอาจจะคิดว่าเวลามันทำไมรวดเร็วเหลือเกิน บางท่านอาจจะบอกว่าเวลาทำไมมันช้าเหลือเกิน ดั่งที่ผู้เขียนได้เคยเขียนเคยกล่าวไว้ใน Blog ก่อนหน้านี้ว่า เวลาเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาเพียงเท่านั้น ให้รู้ว่าระยะเริ่มต้นเป็นอย่างไร ระยะเวลาสิ้นสุดของแต่ละช่วงที่เราสมมติเป็นอย่างไร

ปีใหม่สำคัญกับเราอย่างไรบ้าง สำหรับคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ก็อาจจะรู้สึกว่าดีเหมือนกันได้เวลาพักผ่อนหลายๆ วัน แต่กล่าวสำหรับคนทำงานบางกลุ่มก็อาจจะไม่ชอบสักเท่าไร เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้พักผ่อน เช่น ตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร คุณหมอคุณพยาบาลที่จะต้องเข้าเวรรักษาผู้เจ็บป่วย เป็นต้น ปีใหม่ เป็นวันใหม่ๆ สำหรับเราทุกคนบางท่านก็ไปทำบุญตักบาตรเป็นสิริมงคลต่อตัวเองและครอบครัว บางท่านก็ไม่ทำบุญทำทานกับสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านคนชรา บ้านเด็กพิการยากจน ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่เราได้ใช้วันปีใหม่ในการทำจิตใจด้วยการให้เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าท่านจะทำบุญด้วยวิธีการใดก็ตามแต่ ล้วนเป็นสิ่งที่ดีเป็นตัวอย่างให้เยาวชนลูกหลานได้เรียนรู้ได้รับทราบ และที่สำคัญเป็นการอนุรักษ์สิ่งที่ดีๆ สำหรับคนไทยเราให้ปฏิบัติสืบต่อไป

ปีใหม่บางท่านอาจจะต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ต้องการทำอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและผู้คนรอบข้างรวมทั้งสังคม ซึ่งถ้าหากเราคนไทยทุกคนเริ่มต้นในสิ่งที่ดีๆ ในวันปีใหม่ ประเทศไทยของเราก็จะได้สิ่งใหม่ๆ อันจะทำให้ประเทศไทยของเราน่าอยู่มากยิ่งๆ ขึ้น สิ่งใหม่ๆ ที่ว่านั้นมีมากมายตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน และที่สำคัญ สิ่งใหม่ๆ นั้น ควรจะต้องดี ดีที่ว่า คือ ความพอดี ความพอเพียง ตามสภาพตามสถานการณ์ของแต่ละท่าน โดยผู้เขียนคิดว่า ดี ดังกล่าวนั้น แต่ละคนแต่ละท่านไม่เหมือนกัน ขอให้ท่านวัดเอาเอง โดยเอาจิตของท่านเป็นคนวัดว่า มันพอดี มันพอเหมาะ มันพอควร มันพอเพียงแล้วสำหรับตัวท่านเอง

เมื่อปีใหม่มาถึง วันขึ้นปีใหม่มาถึง หากเราลองทำตัวใหม่ๆ เปลี่ยนตัวเองทำในสิ่งใหม่ๆ ที่เรามีความสุขไม่สร้างความเดือดร้อนในตัวเราและผู้อื่นรอบข้างแล้ว วันปีใหม่ดังกล่าว จะเป็นวันที่มีแต่ความสุขที่ทำให้ตัวเราเป็นคนใหม่ และคนใหม่ที่ว่านี้ จะเป็นคนใหม่ที่ผู้อื่นได้ชื่นชมยินดีด้วย ผู้เขียนก็คิดเหมือนกันว่าปีใหม่นี้ จะลองทำอะไรใหม่ๆ ดูเหมือนกัน เพราะคิดว่าเมื่อทำแล้วก็น่าจะเป็นสุขสำหรับตัวเราและคนรอบข้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วันปีใหม่มาขึ้น เราก็ใหม่ตามไปด้วย

ดังนั้น ปีใหม่ วันปีใหม่ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่จะถึงนี้ ผู้เขียนก็ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขในการเป็นคนใหม่ ทำสิ่งใหม่ต่อตัวเองและครอบครัว แล้วเมื่อนั้น ท่านก็จะได้พบความสุขแบบใหม่ๆ ในที่สุด

มนูญ ศรีวิรัตน์


"ปีเก่าผ่านไป หากเรามัวเยื่อใยกับสิ่งเก่า เราก็จะเศร้าต่อไป จงก้าวไปในสิ่งใหม่ๆ ด้วยความห่วงใยตัวเองและครอบครัว"
"ทำในสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ขอเพียงแต่อย่าทำเหมือนเดิม"

ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้

ตอนแรกที่ผู้เขียนได้คิดจะเขียนเกี่ยวกับยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ นั้น ก็คิดเหมือนกันว่าจะเขียนอย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการสื่อความหมายให้ได้ดีมากที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะ ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ กับ ยิ่งได้ ก็ยิ่งให้ นั้นจะให้ความหมายที่ใกล้เคียงกัน

ยิ่งให้ เป็นอย่างไรกันแน่ ให้ การให้ เป็นสิ่งที่เรามนุษย์ทุกคนควรจะต้องมีประจำตัวเอง เพราะให้เป็นสิ่งที่เรามีอะไรอยู่ เราเอาออกจากตัวเรานำไปสู่คนอื่นๆ เพื่อคนอื่นได้รับประโยชน์ (ผู้เขียนขอเน้นนะครับ ว่าได้รับประโยชน์เกิดความสุข) ไม่ใช่เรามีอะไรแล้วเอาออกจากตัวเราไปสู่คนอื่นแล้วผู้ที่ได้รับเขาไม่ได้ประโยชน์เกิดความเดือดร้อน

ให้ ยิ่งให้เท่าไรเราก็จะรู้สึกเองว่า มันเกิดความสุขที่ไม่รู้ตัว ยิ่งเราฝึกให้บ่อยๆ ทุกเวลาๆ ทุกสถานที่ๆ การให้ดังกล่าวก็จะกลาย เป็นการได้ ซึ่งการได้ที่ว่านั้น คือ การได้ความสุขที่เป็นความสุขจริงๆ เกิดกับจิตของเรา และเมื่อไรก็ตามที่เราให้ หรือ เกิดการให้อีก จิตของเราจะรู้สึกโดยอัตโนมัติว่า การให้ดังกล่าว เราจะต้องทำแล้วทำอีก จึงเป็นที่มาของ ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ (ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นๆ ก็จะได้ความสุขกับคืนมา ให้มาก ก็ยิ่งได้มากเท่านั้น) แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าหากเราให้ความทุกข์แก่คนอื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งจะได้รับความทุกข์กลับคืนมาเท่าเดิม และอาจจะมากกว่าเดิมก็ได้ ดั่งที่มีกล่าวไว้ว่า "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว" ดังนี้แล้ว ผู้เขียนก็เลยคิดว่า เราทุกคนน่าจะฝึกปฏิบัติ "ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัวเรา"

ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนประสบพบมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวกับข้างต้นหรือไม่ แต่เป็นความจริงที่ผู้เขียนพึ่งจะประสบมา กล่าวคือ ผู้เขียนไปติดต่อทำธุรธรรมเกี่ยวกับที่ดิน (ณ สำนักงานที่ดินแห่งหนึ่งในประเทศไทยของเรา) สำนักงานนี้มีขนาดเล็ก แต่มีผู้คนมาใช้บริการจำนวนมาก ไม่มีความสมดุลกันเลยระหว่างจำนวนเจ้าหน้าที่ และผู้มาใช้บริการ ผู้เขียนก็ใช้บริการตามปกติตามแถวคิวที่กำหนดไว้ ในใจก็สงสารเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดพัก ไม่ได้แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ เพราะผู้เขียนก็เผ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา ยิ้มให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ จิตก็ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เพราะผู้มาใช้บริการต่างๆ คนก็ต่างๆ จะให้เอกสารของตัวเองเสร็จสิ้นกระบวนการเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีทั้งเจ้าหน้าที่บริษัท เจ้าหน้าที่ธนาคารที่มารับจำนอง บรรยากาศภายในสำนักวุ่นวายมากๆๆๆ ผู้เขียนก็ได้แต่ใจเย็นและคอยให้กำลังทุกคนเอาใจช่วยทุกคน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ในจิตใจของผู้เขียนรู้สึกสงสารเจ้าหน้าที่ที่ดินเป็นอย่างมาก (เพราะไม่รู้จะฟังใคร) และคิดว่า เจ้าหน้าที่ที่ดินน่าจะเป็นข้าราชการที่มีความเครียดเป็นอย่างมากเลยที่เดียว ผู้เขียนได้แต่นั่งรอ เอาใจช่วย ยิ้มให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน และแล้วในที่สุด เอกสารของผู้เขียนเสร็จสิ้นกระบวนความด้วยความรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆ ซึ่งผู้เขียนคิดว่า การที่เราให้กำลังใจแก่ใคร ยิ้มให้กับใคร เอาใจช่วยเขา น่าจะเป็นพลังอย่างหนึ่งเหมือนกันในการช่วยเขาเหล่านั้นให้มีพลังเช่นกัน การให้ดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนไม่ต้องเป็นทุกข์กับการนั่งคอย เกิดความสุขในการให้ ตัวอย่างเช่นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า หากเราสามารถทำได้ต่อเหตุการณ์ต่างๆ เราก็จะเกิดความสุข ต่อทั้งผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สถานการณ์รอบข้างเรา ก็ขอให้ผู้อ่านได้ลองดูนะครับ

ที่นี้ เราลองมาดูเรื่องยิ่งได้ ยิ่งให้ อาจจะเป็นเรื่องของเศรษฐีมีสตางค์ที่ยิ่งได้มีเงินทองมากมาย แล้วพวกเขายิ่งให้บริจาคกับผู้ยากไร้ ดังตัวอย่างเช่น เจ้าของ Microsoft เจ้าของ Facebook เป็นต้น พวกเศรษฐีดังกล่าวยิ่งเขาได้เงินทองมากมายจากธุรกิจของเรา แล้วพวกเขาก็ให้กลับคืนสู่สังคมผู้ยากไร้ การยิ่งได้ ยิ่งให้ ดังกล่าวก็ยิ่งจะทำให้เกิดความสุขได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่ท่านผู้อ่านได้ (เงินทอง) มามากๆ แล้ว ก็ลองให้มากๆ นะครับ แล้วท่านจะประสบพบกับความสุขที่หาซื้อด้วยเงินทองไม่ได้

