วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

ธรรมะเพื่อชีวิต ตอน “เมื่อพ่อบวชเป็นพระ”

เย็นวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘ ได้นั่งคุยกับกับหลานสาว (ติ๊ก) และคุณตาอ้วน ศรีวิรัตน์ “เกี่ยวกับชีวิตและการทำบุญ” ซึ่งคุณตาอ้วนได้เล่าว่าดีใจที่ในชีวิตได้ถวายพระประธานแก่วัดต่างๆ ในอำเภอสุวรรณภูมิไปแล้ว ๙ องค์  และได้เตรียมตัวเพื่อจะไปจากโลกนี้ไว้แล้วเช่นกัน โดยคุณตาอ้วนบอกว่า “ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย จะเร็วหรือจะช้าก็แล้วแต่ละคน หากไม่อยากตายก็ไม่ต้องเกิด”

ที่นี้ขอวกเข้าเรื่องเกี่ยวกับคุณตาอ้วนและการบวช ซึ่งท่านมีโอกาสเรียนไม่สูง คือ เรียนถึง ป.๒ และมีโอกาสเรียน ป.๒ ได้เพียง ๕๐ วันเท่านั้น ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อตามแม่ไปทำมาหากิน จนกระทั่งเมื่ออายุ ๒๒ ปี ได้มีโอกาสบวช พรรษาแรก ณ วัดสว่างโพธิ์ทอง (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) พอพรรษาที่ ๒ ได้ย้ายไปจำพรรษา ณ วัดเหนือสุพรรณวราราม (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) ซึ่งพรรษานี้สามารถที่สอบผ่านนักธรรมตรี และต่อมาพรรษาที่ ๓ ต้องกลับไปจำพรรษา ณ วัดสว่างโพธิ์ทอง อีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้ ต้องมาทำหน้าที่ในตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดสว่างโพธิ์ทอง (เนื่องจากท่านเจ้าอาวาสได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ตำบลหัวโทน ในฐานะเจ้าคณะตำบลหัวโทน) แต่เมื่อพ้นพรรษาที่ ๓ แล้ว ปรากฏว่าได้ตัดสินใจลาสิกขา เนื่องจาก ด้วยเหตุผล คือ “ไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส เพราะคิดว่ายังมีความรู้น้อย”


เมื่อลาสิขาแล้ว พ.ศ.๒๔๙๕ ได้ตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพ พักกับญาติที่ท่าเรือคลองเตยโดยประกอบอาชีพที่ใช้กำลัง คือ “ถีบสามล้อ” ทั้งนี้ ได้ทำมาหากินแถวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจอดสามล้อประจำที่ตลาดสามย่าน และหาปั่นสามล้อหากินแถวหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (แสดงว่าครั้งหนึ่งพ่อเคยเป็นเด็ก “สามย่าน”)  สำหรับค่าเช่าสามล้อวันหนึ่ง ๑๐ บาท (สำหรับรถใหม่) และประมาณ ๗ บาท (สำหรับรถเก่า)  วันหนึ่งๆ สามารถเหลือหักค่าเช่าแล้วประมาณวันละ ๒๐-๓๐ บาท โดยที่ค่ารถสามล้อเริ่มจากราคา ๑ บาท ถึงประมาณ ๑๐ บาท (ระยะทางจากท่าเรือคลองเตยมาถึงหัวลำโพง ๘ - ๑๐ บาท) อย่างไรก็ดี มีครั้งหนึ่งเกือบตายที่จะต้องปั่นสามล้อพร้อมคนนั่งผ่านสะพานยศเส (สะพานยศเส คือ สะพานกษัตริย์ศึก ซึ่งเป็นสะพานที่ให้รถไฟผ่านซึ่งสูงชันมาก) ด้วยค่าจ้างผ่าน ๕ บาท (ระยะทางจากเจริญผลไปโรงพยาบาลหัวเฉียว)  และเมื่อครั้งหนึ่งจำได้ว่าในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๕ เวลา ๒๐ น. จอดรถ (สามล้อ) เพื่อนั่งฟังข่าววิทยุ (เสียงตามสายเสาไฟฟ้า) ดีใจอย่างอย่างยิ่งที่ได้ยินว่ามีพระประสูติกาลพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ต่อมา เพื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่งในวันเพ็ญเดือนหก โดยได้จำพรรษา ณ วัดเหนือสุพรรณวราราม (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) โดยการบวชครั้งที่สองนี้ได้สอบผ่านนักธรรมโท และ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗ เจ้าคณะอำเภอสุวรรณภูมิได้แต่งตั้งให้มีฐานานุกรม “พระสมุห์อ้วน ปิยะธรรมโม”  ได้รับมอบหมายเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะอำเภอสุวรรณภูมิ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับพระวินัยของสงฆ์และเป็นคณะกรรมการด้านดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม ก็พยามยามสอบนักธรรมเอกอยู่ ๓ ปี แต่ก็ไม่ผ่าน เนื่องจาก ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เพราะต้องทำหน้าที่ปฏิบัติวัด ดูแลพระ ดูแลเณร รวมทั้งเด็กวัดที่พ่อแม่นำมาฝากพักที่วัดเพื่อโรงเรียน ช.วิทยา (ปัจจุบันยุบไปแล้ว)  โรงเรียนสามัญ (ปัจจุบันคือโรงเรียนสุวรรณภูมิวิทยาลัย) โดยมีเด็กวัดมีประมาณแต่ละปี ๒๐ คน การที่จะต้องปฏิบัติวัดเลยไม่ได้เรียนอ่านหนังสือเพื่อสอบนักธรรมเอกได้ไม่เต็มที่ และในที่สุดก็หมดความเพียรทางศาสนา จึงได้ลาสิกขา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อออกมาครองฆราวาสประกอบสัมมาชีพปกติ



