วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

online

ชื่อเรื่องของวันนี้อาจจะแปลกไปสักนิดหนึ่ง เพราะเป็นภาษาอังกฤษและเป็นคำที่ผู้เขียนทุกท่านน่าจะทราบกันดีว่าหมายถึงอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่มักกล่าวถึง “online”

อย่างไรก็ดี online ดังกล่าวนั้น อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับในการเขียนเรื่องวันนี้สักเท่าไรนัก เพราะผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี “บนเส้นทางชีวิต” :เรื่องราวชีวิตการงาน การต่อสู้ ความใฝ่ฝันของคนบ้านนอกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคนหลายคน

ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีมากๆ อยากจะให้ท่านใดที่มีเวลาว่างได้อ่าน ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอบางส่วนที่ได้จากหนังสือของท่านคุณหมอประเวศ ดังนี้

หน้า ๓๗ “ในการศึกษาของมนุษย์ ควรได้เรียนรู้หรือสัมผัสกับเรื่องราวหรือตัวบุคคลที่เป็นปูชนียบุคคลให้มาก”

หน้า ๘๑ “อาจารย์เสม พริ้งพวงแก้ว พูดเสมอว่า ชีวิตที่สุขสบายไม่ทำให้เกิดปัญญาสร้างสรรค์”

หน้า ๑๒๕ “บัณฑิตของเรา จบการศึกษา ได้รับปริญญาเพราะจบการศึกษา และหลังจากนั้นก็จบเลย คือ ไม่ศึกษาต่อไปอีก เรามีข้าราชการที่ จบการศึกษา เต็มประเทศไปหมด เลยทำอะไรไม่ค่อยเป็น ทำให้บ้านเมืองเสียหายมาก

มหาวิทยาลัยจะต้องผลิตบัณฑิตที่ “ไม่จบการศึกษา”

หน้า ๑๖๘ “การศึกษาควรจะสร้างค่านิยมหรือวัฒนธรรมแห่งการพึ่งตนเองในเรื่องศักดิ์ศรีและความสุข”

หน้า ๑๘๒ “แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ในการศึกษาของไทยนั้น เรายัดเยียดเนื้อหากันเป็นดุ้นๆ และเกือบจะไม่สอนแนวคิดกันเลย ทำให้คนไทยคิดไม่ค่อยเป็น”

หน้า ๑๘๓ “นิสัยเปลี่ยนได้ช้า และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนเร็ว”

“เป็นหน้าที่ของการศึกษาที่จะต้องพัฒนาคนให้มีความสามารถที่ทันต่อการแก้ปัญหา การศึกษาหมายถึงการที่จะแก้นิสัยด้วย ไม่ใช่ท่องหนังสือไปเรื่อยๆ ซึ่งแก้พฤติกรรมหรือนิสัยไม่ได้”

หน้า ๓๔๗ “ก็ลองนึกดูเถอะครับ คนจบมัธยมศึกษาแต่สามารถตรวจวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาเอกได้ การขวนขวายเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ปริญญา เป็นเพียงเครื่องสมมติ ถ้าไม่ระวัง คนที่มีปริญญาโก้ๆ อาจมี ความว่างเปล่าทางวิชาการ เป็นอย่างยิ่งก็ได้”

หน้า ๒๒๒ “ในการทำแผนอุดมศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยน่าจะต้องมีปัญญาที่จะสามารถตีความเรื่องวัฒนธรรมกับการพัฒนาให้ลึกซึ้งและครอบคลุม เพราะวัฒนธรรมกับการพัฒนาคือโจทย์ที่ยิ่งใหญ่และท้าทายเราทุกคน”

หน้า ๔๑๙ “วัฒนธรรม หมายถึงระบบความเชื่อ คุณค่า พฤติกรรม และผลของพฤติกรรมของกลุ่มชนที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน หรือคือวิถีชีวิตทั้งหมดที่สืบทอดกันมา”

หน้า ๖๑๓ “ความเป็นชุมชน หมายถึง การที่คนกลุ่มหนึ่งมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นับถืออะไรร่วมกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการติดต่อสื่อสารกัน มีการเรียนรู้และกระทำร่วมกัน และมีองค์การจัดการ”