ปีใหม่ใกล้จะถึงนี้ ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านลองทำ ยิ่งให้ ก็จะยิ่งได้ และ ลอง ยิ่งได้ ก็จะยิ่งต้องให้ ดูนะครับแล้วท่านจะมีความสุขในปีใหม่ ปีกระต่ายทองคำ

มนูญ ศรีวิรัตน์

เขาใหญ่ (แต่เราเล็ก)





วันนี้ ที่เขาใหญ่ เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของศิษย์เก่าคณะวิทยาศาสตร์รุ่นเมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา (แต่เป็นบางส่วนเท่านั้น) เขาใหญ่วันนี้เปลี่ยนไปอย่างมากเพราะมีการปรับพื้นที่ให้มีสถานที่พักผ่อน (รีสอร์ท) จำนวนมากมาย ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์

เขาใหญ่อาจจะใหญ่สำหรับสิงสาลาสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยเขาใหญ่เป็นที่พักอาศัย เป็นแหล่งที่พิงพักให้เจริญเติบโตให้เป็นสิ่งที่คู่กันกับเขาใหญ่ แต่เขาใหญ่ในวันนี้อาจจะเล็กไปแล้วสำหรับมนุษย์เรา เพราะมีการก่อสร้างตัดถนนหนทางจัดสร้างรีสอร์ทเพื่อให้บริการ บางพื้นที่มีการจัดให้บริการในรูปแบบที่ทันสมัย เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร เป็นต้น

เขาใหญ่เป็นสถานที่ แหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ใจกลางของเมืองจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคอีสาน คือ จังหวัดปราจีนบุรี สระบุรี ชัยภูมิ นครนายก เขาใหญ่เป็นสถานที่สร้างแหล่งต้นน้ำให้กับแม่น้ำหลายสายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่น้ำมูล (ซึ่งผู้เขียนได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ มูล มาแล้ว ที่นี้)

นับวันมนุษย์เรายิ่งทำให้เขาใหญ่เล็กลง เพราะถนนทุกสายชุมชนทุกทิศทุกทางรอบเขาใหญ่ต่างก็ช่วยกันทำให้เขาใหญ่เล็กลง เล็กลงที่ว่าหมายความว่า แทนที่พื้นที่เขาใหญ่จะมีต้นไม้ธรรมชาติที่มีพื้นที่จำนวนมากยิ่งๆ ขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามการตัดถนนการสร้างรีสอร์ทต่างๆ การบุกรุก ทำให้เขาใหญ่ไม่มีการขยายตัว มีแต่ขนาดพื้นที่ธรรมชาติลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์เข้าถึงแหล่งธรรมชาติมากขึ้นเท่าไร ก็อาจจะเกิดมูลพิษในด้านต่างๆ (ถ้าหากมนุษย์เราไม่ช่วยกันดูแล) มลพิษที่ว่าก็อาจจะเป็นเรื่องของก๊าซคาร์บอนฯ ขยะของเสียต่างๆ ที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์

แทนที่เขาใหญ่จะใหญ่ขึ้น มีต้นไม้จำนวนมากยิ่งขึ้น มีพื้นที่ป่าไม้มากขึ้นเพื่อช่วยสภาวะโลกร้อน เขาใหญ่ไม่ใหญ่สมชื่อเสียแล้ว ที่นี้เราจะทำอย่างไรเพื่อจะให้เขาใหญ่ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะทำได้ คือ การที่เราทุกคน (คนไทย) ได้ช่วยกันตระหนักถึงความสำคัญของ เขาใหญ่ (ในทางแหล่งต้นน้ำ แหล่งพืชพันธุ์สัตว์ที่หายาก) และประการสำคัญ คือ การไม่บุกรุก และถ้าหาก เศรษฐีท่านใดที่มีพื้นที่ในเขตใกล้ๆ พื้นที่เขาใหญ่จะช่วยเสียสละในการปลูกป่าในมีจำนวนมากๆ แทนที่จะสร้างรีสอร์ทที่พัก ที่ประกอบด้วยตัวอาคารที่พักทันสมัย ท่านเศรษฐีดังกล่าวก็อาจจะเปลี่ยนเป็นการสร้างรีสอร์ทแบบธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก และเน้นที่พักที่เป็นแบบธรรมชาติให้มากที่สุด ผู้เขียนขอเน้นว่า ธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้น ในแต่ละปีที่พื้นที่บางส่วน (ภูเขา) ที่ไม่มีต้นไม้ เราคนไทยน่าจะช่วยกันไปปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้น ณ บริเวณพื้นที่ภูเขาที่เรียกว่า ภูเขาหัวโล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีมหามงคลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา บริเวณเขาใหญ่น่าจะมีการปลูกต้นไม้ ๘๔ ล้านต้น (ถ้าเป็นไปได้ โดยบริษัทต่างๆ ร่วมมือกัน เช่น ปตท. ปูนซีเมนต์ เอไอเอส ดีแทค ทรู โตโยต้า ฮอนด้า เบียร์สิงห์ หรืออื่นๆ อีกมากมาย) เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาใหญ่ ก็จะใหญ่สมชื่อจริงๆ

เมื่อเขาใหญ่ เป็นอย่างนั้นแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า เขาใหญ่ จะเป็นแหล่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทุกคน เป็นแหล่งต้นน้ำให้กับแม่น้ำหลายๆ สายทั้งภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคกลาง เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติอย่างแท้จริงสมกับเป็นมรดกของโลก เป็นสถานที่บ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิตหายากจะมารวมตัวกันอยู่ที่เขาใหญ่ อีกร้อยปีพันปี เขาใหญ่ก็จะเป็นแหล่งที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืนตลอดกาลเท่านาน

ครับ เขาใหญ่ จะใหญ่ยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าคนไทยช่วยกัน ไม่บุกรุก ไม่รุกรานเขาใหญ่ และคนไทยทุกคนช่วยกันส่งเสริมบำรุงเขาใหญ่ให้ใหญ่กว่าเดิม โดยการช่วยกันปลูกช่วยกันรักษาป่าไม้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเขาใหญ่ของเรา ก็จะใหญ่สมชื่อ โดยทำให้เขาใหญ่ แต่ตัวเราเล็ก (เล็กๆ ลงให้มากที่สุด เพื่อจะได้ไม่รบกวนธรรมชาติ

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฝัน จะเป็นจริงได้หรือไม่

เมื่อคืนที่ผ่านมา (คืนวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓) ผู้เขียนฝันว่า
ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมพิธีใดสักอย่างหนึ่งของ ตชด.๒๒ ขณะที่รออยู่นั้น พ่อของผู้เขียนก็มานั่งในพิธีด้วย อีกสักพักปรากฏว่าท่านอธิการบดี (รศ.ดร.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข) ก็เดินเข้ามาในพิธีแล้วก็บอกว่า "ไม่ต้องร่วมพิธีก็ได้ ให้อาจารย์ (อธิการบดี) เข้าร่วมแทน และให้อาจารย์พาคุณพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพราะท่านป่วยอยู่" ผู้เขียนก็ขับรถพาคุณพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาล (ซึ่งน่าจะเป็นโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิ์ฯ วารินชำราบ) ฝนก็ตกเปียกปอนกันหมด ขณะเดียวกันนนั่นเองมีคนมาตามให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมฯ ด่วนที่ค่ายทหาร (น่าจะเป็นค่ายที่วาริน)เมื่อเข้าเฝ้ากราบพระองค์ท่านนั่งก้มหน้า และพระองค์ท่านทรงรับสั่งว่า "มีอะไรอีกหรือไม่" ผู้เขียนก็เงยหน้าได้กราบบังคมทูลฯ ว่า "ขอพระราชทานราชานุญาตพระองค์ทรงเสด็จโรงเรียนเก่าโรงเรี่ยนเบ็ญจะมะมหาราช พระพุทธเจ้าข้า" ซึ่งขณะที่ผู้เขียนเงยหน้านั้น พระพักตร์ของพระองค์ท่านทรงสดชื่นมีแสงบารมีให้เห็นเป็นเด่นชัด หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรงเสด็จไปที่โรงเรียนดังกล่าวโดยทรงขี่ม้า ส่วนผู้เขียนแบกปืนยาววิ่งตามเสด็จไปที่โรงเรียน (บริเวณศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี หลังเก่า) เมื่อไปถึงพระองค์ท่านทรงเสด็จไปยังอาคารทั้งชั้นล่างและชั้นบน และทรงตรัสถามว่า "จะทำอะไรกัน" ซึ่งขณะนั้นในฝันมีคุณนิกร วีสเพ็ญ (ประธานส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) อยู่ด้วยและก็ได้กราบบังคมทูลว่า "จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลฯ พระพุทธเจ้าข้า" จำได้แค่นี้ครับ
เรื่องฝันด้งกล่าว อาจจะเกิดขึ้น เพราะเมื่อวาน (คือวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๓)เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. ผู้เขียนได้เข้าพบท่านอธิการบดีเพื่อรายงานเกี่ยวกับพิธีเปิดอาคารเทพรัตนสิริปภา และได้พูดถึงงานพิธีเปิดอาคารโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช (หลังเก่าอายุเกือบ ๑๐๐ ปี) เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลฯ และตอนเย็นผู้เขียนก็ได้โทรศัพท์คุยกับคุณนิกร วีสเพ็ญ (ประธานส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ดังนั้น ผู้เขียนสงสัยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว อาจจะทำให้ผู้เขียนนำไปฝันโดยที่ไม่รู้ตัว แต่อย่างไรก็ตาม ฝันข้างต้นจะเป็นจริงได้ ถ้าเราตั้งใจทำให้เป็นจริงด้วย ตั้งมั่น ตั้งเป้าหมายร่วมกัน ตั้งจิตร่วมกันในการทำให้เป็นจริง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา เราชาวอุบลฯ ม.อุบลฯ ควรจะพัฒนาอาคารเก่าโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช หลังเก่า ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองให้ได้ โดยอาจจะขอพระราชทานนามอาคารว่า
"อาคาร พิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา เพื่อเป็นแหล่งศูนย์ข้อมูลด้านศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดอุบลราชธานี (เน้นเฉพาะศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดอุบลราชธานี ) และแสดงข้อมูลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จทรงเยี่ยมจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤศิจกายน ๒๔๙๓ เป็นต้นมา เช่น พระองค์ทรงเสด็จฯ เปิดเขื่อนสิริธร เป็นต้น"
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขออาสาเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ของการทำฝันให้เป็นจริงของชาวจังหวัดอุบลราชธานี
ฝันทุกคนนั้นฝันได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราฝันอย่างไร แต่ถ้าหากต้องการทำให้ฝันเป็นจริง ประการแรก คือ จะต้องขายฝัน ขายความคิดในเรื่องนั้นๆ (ซึ่งขายความคิดนี้แหละสำคัญ เพราะเป็นการหาแนวร่วมในการทำงาน) เมื่อขายความคิดแล้ว ก็จะต้องลงมือทำโดยมีการวางแผนที่ดีทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญ คือ เน้นการบูรณการและการมีส่วนร่วม ซึ่งก็เหมือนกันการที่จะเป็น "อาคารพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี เฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา มหาราชา" ประชาชนจังหวัดอุบลราชธานีทุกคนทุกท่านจะต้องมีส่วน ส่วนราชการ เทศบาล อบจ. จะต้องให้การสนับสนุน ร่วมทั้งศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันของโรงเรียนเบ็ญจะมะฯ ทุกคนจะต้องช่วยกัน โดยจะต้องช่วยทั้งแรงใจและแรงกาย เพื่อให้งานดังกล่าวสำเร็จลุล่วง
ฝัน จะเป็นจริงได้หรือไม่นั้น ผู้เขียนคิดว่าเป็นจริงได้ทุกเรื่อง ถ้าหากเราตั้งใจตั้งสติเพื่อให้เกิดสมาธิปัญญา เกิดพลังจิตพลังใจ และเกิดพลังกายในการผลักดันทำงานให้สำเร็จ เราทำได้ครับ ถ้าเราจะทำ และถ้าหากทำแล้วเกิดประโยชน์และความสุขต่อทุกคน เรายิ่งควรจะรีบทำ
มนูญ ศรีวิรัตน์


วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เส้นตาย

เส้นตาย หรือ ภาษาอังกฤษ ที่เรียกว่า Deadline นั้น เป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่ต้องไปถึงเหมือนกับเส้นชัย เพราะเส้นชัยเป็นสิ่งเป้าหมายของแต่ละคนที่กำหนดไว้ว่าจะไปให้ถึง เส้นชัยเป็นสิ่งที่เมื่อเราไปถึงแล้วเราจะพบกับความสุขที่ตั้งใจไว้ เหมือนกับทีมกรีฑาหญิง 4 x 100 ของไทยในเอเซียนเกมส์ที่เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง

เส้นตายเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าหลายๆ ท่านกลัว เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราไปถึงเส้นดังกล่าวจะพบกับความตาย ซึ่งแน่นอนการตายความตายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะรวยจะจน เป็นหญิงหรือชาย อาชีพใดก็ตามต่างก็หลีกหนีไม่พ้นความตายอย่างแน่นอน สำหรับ เส้นตาย เป็นสิ่งที่เราคิดว่าเป็นช่วงของเวลาที่จะต้องทำงานหรือทำสิ่งใดให้เสร็จสิ้นก่อนเวลาที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น เรากำหนดว่างานปรับปรุงพื้นที่เพื่องานพิธีใดๆ (ซึ่งเราไม่สามารถเลื่อนวันเวลาของพิธีได้) จะต้องให้เสร็จก่อนวันงาน ๑ วัน ถ้าหากว่างานที่ทำอยู่ยังล่าช้าก็จำเป็นต้องการทีมีการเร่งงาน ซึ่งการเร่งงานด้งกล่าวนั้นจะเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการเร่งงาน โดยทรัพยากรที่ว่า คือ คน และ เงิน หากงานใดหรือหน่วยที่รับผิดชอบมีคนและเงินเพียงพอ ก็จะสามารถเร่งงานได้ตามกำหนดเวลา และจะไม่เกิดเส้นตายในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ความตายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างที่เราทุกคนทราบกันดี ดังนั้น หากเราไม่กลัวความตาย เส้นตายก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะเราจะสามารถข้ามพ้นความตายไปได้ สิ่งหนึ่งที่จะสามารถทำให้ไม่กลัวความตาย คือ ฝึกตาย (ผู้เขียนก็ยังทำไม่ได้หรอก) คิดเสมอว่าชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไร ดั่งคำที่เขาว่า สามารถรู้วันเกิดได้ (คือ ให้คุณหมอกำหนดวันผ่าคลอด) แต่วันที่จะตายนั้น เราไม่สามารถกำหนดได้ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร แต่สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าจะลงมือทำ คือ รู้ว่าเราสามารถตายได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ลองฝึกนะครับ โดยการกำหนดให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะไม่กลัวความตาย และไม่มีเส้นตายสำหรับเรา
ที่นี้ ขอกลับมาที่ เส้นตาย ในการทำงาน หากเราไม่อยากให้มีเส้นตายเกิดขึ้น เราก็ควรจะวางแผนในเรื่องที่เราจะทำให้ดีที่สุด และลงมือทำด้วยสติปัญญาความตั้งใจที่มีอยู่ให้อย่างเต็มที่ความสามารถที่เรามีอยู่ตามทรัพยากรที่เรามี นอกจากนั้น ถ้าหากเราพบปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน เราก็จะต้องปรึกษาผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในการสั่งการเพื่อเร่งงานเพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้น สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นการเร่งงานที่ดี คือ เร่งงานด้วยจิตที่ตั้งมั่นในงานมุ่งให้งานสำเร็จเสร็จสิ้นตามเวลาที่กำหนดไว้ การเร่งด้วยจิตที่ว่าเป็นสิ่งที่เราทุกคนด้วยจะต้องฝึกปฏิบัติอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นงานใดๆ ก็ตามแต่
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านอย่าพยายามให้เกิดเส้นตายในเรื่องต่างๆ ในชีวิตนะครับ เพราะเราอาจจะตายจริงๆ ก็ได้
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โดน

โดน เป็นสิ่งที่เราทุกท่านทราบกันดีและรู้จักกันดี เนื่อง โดน หมายถึง การกระทบกระทั่ง กระทบกระแทก การสัมผัสถูกต้อง หรือ ถูก

สำหรับ คำว่า โดนดังกล่าว อยู่ตัวเดียวโดดๆ มักจะไม่มีความหมายสักเท่าไร แต่ถ้าหากเมื่อไรก็ตามที่มีคำอื่นๆ มาอยู่ด้วยแล้วละก็ จะทำให้โดนมากยิ่งขึ้น เช่น โดนต่อย (ถูกคนอื่นชกต่อย) โดนตี (ถูกคุณครูลงโทษโดยการตี) เป็นต้น

แต่วันนี้ผู้เขียนอยากจะเขียนเกี่ยวกับ โดน + ใจ = โดนใจ ซึ่งโดนใจน่าจะหมายถึง การที่กระทำใดๆ สักอย่างแล้วเกิดความสนใจประทับใจพอใจในการกระทำสิ่งนั้น ตัวอย่างเช่น นักศึกษานำเสนอผลงานเพื่อขอสำเร็จการศึกษาได้ประทับใจอาจารย์ที่ปรึกษา ก็อาจจะเรียกว่า “โดนใจ” ก็ได้ หรือ วัยรุ่นแถวสยามแต่งตัวซะแบบทำให้เป็นที่สนใจสำหรับผู้คนที่พบเห็น ก็อาจจะเรียกว่าได้ว่า “โดนใจวัยรุ่น”

สำหรับการที่เราจะกระทำเพื่อให้เกิด โดนใจ สำหรับคนอื่นนั้น เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะทำเพราะจะทำให้คนอื่นที่ว่านั้นเกิดความสนใจพอใจประทับใจและมีความสุขในสิ่งที่เราได้กระทำ คนที่เป็นลูกหากประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นที่พอใจประทับใจสำหรับพ่อแม่ ก็จะเป็นที่โดนใจสำหรับพอใจ เช่นเดียวกัน นักเรียนทำหน้าที่ของตัวเองในการศึกษาเล่าเรียนได้อย่างดียิ่งทั้งการเรียน การกีฬา การช่วยเหลือกิจกรรมโรงเรียนด้วยจิตอาสา ก็เป็นที่โดนใจสำหรับคุณครู หรือ ลูกน้องทำงานด้วยความตั้งใจใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทำงานด้วยจิตที่แน่วแน่และจิตบริการ ก็จะเป็นที่โดนใจสำหรับเจ้านาย หรือ แม้กระทั่งเจ้านายทำงานปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นมิตรเอื้อเฟื้อใส่ใจลูกน้อง ก็จะเป็นที่โดนใจให้กับลูกน้องเช่นกัน

โดนใจ ที่ว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราทำสิ่งใดก็ตามแต่ด้วยในหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องเป็นระเบียบระบบ ไม่ทำให้ใครได้รับความเดือดร้อนและที่สำคัญ คือ ทำแล้วเกิดความสุขทั้งกับตัวเรา คนรอบข้างคนอื่นๆ และประการสำคัญ คือ จะต้องทำด้วยจิตที่มีสาธารณะจิตอาสาเพื่อส่วนร่วมเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงาน ของสังคม ของประเทศชาติ โดยการทำด้วยจิตดังกล่าวนั้นเป็นจิตที่บริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทนใด (แล้วจะมีหรือไม่เนี้ย คนแบบนี้) ดังนี้แล้ว ถ้าหากจะให้โดนใจกับใคร เราก็ควรจะโดนใจกับตัวของเราเสียก่อน นั้นคือ เราควรจะทำในสิ่งที่น่าสนใจที่ทำให้ตัวเราพอใจประทับและมีความสุข เมื่อเป็นอย่างนั้น ค่อยขยายผลไปสู่งานที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเป็นที่โดนใจของทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ตัวของเรา