นั่น เป็นบุญของคุณตาอ้วนที่ได้เข้าสู่ร่มกาสาพัสตร์ ๒ ช่วงของชีวิต รวมเป็นจำนวน ๑๒ พรรษา ซึ่งท่านก็ได้ทำเต็มกำลังความสามารถของท่านแล้ว และที่สำคัญคือ ผลบุญที่ท่านเคยบวชมาแล้ว ทำให้ท่านได้เข้าถึงธรรมะได้ไม่ยาก โดยผ่านการอ่านหนังสือธรรมะ การได้ฟังธรรม (จาก mp3 หรือ ทางโทรทัศน์) ทำให้ท่านได้ซาบซึ้งรสพระธรรมได้ง่าย  ไม่มีข้อสงสัยในพระรัตนตรัย รักษาศีล ๕ อย่างมั่นคง จิตใจระลึกถึงพระคุณพระศรีรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) อยู่เป็นประจำ และที่สำคัญคือ คิดเสมอว่าตัวเองต้องตาย และเตรียมตัวตายไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเช้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ณ วัดสว่างโพธิ์ทอง  ท่านได้บอกลูกและหลานๆ ไว้เมื่อตายแล้วให้เอากระดูกมาไว้กับองค์ธาตุของญาติๆ บริเวณแถวซุ้มประตูโขงของวัดฯ

ดังนั้น สรุปได้ว่า “เมื่อพ่อบวชเป็นพระ” ท่านได้พยายามเต็มที่ในหน้าที่ของตน และเมื่อพิจารณาด้วยจิตของตนว่าไม่ไหวท่านก็หยุด แต่ก็ไม่เคยหยุดในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รวมถึงระลึกตนอยู่เสมอว่าเมื่อขณะที่มีชีวิตอยู่ให้หมั่นทำความดี ไม่ต้องกลัวตาย ความตายจะมาถึงเมื่อไรไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือ เตรียมตัวตายไว้แล้ว  ชีวิตคนเราก็มีเพียงแค่นี้แหละครับท่านทั้งหลาย (อ่านเพิ่มเติมต่อ เรื่อง “บันทึกของพ่อ ... ลูกขอบันทึกต่อ” ได้ที่  http://msrivirat.blogspot.com/2014/06/blog-post.html)

ปภาวีร์
๔ มกราคม ๒๕๕๘



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น