ด้วยเหตุนี้ “บนเส้นทางชีวิต” หนังสือของท่านคุณหมอประเวศข้างต้นนั้น ทำให้ผู้เขียนอยากจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ “Online” ซึ่งเบื้องต้นคิดได้เพียงแต่ว่า บนเส้น น่าจะตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า Online (on = บน line = เส้น) แต่ท่านใดที่เรียนด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ไม่ควรจะไปแปลอย่างนั้นเป็นเด็ดขาด ว่า Online แปลว่า บนเส้น (Online System ไม่ใช่ ระบบบนเส้น)

ในโลกใบนี้ ความหมายของเส้น จะต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด และจะต้องไม่ใช้จุดเดียวกัน และมีระยะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เส้นทาง เราก็มักจะต้องเริ่มด้วยจุดเริ่มต้นของเส้นทางอยู่ที่ไหน จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน เส้นก๋วยเตี๋ยว ก็มีทั้งเส้นที่ยาวและสั้น เส้นผมทั้งเส้นยาวและสั้นเช่นกัน

เส้นต่างๆ ที่กล่าวมานั้น หากเรากระทำใดๆ ลงบนเส้นจะทำให้เกิดความชัดเจนเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ตัวอย่างเช่นการทำสีบนเส้นผม การทำเส้นบะหมี่ให้สีเขียว (ก็เรียกว่า หมี่หยก)

บนเส้นอีกอย่างหนึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับกีฬา เช่น เทนนิส ตะกร้อ วอลเลย์บอล ฟุตบอล อยากอยู่บนเส้นที่กำหนดไว้เมื่อไรละก็จะเป็นเรื่องทันที่ ไม่ว่าเป็นฝ่ายที่ได้คะแนนและเสียคะแนน ดังนั้น บนเส้น เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่บางฝ่ายก็ไม่ต้องการบางฝ่ายก็ต้องการ

อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่เราคนไทยมักจะต้องรู้จักและพูดถึงอย่างแน่นอน คือ “การมีเส้น” “เส้นใหญ่” ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมีผู้อำนาจมีอิทธิพลมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น สามารถที่จะผลักดันบันดาลเรื่องต่างๆ จากยากให้กลายเป็นง่ายได้ ด้วยเหตุนี้ ใครที่อยู่ “บนการมีเส้น” “บนเส้นใหญ่” แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ มีแต่คนที่กลัวเกรง อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไม่เรื่องดังกล่าวข้างต้นใช้คำว่า “เส้นใหญ่” หรือ “ใช้เส้น” “มีเส้น” อันนี้ยอมรับจริงๆ ว่าไม่เข้าใจไม่รู้ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ในความคิดของผู้เขียน (อันนี้ขอเดานะครับ) ว่า ที่เราใช้ “เส้นใหญ่” “มีเส้น” ก็อาจจะเป็นเพราะในร่างกายของมนุษย์เรานั้นมีเส้นเลือด เส้นประสาท เส้นเอ็น หรือ เส้นอื่นๆ อีกมากมาย เส้นเลือดที่ใหญ่ก็ย่อมสำคัญต่อการดำรงชีวิต เส้นประสาทที่ใหญ่ก็สำคัญต่อการดำรงชีวิตเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่า เรื่อง “เส้น” ย่อมสำคัญอย่างเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเวลาเราปวดเมื่อยแล้วให้หมอนวดแผนไทยได้ “วางหรือกดนิ้วไว้บนเส้นเอ็นที่เกิดจากการทำงานหนักแล้วจะก็ จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกและเกิดความสมดุลในร่างกายของเรา ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี”

ดังนั้น บนเส้นดังกล่าว หากว่าทำให้เหมาะให้ถูกต้องย่อมจะเกิดประโยชน์ เช่นเดียวกันกับ “เส้นทางของชีวิต” หากเราได้กำหนดว่าเราจะเดินทางไปทางไหนทิศทางไหน แล้วเราก็กำหนดว่าจะต้องอยู่ “บนเส้น” ทางของเราด้วยความตั้งใจแน่วแน่แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า “บนเส้น” สามารถที่จะเชื่อมโยงสร้างความสมดุลให้กับชีวิตทั้งตัวเราและผู้ที่อยู่รอบข้าง