ที่นี้ เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนอีสาน (คนบ้านเดียวกัน) ถ้าหากเมื่อไรก็ตามที่เราคนอีสานพูดว่า โดนเหลือเกิน จะหมายความว่า ใครหรือเรากระทำการใดๆ ด้วยเวลาที่นานเหลือเกิน กล่าวคือ ใช้เวลาหรือสูญเสียเวลาในการทำงานเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น บักจ่อยเจ้านายใช้ให้พิมพ์งานหนังสือเชิญประชุมหัวหน้าส่วนราชการ บักจ่อยใช้เวลาไปประมาณ ๓ ชั่วโมง เจ้านายก็อาจจะบอกว่า “โดนเหลือเกิน” ซึ่งเรียกว่า ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น เวลาทำงานก็อย่าให้ “โดน” นะครับ เพราะเดี๋ยวท่านจะโดนอีกแล้ว (เหมือนกับใครบางคนที่เจ้านายบ่นให้ ก็มักจะพูดว่า “โดนอีกแล้วเรา”) บางครั้งก็มีคำที่เรียกว่า “โดนทั้งขึ้นและทั้งล่อง” (น่าจะเป็น ขึ้นเหนือและล่องใต้) ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามโดนตลอด แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เราก็เปลี่ยนจากโดนดังกล่าวให้เป็นที่ “โดนใจ” สำหรับเจ้านายหรือหัวหน้าให้ได้ แล้วเราก็จะไม่โดนอีก สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนเป็นที่โดนใจของทุกๆ คนนะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น

เมื่อคืนได้ดูละคร มงกุฎดอกส้ม (ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อเรื่องหมายความว่าอย่างไร ก็เนื้อหาของเรื่องก็ดีและไม่ดี เช่น เจ้าสัวมีภรรยาได้หลายคน มีแต่เรื่องแตกความสามัคคี ไม่ขอวิจารณ์ดีกว่า) มีอยู่ตอนหนึ่งที่ว่า หากทำตัวหนักเหมือนก้อนหิน เดี๋ยวก็หล่นลงมาเอง ผู้เขียนก็เลยลงมือเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับหิน แต่เป็น หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น

แน่นอนครับหินเป็นวัตถุที่มีขนาดมีน้ำหนัก หากก้อนขนาดใหญ่ก็ย่อมมีน้ำหนักมากตามไปด้วย หากเปรียบกับมนุษย์เราถ้าท่านใดที่มีจิตใจที่หนักแน่น ก็มักจะถูกเรียกว่า จิตใจหนักแน่นดั่งกะหิน หรือ จิตใจที่แข็งแกร่งพร้อมจะผ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ ในทางตรงกันข้ามหากท่านใดมีจิตใจที่ไม่หนักแน่น ก็อาจจะเรียกว่า จิตใจที่บางเบาเหมือนกับปุยนุ่น

อย่างไรก็ดี หากที่เรามีจิตที่หนักเหมือนหินบางครั้งอาจจะไม่ดีหนัก เพราะจิตที่หนักแน่นดังกล่าวหนักไปด้วยกิเลสความต้องการต่างๆ ที่ไม่มีวันจบสิ้น การหนักเหมือนหินดังกล่าวไม่ได้เกิดประโยชน์แต่อย่างไร มีแต่จะเกิดความทุกข์ในจิตใจไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานไปก็ยิ่งจะหนักไปเรื่อยๆ การหนักดังกล่าวก็จะทำให้เรานั้นดิ่งด่ำลงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า เกิดนรกในใจ

หากท่านใดที่สามารถปล่อยวางจิตให้เบาโดยละเว้นกิเลสที่ทำให้เกิดความทุกข์ ทำจิตใจให้เบาเสมือนปุยนุ่นและยิ่งเบาเท่าไรยิ่งดี นั้นหมายความว่า การทำให้จิตเบานั้น คือ การที่เราฝึกปฏิบัติตนไม่ให้ถืออะไรให้หนักโดยเฉพาะในจิตใจแล้วเราก็จะยิ่งรู้สึกว่าเบาไปทุกส่วนของร่างกายเกิดความสุขในการไม่ต้องยึดถือไม่ต้องแบกอะไร อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร (แม้แต่ผู้เขียนก็ยังทำไม่ได้)

ที่นี้ขอกลับมาที่ชื่อของเรื่องอีกครั้งที่ว่า หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น ผู้เขียนขอขยายความเพิ่มเติม ดังนี้
หนักเหมือนหิน หมายความว่า เราจะต้องมีจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่ในเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการใดๆ ก็ตามแต่ การหนักเหมือนหินดังกล่าวนั้น แสดงให้เห็นถึงที่มีจิตความตั้งใจตั้งมั่นที่มั่นคงในเป้าหมายที่ตั้งไว้

ส่วนเบาเหมือนปุยนุ่น หมายความว่า เราจะต้องทำจิตใจให้ปล่อยวางในกิเลสในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ในการดำรงชีวิต ยิ่งเราฝึกปฏิบัติให้จิตไม่ยึดอะไรเป็นของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะอยู่รอดคงกระพัน ไม่มีใครที่จะสามารถนำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ไปกับตัวเราได้เมื่อเราจากโลกนี้ไป ดังนั้น การที่เราทำจิตใจให้เบาเหมือนปุยนุ่นได้มากเท่าไรก็ยิ่งจะเป็นการดี การเบาในจิตใจเป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกและจะต้องพยายามฝึกให้เบาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ครับ หนักเหมือนหิน แต่เบาเหมือนปุยนุ่น หากผู้อ่านท่านได้สามารถทำได้ ผู้เขียนคิดว่าจะทำให้ผู้นั้นได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิต ที่สำคัญ คือ การหนักเหมือนหินจะต้องหนักให้สิ่งที่ดีๆ และพยามเบาเหมือนปุยนุ่นในสิ่งที่ไม่ดีเอาออกจากจิตใจของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น การหนัก และการเบา จะเกิดความสมดุลตามหลักของธรรมะและธรรมชาติ

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้กำลังใจผู้อ่านทุกท่านว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ยากเย็น ขอให้ทุกท่านมีจิตที่หนักเหมือนหินในการไปสู่เป้าหมายของท่าน และมีจิตที่เบาเหมือนปุยนุ่นในการไม่ยึดถืออะไรไว้ที่เป็นทุกข์นะครับ

มนูญ ศรีวิรัตน์
สัญญาว่า ถ้ามีเวลาว่างจะเขียนเรื่องราวต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกท่าน

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ขึ้น เข้า ไป

วันนี้วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ขออนุญาตผู้อ่านที่เคารพทุกท่านว่า ผู้เขียนขอเขียนในสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และแง่คิดในการเป็นคนไทย ครับ
ขึ้น หมายถึง วัตถุสิ่งของเคลื่อนที่จากที่ต่ำไปตำแหน่งที่สูง
เข้า หมายถึง วัตถุสิ่งของเคลื่อนที่จากข้างนอกไปสู่ข้างใน
ไป หมายถึง เคลื่อนที่จากตำแหน่งหนึ่งสู่ตำแหน่งหนึ่งโดยเกิดระยะทางมาเกี่ยวข้อง

ช่วงวันสองวันที่ผ่านมา (น่าจะตั้งแต่วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓) ผู้อ่านคงจะได้ยินข่าวหรือได้อ่านข่าวเกี่ยวกับของเงินเดือน ท่าน ส. ท่าน ข. ท่าน อ. ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เมื่อวานนี้ที่มีการขึ้นเงินเดือนของท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายใน... สะพา

แต่สำหรับวันนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอ ขึ้น เข้า ไป (รวมกัน คือ ขึ้นเข้าไป)
การที่เงินเดือนขึ้นดังกล่าวจะกระทบอะไรบ้าง ผู้เขียนไม่ได้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ แต่รู้เพียงแต่ว่าเงินดังกล่าวที่จะใช้สำหรับการขึ้นเงินเดือนจะต้องนำมาจากภาษีของประชาชนของบริษัทห้างร้านต่างๆ แล้วบริษัทห้างร้านต่างๆ จะเอาเงินมาจากไหนจ่ายภาษีจำนวนมากขึ้น ก็นำมาจากการขึ้นราคาสินค้า แล้วสินค้าจะมาจากนั้นก็มาจากโรงงานต่างๆ หรืออาจจะเป็นเกษตรชาวนาชาวไร่ แต่ความเป็นจริงค่าแรงก็ยังต่ำและราคาสินค้าทางการเกษตรก็ยังต่ำ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นครับท่าน ปัญหาดังกล่าวก็ตกอยู่กับคนใต้ดิน (ผู้เขียนไม่ขอเรียกว่ารากหญ้า เพราะเป็นประชาชนคนชั้นต่ำที่ไม่มีโอกาสที่จะเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น

ขึ้น หรือ การขึ้นดังกล่าว ก็จะนำไปสู่การเข้า ซึ่งการเข้าที่ว่านี้ คือ การเข้าสู่ปัญหาของคนด้อยโอกาสคนประชาชนที่ไม่รู้ว่าจะไม่เรียกร้องกับใครหน้าไหน ที่จะเข้าใจพวกเขาเหล่านั้น ดังนั้น
เข้าดังกล่าว คือ การเข้าสู่ปัญหา และการเข้าใจว่า ไม่มีใครช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นได้ ท่านใดที่เป็นมีอาชีพเงินเดือนเป็นพนักงานบริษัท ข้าราชการ พนักงานของรัฐอาจจะไม่เข้าใจ อาจจะไม่รู้สึกเดือดร้อนมากมายเท่าไรนัก เพราะสิ้นเดือนก็มีคนจ่ายเงินเดือนให้ในการใช้จ่าย แต่กล่าวสำหรับคนที่ระดับใต้ดินพวกเราไม่รู้ไม่เข้าใจว่า สิ้นเดือดแล้วพวกเขาจะเอาเงินทองมาจากไหนเพื่อประทังชีวิต และถ้าหากปัญหาดังกล่าวทิ้งไว้เนิ่นนานแล้ว จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ประเทศบ้านเมืองนี้ไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย และการเข้าดังกล่าวยิ่งจะทำให้เข้าไปสู่ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