เช่นเดียวกันกับที่เราทำงานให้องค์กรหน่วยงานต่างๆ หากองค์กรหน่วยงานได้กำหนดทิศทางการพัฒนาไว้แล้ว (ซึ่งก็คือ วิสัยทัศน์) เราในฐานะที่เป็นบุคลากรพนักงานในองค์กรได้กำหนดการทำงานของเราให้สอดคล้องเป็นไป “บนเส้น” ที่องค์กรหน่วยงานกำหนดไว้แล้ว เราย่อมจะไปถึงจุดหมายปลายทางด้วยความสำเร็จอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวของ “online” หรือ “บนเส้น” (ที่ไม่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ICT) เราสามารถที่จะกำหนดให้อยู่บนเส้นของ ๓ธ คือ

ธรรมะ

ธรรมชาติ

และธรรมดา

หากเราทุกคนสามารถที่จะทำได้ เราจะไม่มีคำว่า “เส้นใหญ่” “มีเส้น” เราจะมีเพียงแต่ “บนเส้น”

ขอขอบพระคุณหนังสือของท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี “บนเส้นทางชีวิต” ที่ได้ให้แง่คิดอันสำคัญที่จะเดินทาง “บนเส้น” ของชีวิตตัวเราเองอย่างมีคุณค่า และขอบคุณนักศึกษาปริญญาโท IT คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่มีแรงผลักดันในเขียนเรื่อง online

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หนึ่งเดียวคือแม่

เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสได้ดูรายการดีๆ ของช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ "รายการจันทร์พันดาว" มีช่วงหนึ่งที่เป็นการแสดงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อสตางค์ โดยเขาคนนั้นร้องเพลงขื่อว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" ผู้เขียนไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังเพลงนี้มาก่อน แต่เมื่อได้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่า ไม่เขียนไม่ได้แล้ว ความตั้งใจในการร้องของน้องสตางค์ เนื้อหาสาระของเนื้อเพลง ทำให้น้ำตาของผู้เขียนไหลออกมาเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า คำว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" นั้น ยิ่งใหญ่มหาศาล คณานับ ล้นเหลือเกินจะบรรยายได้ น้ำตาของผู้เขียนที่ไหลออกมานั้น เป็นความรู้สึกว่าแม่ของเรานั้นยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาทดแทนพระคุณนั้นได้

หนึ่งเดียวคือแม่ ทำให้ทราบว่ากว่าที่เรา (ทุกคน) จะมีชีวิตได้ทุกวันนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน (จริงๆ แล้ว ผู้เขียนขอเปลี่ยนเป็น "ล้านเข็ญเหลือเกิน" เพราะมันมีค่ามากกว่าแสน) ครับ เนื้อหาของเพลงบางครั้งอาจจะทำให้เรามีสติมีความยั้งคิดเกิดขึ้นว่าทำไม่ หนึ่งเดียวคือแม่ นั้น มีความสำคัญอย่างมาก มีความหมายอย่างมาก อันนี้เราทุกท่านทราบดีว่า กว่าจะมีเราในวันนี้นั้นแม่ได้เสียสละความสุขส่วนตัวมามากแล้ว ความทุกข์ของแม่คือความสุของลูก (ขณะที่ผู้เขียนได้บรรยายหรือเขียนขณะนี้ น้ำตายังไหลอยู่เลย เพราะไม่รู้ว่าในชีวิตชาตินี้ไม่รู้ว่าจะทดแทนบุญคุณของแม่ได้อย่างไร พูดง่ายๆ คือ หมดปัญญาที่จะทดแทนบุญคุณดังกล่าว)