กล่าวสำหรับ ไป แล้ว ก็จะยิ่งไปกันใหญ่เหมือนที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้น ไป การไป ดังกล่าวจะทำให้เกิดระยะทางระยะห่างของสังคม ระหว่างท่าน ส. ท่าน ข. ท่าน อ. ต่างๆ กับคนระดับใต้ดิน ไปดังกล่าวจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า ทำไมความห่างของกลุ่มคนในสังคมช่างมีระยะทางที่มากเหลือเกิน เมื่อเกิดระยะห่างระยะทางช่องว่างมาก ก็จะทำให้เกิดความห่างเหินกัน และในที่สุด สังคมของเราก็จะเกิดการแยกออกจากกันในที่สุด

ดังนั้น วันนี้ผู้เขียนขอเรียกร้องให้เราทุกคนลองมาทำอะไรให้ตรงกันข้ามกับ ขึ้น เข้า ไป จะดีหรือไม่ ซึ่งจะเป็นคำที่ว่า ลง ออก มา (เนื่องจาก ขึ้น คู่กับ ลง เข้า คู่กับ ออก และ ไป คู่กับ มา)

ลงที่ว่า หมายความว่าอย่างไร ลง คือ การที่เราทุกคนที่มีโอกาสลองลงมาสัมผัสกับเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาส สอบถามทุกข์สุขพวกเขาว่า พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ดีสบายหรือไม่อย่างไร ลงจากตำแหน่งต่างๆ ที่สมมติขึ้นมา ลงจากหน้าที่แต่งเติมเสริมแต่งให้มีหน้ามีตา เพื่อลงมารับรู้ปัญหาของเพื่อนๆ เหล่าชาวใต้ดิน

สำหรับ ออก คือ ออกจากที่สุขสบาย ออกจากที่เป็นเรื่องสมมติ ออกจากความลุ่มหลงต่างๆ ที่ทำให้เกิดความโลภ

และ มา คือ มาสู่ธรรมชาติของชีวิตทั่วไป มาสู่ธรรมะ มาสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงของพวกเราที่ว่า ในที่สุด เราก็หลีกหนีความตามไปไม่พ้น มาสู่ความเป็นตัวตนของเราตั้งแต่แรกเกิด คือ เราไม่ได้มีอะไรมากับตัวเรา

ดังนั้น หากเราลองทำให้สิ่งที่ตรงข้ามกับ ขึ้นเข้าไป ให้กลายเป็น ลงออกมา ตามที่ผู้เขียนได้ลองเสนอตามข้างต้น ผู้เขียนเชื่อว่าสังคมของเรา ประเทศของเราจะมีแต่ความสุข ไม่เกิดระยะห่างช่องว่างระหว่างความเป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วเราก็จะพบกับความสุขที่มีความเสมอภาคกัน ด้วยเหตุนี้ ก็อยากจะให้ท่าน ส. ท่าน ข. หรือ ท่านอื่นๆ (ที่มีเงินเดือนกันสูงๆ มากๆ ที่ขึ้นกันไปตั้ง ๑๔ เปอร์เซ็นต์) ลอง ลง (ลงจากตำแหน่ง) ออก (ออกจากหน้าที่) และ มา (มาอยู่กับพวกเราชาวใต้ดิน) แล้วท่านจะเข้าใจว่า ลงออกมา จะเป็นอย่างไร
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หลวงปู่จาม









ผู้เขียนเดินทางไปราชการที่วิทยาเขตมุกดาหารในเช้าวันอังคารที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ก็เลยตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่จาม ที่วัดป่าของท่าน ณ อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร หลวงปู่จาม ปีนี้ท่านมีอายุ ๑๐๐ ปี (เพราะท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ประวัติของท่าน)ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงท่านหลวงปู่จามมากมาย เพราะคิดว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะทราบดี แต่ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อถึงวันนี้ คือ คำว่า จาม ซึ่งผู้เขียนไม่ได้คิดล่วงเกินหลวงปู่ท่านเลย



เพียงแต่ว่า จาม สำหรับเราทั่วไปนั้นทราบกันดีว่าเป็นอาการอย่างหนึ่งที่มนุษย์เราจะแสดงออกมาทางปากและจมูกเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในระบบทางเดินหายใจผ่านรูจมูกของเรา เป็นเรื่องที่จะเรียกว่ามหัสจรรย์ก็ได้เป็นเรื่องธรรมชาติก็ได้ เพราะอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเองโดยที่ตัวเราไม่ได้เป็นผู้สั่งให้กระทำ ร่างกายของเราจะดำเนินการทันทีโดยอัตโนมัติ การจามดังกล่าวจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้รับสิ่งที่อาจจะเรียกว่าโทษหรือไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย



จะเห็นว่าการจาม หรือ อาการจาม นั้น เกิดประโยชน์อย่างมากเลยที่เดียว มันเป็นเหตุการณ์เพียงเสี้ยวของวินาทีเท่านั้นเอง ตัวอย่างง่ายๆ คือ เวลาที่เราไปสั่งอาหารจานด่วนตามร้านอาหารตามสั่งผัดอาหารบางอย่างทำให้เราเกิดการจามโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้น จะเห็นว่าจมูกของเราร่างกายของเรานั้นป้องกันสิ่งแปลกปลอมประเภทผ่านระบบทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดีมากๆๆๆ นอกจากนั้น บางครั้งที่เราจามโดยที่ไม่รู้สาเหตุ ก็มักจะมีคนบอกว่า มีคนคิดถึง มีคนนินทา หรือต่างๆ นาๆ แต่ไม่เป็นไรหรอกกครับ เพราะการจามดังกล่าวแสดงว่าจะต้องมีสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายของเราเข้าสู่ระบบการหายใจ ร่างกายของเราจึงสั่งการให้มีจามออกมาโดยอัตโนมัตินั้นเอง



การจาม ถ้าหากเป็นไปได้น่าจะเกิดกับจิตใจของเราก็จะเป็นการดี เพราะเมื่อไรก็ตามที่มีสิ่งไม่ดีเข้าในจิตใจของเรา จิตของเราน่าจะจามไล่สิ่งไม่ดีชั่วร้ายออกมาได้อย่างอัตโนมัติ แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เดียว เพราะถ้าหากผู้อ่านท่านใดที่ฝึกสติสมาธิเป็นอย่างดี เมื่อมีสิ่งใดที่ไม่ดีเป็นความชั่วร้ายเข้ามาสู่จิตใจของท่าน ท่านก็สามารถที่ขจัดออกไปได้ทันที ซึ่งผู้เขียนคิดว่า น่าจะเรียกว่า จิตจาม



ครับ จาม การจาม เป็นเรื่องที่ดีมากถ้าหากเราสามารถที่จะฝึกปฏิบัติขับสิ่งที่ไม่ดีที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้อย่างรวดเร็วอัตโนมัติ สิ่งที่ไม่ดีเข้าสู่ร่างกายทางจมูก เราก็จามมันออกมา สิ่งที่ไม่ดีเข้าสู่ร่างกายทางจิตใจ เราก็จามมันออกมาด้วยจิตที่เข้มแข็งของเรา ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อไรก็ตามที่เราสามารถฝึกจิตให้จามขับสิ่งที่ไม่ดีออกมา เราก็จะพบแต่ความดีงาม พบแต่ความสุขความเจริญ หากท่านผู้อ่านท่านใดยังฝึกการจามไม่ได้ ลองเดินทางไปที่วัดหลวงปู่จาม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ผู้เขียนคิดว่าท่านจะได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิต

พิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่จาม 

พระราชทานเพลิงศพหลวงปู่จาม

แพ้ คือ ชนะ หรือจะเป็น ชนะ คือ แพ้

ในชีวิตของมนุษย์เราตั้งแต่เกิดมา เราต่างรู้จักคำว่า ชนะ และ แพ้ ซึ่งเป็นของที่คู่กันเสมอมาก ตั้งแต่เด็กเล็กคุณพ่อคุณแม่ก็มักจะปลูกฝังคำว่า ชนะ และ แพ้ให้กับลูกๆ โดยคำว่าชนะและแพ้ดังกล่าวก็มักจะเริ่มตั้งแต่การเรียนหนังสือ การสอบเข้าเรียนต่อในระดับการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็มักจะให้ลูกๆ ของท่านเป็นผู้ชนะเสมอเพื่อทำให้ลูกมีความรู้สึกที่ดีมีความสุขในแข่งขันดังกล่าว
จะเห็นว่าการแข่งขันดังกล่าวนั้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่และลูกๆ บางครั้งเกิดความทุกข์ไม่สมหวัง ซึ่งก็คือ แพ้ หรือ รู้สึกว่าแพ้ นั้นเอง นอกจากนั้น การแข่งขันอีกอย่างที่เรามักจะรู้จักกันดี คือ การแข่งขันกีฬา จนมีคำขวัญที่เกี่ยวกับกีฬาที่ว่า รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ถ้าหากเราถอดรหัสของคำขวัญดังกล่าว จะรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ใช้สอนพวกเราทุกคนว่า ให้รู้จักแพ้เสียก่อน ที่นี้รู้สึกแพ้ หมายถึง อะไร

สำหรับความคิดของผู้เขียนนั้น รู้แพ้ อาจจะหมายถึง ทุกอย่างในโลกใบนี้ ล้วนไม่จีรังยั่งยืนจะต้องสูญสลายแล้วดับไปในที่สุด ไม่มีอะไรที่จะอยู่ยงคงกระพันไปตลอด เราจะต้องเกิดการดับสูญ สูญเสียในสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของเราสักวันมันย่อมเสื่อมและสลายตายไปตามกาลเวลาของมัน ที่นี้ ความที่ว่า รู้แพ้ ดังกล่าวทำไม่ถึงมีความสำคัญ การรู้แพ้ทำให้ตัวเราได้เกิดสติทบทวนในสิ่งที่เราได้กระทำลงไปว่าทำไม่เราถึงรู้สึกว่าแพ้ เมื่อรู้แล้วก็จะต้องปรับปรุงตัวเองให้สามารถลบหายในสิ่งที่ผิดพลาดสิ่งที่ล้มเหลว เมื่อเป็นเช่นกันแล้วจะทำให้เรา รู้สึกว่า เราเป็นผู้ชนะ ดังคำกล่าวที่ว่า แพ้ คือ ชนะ

ผู้อ่านลองนึกถึงคำว่า ชนะ หรือ ที่เรียกว่า รู้ชนะ เป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนโดยส่วนมากความรู้สึกแรกที่แสดงออกมาจากการที่รู้สึกชนะ คือ ดีใจ ภูมิใจ มีความสุข แต่อย่างไรก็ดีความรู้สึกดังกล่าวจะหายไปจางไปเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง และนานเข้าความรู้สึกดีใจ ภูมิใจในชัยชนะก็จะหายได้ด้วย การชนะ รู้ชนะ ดังกล่าวถ้าหากเรามีแต่ดีใจภูมิใจในชัยชนะเราไม่ได้คิดทบทวนว่าเราชนะได้เพราะเหตุใดด้วยปัจจัยอะไรเพื่อนำไปพัฒนาให้ดีขึ้น การชนะดังกล่าวจะเป็นดังนี้ กล่าวคือ ชนะ คือ แพ้ ในที่สุด

หลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งของบ้านเมือง ของสังคม ของครอบครัว ขององค์กร ของตัวบุคคล ถ้าหากใครก็ตามแต่ที่มีความรู้สึกว่าเป็นการชนะมีชัยชนะแล้ว ไม่รู้ว่าการได้มาซึ่งชนะนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกติาตามความเป็นจริงหรือไม่ รับรองได้ว่า ชนะ ก็คือ แพ้ เพราะเป็นการแพ้ที่ตัวเองทำไม่ถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม หากเป็นการแพ้ที่เป็นความจริงความที่ถูกต้องแล้วยอมรับความพ่ายแพ้พร้อมสัญญาว่าจะพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็จะกลายเป็น แพ้ คือ ชนะ และประการสำคัญ คือ เมื่อแพ้แล้วจะต้องรู้ให้อภัยคู่ต่อสู้พร้อมทั้งขอโทษในสิ่งที่เราอาจจะกระทำผิดพลาดล่วงเกินไปในการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ในชีวิตของคนเราย่อมมีแพ้ในสิ่งต่างๆ มามากมาย แต่ถ้าหากเรารู้สาเหตุที่เราแพ้รู้ข้อเท็จจริงที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเรานำสติปัญญามาพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้น เราก็กลายเป็น ผู้แพ้ที่มีแต่ชัยชนะตลอดไป ดังนั้น ผู้เขียนขอให้ทุกท่านจงพยายามทำตัวให้เป็นผู้แพ้ในวันนี้แล้วจะกลายเป็นผู้ชนะตลอดกาล และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านเพราะสักวันเราจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน (ฝึกบ่อยๆ ปฏิบัติบ่อยๆ หัดแพ้บ่อยๆ แล้วจะชนะตลอดไป)
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มูล

ท่านผู้อ่านคงจะเึคยได้ยินคำต่างๆ ที่มีคำว่า มูล อยู่ด้วย เช่น ข้อมูล ฐานข้อมูล มูลเหตุ มูลสัตว์ มูลฐาน มูลความจริง มูลเมือง กุศลมูล แม่น้ำมูล มูลนิธิ คำฟ้องไม่มีมูล เซล่ามูล คำมูล มูลค่าเพิ่ม มูลค่าการผลิต เป็นต้น

ที่นี้่ มูล คำๆ เดียวน่าจะหมายถึงอะไรกันแน่ มีผู้รู้หลายท่านได้กล่าวว่า มูล มีความหมายว่า "ดั้งเดิม" เป็น พื้นฐาน รากฐาน รากเหง้า บรรพบุรุษ บรรพชนของเรา

แต่ถ้าเป็น คำมูล คือ คําที่มีความหมายชัดเจนอยู่ในตัว มีลักษณะดังนี้
1. เป็นคําชนิดต่างๆ ได้แก่นํานาม คําสรรพนาม คํากริยา คําวิเศษณ์คําบุพบท
คําสันธาน
2.เป็นคําไทยแท้หรือเป็นคําที่มาจากภาษาอื่นก็ได้
3.เป็นคําพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้

ดังนั้น จะเห็นว่า คำมูล เป็นสิ่งทีมีประโยชน์ต่อการสื่อสารต่อการศึกษาการเรียนเป็นอย่างมาก เป็นพื้นฐานของภาษาไทยของเรา

แต่มีอีกมูลอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนก็ไม่เคยได้ยินและทราบมาก่อน คือ มูลกัจจารย์ เป็นเรื่องที่หลวงปู่แหวน ครั้งหนึ่งท่านได้มาเรียนมูลกัจจารย์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนขอสนใจเพียง มูลเกี่ยวกับเหตุ ที่เรียกว่า มูลเหตุ เท่านั้น (ซึ่ง มูลเหตุ ตรงกับภาษาอังกฤษ คือ Cause) มูลเหตุ ถ้าหากเราแยกออกจากกันก็จะเป็น มูล + เหตุ ซึ่งมูลเราก็พอทราบแล้วจากข้างต้นว่าหมายถึงอะไร สำหรับ เหตุ นั้น ผู้เขียนคิดว่า น่าจะหมายถึง การเกิด หรือ หมายถึงสิ่งที่เป็นมาก่อนสิ่งที่เป็นผลเกิดขึ้น

ดังนั้นแล้ว มูลเหตุ น่าจะหมายถึง สิ่งทีเกิดขึ้นของพื้นฐานรากเหง้่าในเรื่องนั้นๆ ที่เราสนใจอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งช่วงเวลาใดๆ ตัวอย่างเช่น มูลเหตุของความทุกข์ ก็คงจะหมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้่นของพื้นฐานที่ทำให้เกิดความทุกข์ ท่านใดที่มีมูลเหตุของความทุกข์ในการทำงาน ท่านก็จะค้นหาสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันมาจากพื้นฐานอะไรเริ่มต้นเกิดความทุกข์จากการทำงานได้อย่างไร ซึ่งเมื่อเราทราบรู้ถึงพื้นฐานของความทุกข์ดังกล่าวแล้ว เราก็ย่อมจะสามารถค้นหาวิธีิการดับทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้นของพื้นฐานดังกล่าว

สำหรับท่านผู้อ่่านท่านใดที่มีความรัก ก็ย่อมจะมีมูลเหตุของความรัก ผู้อ่านลองคิดดูนะครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เพราะอะไร ถึงเรียกว่า มูลเหตุแห่งรัก จากหนังสือประวัติของหลวงปู่แหวน (๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๘) หน้าที่ ๔๘ ที่ว่า คำทำนายจากเมืองอุบลราชธานี ได้กล่าวไว้ว่า "ในสมัยเมื่อเรียนมูลกัจจารย์อยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีนั้น มีหมอดูทำนายว่าเนื้อคู่ของท่านอยู่ทางทิศนั้น รูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้ารูปใบโพธิ์" . . . (ขณะนั้นหลวงปู่้เป็นพระหนุ่ม) เมื่อสายตาทั้งสองฝ่ายประสานกันเข้า ก็มีอานุภาพลึกลับและรุนแรงพอที่ตรึงคนทั้งสองฝ่ายให้ตะลึงไปได้... แต่ภาพของหญิงงามนั้นยังปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเร่งภาวนาเข้าภาพนั้นก็สงบลง ... เผลอไม่ได้ (ใจ) เป็นต้องไปหาหญิงนั้นทัีนที... คอยจับดูจิืตว่ามันคลายความรักในหญิงนั้นแล้วหรือยัง ปรากฏว่าไม่ได้ผล จิตยังคงวิ่งออกไปหาหญิงงามเช่นเคย... ในที่สุด กำหนดอุบายการพิจารณาเปลี่ยนใหม่ คราวนี้เพ่งเอากายของหญิงนั้นเป็นเป้าหมายในการพิจารณากายคตาสติ โดยแยกยกขึ้นพิจารณาทีละัอย่างๆ พิจารณาให้เห็นความจริงว่า อวัยวะัอย่างนั้นๆ ของตนก็มี ของหญิงก็มี ทำไมจะต้องไปรัก ไปหลง ไปคิดถึง...

ท่านผู้อ่านเห็นหรือยังว่า ถ้าเมื่อไรก็ตามเราสามารถค้นหาถึงมูลเหตุของเรื่องนั้นๆ เราจะสามารถแก้สิ่งทีเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ดังนี้แล้ว ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนเราทุกคนมาหาให้ความสำคัญของมูลเ้หตุในเรื่องราวต่างๆ ซึ่งผู็เขียนเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต การเรียนการศึกษา การทำงานของเราทุกคน

มนูญ ศรีวิรัตน์


วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มัน คือ ปัญหา

ผู้อ่านคงจะทราบกันดีว่า ปํญหา หมายถึง อะไร แต่เพืยงเป็นการย้ำเน้นอีกครั้ง คำว่า ปัญหา จากพจนานุกรม หมายถึง ข้อสงสัย ข้อขัดข้อง คำถาม ข้อที่ควรถาม ข้อที่ต้องพิจารณาแก้ไข

สำหรับ ปัญหา ถ้าหากว่า เราแยกคำน่าจะแยกเป็น ปัญ + หา

กล่าวสำหรับ คำว่า ปัญ อยู่เดี่ยวๆ ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่มีคำที่ใกล้เคียงที่สุด คือ ปัญจ อันมีความหมาย เหมือน เบญจ ที่หมายถึง ๕ ปัญจนที แม่น้ำ ๕ สาย ปัญจวัคคีย์ พระสงฆ์ทั้ง ๕ ที่ตามพระพุทธเจ้าออกบวชให้และได้เป็นพระอรหันต์ ปัญจสาขา กิ่งทั้ง ๕ คือ หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒ ของลูกที่อยู่ในท้อง
สำหรับ หา อยู่เดี่ยวๆ หมายถึง มุ่งให้พบ การพบ การขวนขวายเพื่อให้ได้มาโดยวิธีการต่างๆ

จะเห็นว่า เมื่อ ปัญ + หา เป็น ปัญหา มักจะเกิดเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เราจะต้องแก้ไข ปล่อยทิ้งไว้ก็เกิดความทุกข์ เรามนุษย์ทุกคนไม่อยากมีปัญหาทั้งในชีวิตครอบครัว ชีวิตการเรียน ชีวิตการทำงาน หรือในด้านอื่นๆ เพราะเมื่อไรก็ตามที่มีปัญหาแล้ว จะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ เกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน นำวันแต่จะทำให้เสียสุขภาพทั้งกายและจิต

ปัญหาที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่าง ผู้เขียนคิด สำหรับ ปัญ น่าจะมาจากสิ่งทั้ง ๕ คือ การไม่เบียดเบียนสัตว์โลก การไม่เอาของคนอื่นมาเป็นของเรา การไม่กล่าวร้ายให้คนอื่นเดือดร้อน การไม่ทำผิดในกามอารมณ์ให้คนอื่นเดือดร้อน และการไม่ทำร้ายตัวเองด้วยของมึนเมาประเภทต่างๆ ซึ่งถ้าหากมนุษย์เราไม่หาทั้ง ๕ อย่างข้างต้นไม่ใส่ตัวเรา ผู้เขียนเชื่อว่า มัน จะไม่เป็น ปัญหา หรือเกิด ปัญหา อย่างแน่นอน สิ่งทั้ง ๕ นั้น ผู้อ่านคงจะทราบกันดีว่า มัน คือ ศีล๕

ที่นี้ ปัญหา เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรดี หลายๆ ท่าน มักจะพูดหรือกล่าวว่า มัน คือ ปัญหา แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ถ้าหากเราลองสลับคำ เป็น หา + ปัญ ลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร หา ซึ่งหมายถึง การขวนขวายเพื่อให้ได้มาโดยวิธีการต่างๆ ดังนั้น เราจะต้องหาให้ได้ว่าเรื่องที่เป็นปัญหา นั้น มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สาเหตุที่มันเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะอะไร แล้วทำอย่างไรต่อไป ผู้เขียนคิดว่า ปัญ น่าจะเป็น ๕ อย่างเช่นกัน กล่าวคือ ๕ ขั้นตอนในการพิจารณาแก้ปัญหา คือ ๑. หาสาเหตุ ๒. หาวิธีการต่างๆ ที่มีคนอื่นๆ (คนมีประสบการณ์) เขาเคยทำ ๓. หาโอกาสเวลาออกแบบวางแผนวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว ๔. หาวิธีการทดลองแก้ปัญหานั้นๆ จากที่ได้วางแผน และ ๕. หาทางสรุปให้ได้ว่า ทั้งหมด แก้ปัญหาดังกล่าวได้เพราะอะไร ซึ่งผู้เขียนคิดว่า หาทั้ง ๕ ขั้นตอนดังกล่าวนั้น คงจะเหมือนกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (การทำวิทยานิพนธ์) เช่นกัน กล่าว คือ ค้นหาปัญหา (บทที่ ๑ ความเป็นมาของปัญหา) ศึกษาผลงานที่เกี่ยวข้อง (บทที่ ๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง) ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (บทที่ ๓ การวิเคราะห์และการออกแบบระบบ) ทดลองผลการออกแบบ (บทที่ ๔ ผลการทดลอง) แล้วก็สรุปผล (บทที่ ๕ สรุปผล)

จะเห็นว่าถ้าหากเราได้แก้ปัญหาต่างๆ ด้วยวิธีการทั้ง ๕ ข้างต้นแล้ว ก็ จะทำให้เกิดความรอบรู้ความฉลาดที่เกิดจากการเรียนและการคิด ซึ่งเขาก็อาจจะเรียกว่าเกิด ปัญญา ในที่สุด ดังนั้น บุคคลใดที่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ และกระทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ก็มักจะถูกเรียกว่า ปัญญาชน (คนที่มีความรู้หรือความฉลาดอันเกิดจากการเรียนศึกษามามาก)

กล่าวสรุป เกี่ยวกับเรื่อง มัน คือ ปัญหา ผู้เขียนคิดว่า ถ้าหากไม่อยากจะให้เกิดปัญหาขึ้น ท่านผู้อ่านก็อาจจะต้องลองละเว้นการไม่ใน ๕ อย่างข้างต้น และหากปัญหาขึ้นแล้ว ก็ลอง หา ทั้ง ๕ อย่างข้างต้นมาแก้ไข เหนือสิ่งอื่นใดถ้าเราทุกคนลองฝึกฝนให้ตัวเราเองมีสติ มีสมาธิ แล้วเราจะเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญา ปัญหาในเรื่องต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นมา มัน คือ ปัญหา ก็จะกลายเป็น มัน คือ ปัญญา ในที่สุด (ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้เขียนก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะพยายามแก้ปัญหาต่างๆ)

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ดีแต่ปาก

ดี เป็นคำที่มนุษย์ทราบและรู้ว่าหมายถึงอะไร และมนุษย์เราทุกคนก็ควรจะต้องฝึกปฏิบัติและทำในสิ่งดีๆ กล่าวสำหรับ ดี การทำดี เป็นการกระทำ (หรือ) ปฏิบัติที่เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่นๆ ไม่ทำให้ตัวเราและคนอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อน และประการสำคัญคือ เมื่อทำดีแล้วเกิดความสุขใจในการทำ  ดังนั้น จะเห็นว่า การทำดี เป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควระทำอยู่ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี พูดง่ายๆ คือ ทำดีทุกเวลา  สรุปง่ายๆ สำหรับ ดี การทำดี น่าจะหมายถึง การกระทำ​ (หรือปฏิบัติ) ในการใดๆ ก็ตามแต่ที่เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อผู้อื่น ต่อองค์กร ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ โดยที่การกระทำนั้นๆ จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนมาให้ตัวเอง ให้ครอบครัว ให้ผู้อื่น ให้องค์หร ให้สังคม ให้ประเทศชาติ และจะต้องกระทำเป็นประจำสมำ่เสมอทุกเวลา ที่มีคนเคยบอกว่า คิดดีแล้วก็จะต้องทำดี ด้วย

พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ว่า ทำดีย่อมได้รับแต่สิ่งดีๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าบางครั้งเราทำดีแต่ยังไม่อาจจะเห็นผลของการทำดี แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่กระทำดี คือ เกิดความสุขขึ้นมาในจิตใจมีความอิ่มบุญ อิ่มใจที่ได้ทำดี  นี้แหละที่เรียกว่า ผลของการทำดีโดยไม่ต้องรอเวลา  หลายๆ คนอาจจะเคยบ่นว่า ทำดีแล้วไม่เห็นได้ดีเลย มีแต่ถูกด่า ถูกว่าให้  แต่ท่านเชื่อผู้เขียนหรือไม่ว่า สิ่งที่หนึ่งที่อยู่ในจิตใจของท่าน คือ ท่านรู้ตัวเองว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว (นั้นหมายความว่า ท่านได้ทำประโยชน์ ไม่สร้างความเสียหาย ความเดือดร้อนเกิดขึ้น) ท่านย่อมจะมีความสุขในการทำ ถึงแม้ว่าจะมีคนว่าก็ตามแต่ (แต่ตัวเรารู้ที่ดีสุด) 

ที่นี้ มีดูคำว่า ปาก เป็นอวัยวะที่ใช้สำหรับรับประทานอาหาร ใช้เปล่งเสียงวาจาในการสื่อสารสร้างความเข้าใจในการทำงาน ปาก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ปาก เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ความสุขที่ได้จากขับร้องเพลง ปาก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รับรู้ถึงรสอาหารที่อร่อย  ปาก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราจะต้องใช้ในการแสดงความสุข  (โดยการยิ้ม)  จะเห็นว่า ปาก นั้น มีประโยชน์มากกมายมหาศาล (ถ้าหากเราใช้ในทางที่ถูกที่ควร) แต่บางครั้งก็เกิดโทษเหมือนกัน เช่น ใช้ปากหาเรื่องในการว่ากล่าวให้ร้ายคนอื่นให้เกิดความเสียหายและเดือดร้อน เป็นต้น   

ที่นี้ เรามาลองผสม คำว่า ดี กับ ปาก ลองดูว่าจะเป็นอย่างไร  ผู้อ่านท่านใดที่มีปากที่ดี ก็จะเป็นศรีแก่ตัว ความหมาย คือ เวลาพูดออกไปกล่าวออกไปก็มีเรื่องแต่ดีๆ เกิดสิ่งดีๆ ต่อทุกคน อาชีพหนึ่งที่ใช้ปาก และควรจะต้องใช้ให้ดี คือ อาชีพความเป็น ครู​ อาจารย์​ ในการสั่งสอนลูกศิษย์ นักเรียน นักศึกษา ถ้าหากครูใช้ปากพูดสอนลูกศิษย์ให้ความรู้ในสิ่งที่ดีๆ ก็จะเกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของไทย  ครูใช้ปากดุด่าลูกศิษย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อให้ลูกศิษย์ได้รับแต่สิ่งดีๆ การดุด่าดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ดีเพื่อให้ลูกศิษย์ได้จดจำนำไปปรับปรุงตัวเองในการเรียนในการใช้ชีวิต 

แต่บางครั้ง ถ้าหาก ดี กับ ปาก เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า ดีแต่ปาก ลักษณะอย่างนี้จะไม่เป็นที่ต้องการของเพื่อนร่วมงานหรือคนในองค์กรหน่วยงาน เพราะความหมายของดีแต่ปาก คือ มีแต่พูดออกไปแต่ทำงานไม่เป็นหรือไม่ทำงาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจริงไม่รู้เรื่องนั้นๆ เรื่องงานที่ทำอยู่จริง ซึ่งในสังคมไทยอาจจะมีผู้คนลักษณะแบบนี้มากกมายเช่นกัน คือ ดีแต่ปาก  โดยที่ถ้าหากองค์กรใดหน่วยงานใดมีคนที่มีลักษณะดีแต่ปากจำนวนมาก อาจจะทำให้องค์กรหน่วยงานนั้นไม่มีความเจริญก้าวหน้า เพราะไม่มีคนทำงาน ไม่มีคนดีที่ลงมือทำจริงปฏิบัติจริง   หากปล่อยให้องค์กรหน่วยงานใดมีคนดีแต่ปากจำนวนมากๆ ไม่ช้าไม่เร็วองค์กรหน่วยงานนั้น ก็คงจะต้องล่มสลายไปเพราะปาก 

มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้คนที่ดีแต่ปากปรับปรุงตัวของเขาเอง เพราะคงจะไม่มีใครสามารถไปบอกเขาได้ ผู้เขียนก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะทำได้ คือ เราไม่ต้องไปสนใจพวกเขาเหล่านั้น เพราะตราบใดที่พวกเขาดีแต่ปาก พวกเขาก็จะไม่มีความสุขในการกระทำใดๆ ก็ตามแต่ เพราะพวกเขาก็จะมัวแต่ดีแต่ปาก ในใจของพวกเขาก็จะรุ่มร้อนไม่เป็นสุขเกิดความทุกข์ที่จะใช้ปากในการทำงาน  ดังนั้น เมื่อเราเปลี่ยนแปลงพวกเขาไม่ได้ เราก็ควรจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ให้เป็นพวกที่ดีแต่ปาก วิธีการง่ายๆ คือ  ทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด (ให้เกิดประโยชน์ตามเวลาที่กำหนด ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองหน่วยงาน สังคม) แล้วเราก็จะเป็นคนที่คนอื่นใช้ปากกล่าวถึงตัวเราว่า เป็น คนดี  

มนูญ​ ศรีวิรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทานก่อนกิน ถือศีลก่อนไป ทำใจก่อนนอน

เมื่อเช้าวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมทำบุญที่สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านวังแคน ต.โพธิ์ไทร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี หลวงพ่อได้กล่าวประโยคที่น่าสนใจเป็นอย่างมากที่ว่า "ทานก่อนกิน ถือศีลก่อนไป ทำใจก่อนนอน" ซึ่งผู้เขียนขอออกตัวเสียก่อนว่าไม่ได้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านศาสนามากมาย แต่ขอขยายความเกี่ยวกับประโยคดังกล่าวตามที่เข้าใจตามที่รู้ตามความรู้เท่าที่มี ดังนี้

ทานก่อนกิน น่าจะหมายถึง ก่อนที่เราจะกินอาหารในมื้อใดๆ ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า มื้อเที่ยง มื้อเย็น เราก็ควรจะต้องให้ทานกับพระสงฆ์ นึกถึงพระสงฆ์ ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอโทษขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรที่เราได้ล่วงเกินได้กระทำผิดต่อพวกเขาเหล่านั้นเสียก่อน การทานด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์พร้อมจะให้ในสิ่งที่เราตั้งใจจะทำให้เกิดประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ทานสำหรับผู้ที่เราเคยล่วงเกินหรือทำความเดือดร้อนให้กับเขา

ถือศีลก่อนไป น่าจะหมายถึง ก่อนที่เราจะไป (ซึ่งไปในที่นี้น่าจะสื่อถึง การไปสู่การกระทำหรือปฏิบัติในเรื่องใด หรือการไปสู่ภพใหม่ชาติหน้า) ให้เราทุกคนได้ปฏิบัติในศีลไม่ว่าจะเป็นการไม่เบียดเบียนสัตว์หรือเพื่อนร่วมโลก การไม่กล่าวให้ร้ายกับตัวเราหรือเพื่อนๆ ทั้งร่วมงานหรือองค์กรครอบครัวของเรา การไม่ประพฤติในเรื่องกามอารมณ์ การละเว้นจากสิ่งของมึนเมาที่ทำให้ขาดสติ การถือศีลเป็นเรื่องที่เราชาวพุทธทุกคนควรจะต้องฝึกปฏิบัติและกระทำให้ได้ เพื่อจะทำให้ก่อประโยชน์กับทั้งตัวเราและคนรอบข้าง

ทำใจก่อนนอน น่าจะหมายถึง การที่ในแต่ละวันเราสงบจิตของเรา เตรียมจิตของเราให้รู้ว่าอะไรที่เรากระทำลงใปในแต่ละวันก่อนเข้านอนนั้น ว่ามีเรื่องอะไรที่เราได้กระทำไม่ดีกระทำผิด เราก็ควรจะคิดทบทวนเพื่อหาหนทางแก้ไขให้กระทำหรือปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้นๆ ไปในวันพรุ่งนี้ในวันต่อไป หรือในชาติภพต่อไป (ซึ่งบางครั้งค่ำคืนนั้น อาจจะเป็นคืนสุดท้ายสำหรับตัวเรา) ดังนั้น การทำใจก่อนนอนจะทำให้เราได้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญษ ก่อให้เกิดประโยชน์ในการเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ ภพชาติใหม่

ดังนั้น หากคนเราทุกคนทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็ตามแต่ได้ฝึกปฏิบัติ การทาน การถือ การทำ ซึ่งก็คือ ทานก่อนกิน ถือศีลก่อนไป ทำใจก่อนนอน แล้วจะทำให้เราทุกคนมีความสุขแบบยั่งยืนไม่มีทุกข์ และประการสำคัญ คือ ทำให้เราได้เกิดรู้แจ้งเห็นจริงตามที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด แต่ถ้าอยากจะให้เกิดและไม่ดับ และดับแล้วไม่เกิด ต้องมุ่งสู่ทางสายกลางตามหลักของพระพุทธเจ้า นั่นเอง
มนูญ ศรีวิรัตน์

พี่ป้อนน้อง

เราหลายคนอาจจะเป็นพี่หรืออาจจะเป็นน้องในครอบครัว แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่มีพี่หรือน้องเพราะเป็นลูกคนเดียว ซึ่งสำหรับท่านใดที่เป็นพี่ของน้องๆ ในครอบครัว จะต้องคอยดูแลน้องๆ ให้ความรัก ให้ความดูแล ให้ความเอ็นดูกับน้อง แต่สิ่งที่จะกล่าวในวันนี้ คือ พี่ป้อนน้อง (ตามรูปภาพข้างล่างนี้)

(ถ่ายเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ ณ สำนักสงฆ์ป่าช้าบ้านวังแคน ต.โพธิ์ไทร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี)
คนที่เป็นพี่จะต้องให้สิ่งดีๆ กับน้องมีอะไรก็ควรจะให้น้องได้รับก่อน พี่ควรจะนำสิ่งที่ดีประสบการณ์ดีๆ สอนให้น้องเพื่อให้น้องได้รู้จักสิ่งที่ดี การป้อน เป็นการนำเข้าวัตถุหรือสิ่งของหรือข้อมูลจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง เช่น คุณแม่ป้อนน้ำนมให้ลูก แม่นกป้อนอาหารแก่ลูกนก เป็นต้น ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับ ตัวป้อน ในวงการศึกษาที่กล่าวถึงตัวนักเรียนที่จะเข้าเรียนในโรงเรียน หรือ ตัวนักศึกษาที่จะเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา โดยตัวป้อนจะเป็นส่วนหนึ่งว่าจะเกิดโรงเรียนหรือสถาบันอุดมศึกษาจะเกิดคุณภาพทางการศึกษาหรือไม่ เพราะถ้าหากมีตัวป้อนที่ดีย่อมจะทำให้เกิดคุณภาพในโรงเรียนหรือสถาบันอุดมศึกษานั้นๆ

แต่สำหรับ พี่ป้อนน้อง ตามหัวข้อเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวจะสอนให้พี่ๆ กระทำแก่น้องๆ เพราะจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องให้มีความแน่นแฟ้นกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พี่ๆ คนใดมีการป้อนหลายๆ สิ่งๆ หลายๆ อย่างให้กับน้อง ไม่ว่าจะเป็นการป้อนอาหารให้น้อง การป้อนของเล่นที่พี่ๆ เล่นแล้วใช้แล้วให้กับน้องๆ ก็ยิ่งจะทำให้น้องมีความรู้สึกที่ดีกับพี่ ทำให้ในอนาคตการช่วยเหลือกันระหว่างพี่กับน้องจะเป็นไปในทางที่ดีและยั่งยืน

กล่าวสำหรับ พี่ๆ น้องๆ ที่ศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ถ้าพี่ได้ป้อนน้องในเรื่องความรู้ความประสบการณ์ในการศึกษาเล่าเรียนแล้ว จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่และน้องรุ่นพี่และรุ่นน้องมีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกันในอนาคต ดังนั้น จะเห็นว่าการพี่ป้อนน้องเป็นเรื่องที่สถาบันศึกษาในระดับต่างๆ ควรจะให้การสนับสนุนมีโครงการต่างๆ เพื่อให้พี่ได้มีโอกาสป้อนเรื่องต่างๆ ที่ดีให้กับน้อง อันจะเป็นการสร้างความสันพันธ์ที่ยั่งยืน และประการสำคัญ คือ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ ความสัมพันธ์ที่ดีๆ ระหว่างพี่กับน้อง ดังนั้น การป้อน พี่ป้อนน้อง เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวหรืสถาบันศึกษาควรจะต้องส่งเสริมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

และถ้าจะให้ดีๆ ยิ่งขึ้นๆ ไปเราทุกคนควรจะต้องป้อนความดี ป้อนความรัก ป้อนความรู้สึกที่ดีๆ ให้กันและกัน จะยิ่งทำให้การป้อนดังกล่าวเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อทั้งพี่และน้องตลอดจนทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง เรามาช่วยกันป้อนในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่วันนี้กันเถอะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์