น้องสตางค์ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่ทำให้เราทราบว่าพระคุณของคุณแม่นั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้จะเหมือนได้ หนึ่งเดียวคือแม่ ทำให้เราเกิดความเข้าใจเกิดความรู้สึกที่ดีว่า ที่เรามีลมหายใจได้ทุกวันนี้ นั้น เพราะ "หนึ่งเดียวคือแม่จริงๆ " แต่ก่อนผู้เขียนเคยโกรธให้แม่เวลาที่แม่อารมณ์ไม่ดี แม่ดุด่าเรา แต่เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสคิดทบทวนแล้วทำให้ทราบว่า ที่คุณแม่ดุด่าว่าเรานั้น ก็เพราะความรู้สึกที่ท่านอยากจะให้เราได้รับแต่สิ่งดีๆ เกิดประโยชน์ต่อตัวเรา หนึ่งเดียวคือแม่ เป็นสิ่งที่เราทุกคนทราบกันดีว่า ไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกใบนี้จะทดแทนได้ พระคุณท่านที่ยิ่งใหญ่ เราจะต้องหาโอกาสหาเวลาทดแทนตอบแทนท่านให้ได้ ผู้เขียนเสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เพราะแม่ได้จากผู้เขียนไปตั้งนานแล้ว ก็ได้แต่อยากจะเสนอให้ท่านใดที่ยังมีแม่อยู่ได้คิดว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" เราจะต้องหาโอกาสหาเวลา ทำให้ "แม่คือหนึ่งเดียวที่เราจะทำให้ท่านได้มีความสุขเท่าที่เราจะทำได้"

หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าเราจะทำเพื่อแม่เมื่อไรก็ได้ อย่างไรก็ดี สำหรับผู้เขียนแล้วขออนุญาตแนะนำทุกท่านว่า หากท่านมีเวลาให้กับ "หนึ่งเดียวคือแม่" ในวันนี้ ขอให้ท่านได้ลงมือทำเลยและทำอย่างที่เราอย่างจะทำเพื่อแม่จริงๆ

วกกลับมาเรื่องของน้องสตางค์ที่ได้น้องเพลงเพื่อแม่ก่อนหน้านี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนประทับใจในคำพูดของน้องคือ "เมื่อหนูสู้แล้วพ่อจะต้องสู้ด้วยนะ ต้องการให้พ่อเขามีสุขภาพดีเหมือนเดิม" ซึ่งจริงๆ แล้วน้องสตางค์เขาเหลือพ่อเพียงคนเดียวและป่วยด้วย คำพูดของน้องสตางค์ทำให้น้ำตาของผู้เขียนต้องไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะขนาดที่น้องสตางค์อายุยังน้อยก็ยังมีความคิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้ที่ให้กำเนิดบังเกิดเกล้าและสร้างกำลังให้ผู้เป็นพ่อ คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า "หากเรารักใครปรารถนาดีต่อใคร ผลดังกล่าวย่อมเกิดผลดีอย่างแน่นอน" ซึ่งเราเรียกว่า "คิดดี ย่อมจะเกิดผลดี"

ครับ ในโลกใบนี้นั้น หากเราทุกคนตระหนักถึง "หนึ่งเดียวคือแม่" จะทำให้เราที่แม่เกิดพลังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือ การใดๆ ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขอสนับสนุน ทุกท่านที่ยังมีแม่อยู่ให้ความสำคัญของ "หนึ่งเดียวคือแม่" ส่วนท่านใดที่แม่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ขอให้ท่านได้ระลึกถึงแม่และพระคุณของท่านอยู่ตลอดเวลา เพราะแม่จะคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ "หนึ่งเดียวคือแม่" หากคนไทยทุกคนให้ความสำคัญอย่างจริงจังทุกระดับทุกสังคม ผู้เขียนเชื่อว่าสังคมไทยของเราจะมีเป็น "น้ำหนึ่งใจเดียวกัน" เพราะหากเราคิดถึง "แม่" เรื่องต่างๆ ที่เราคิดจะเป็นเรื่องที่ดีๆ ทั้งนั้น เมื่อ "หนึ่งเดียวคือแม่" เราควรจะต้องทำให้ "แม่คือหนึ่งเดียว" กันนะครับ

"ผมรักแม่ครับ"

"ผมคิดถึงแม่เมื่อไรทำไมน้ำตาของผมมันไหลออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลย"

"ผมอยากจะบอกว่า แม่คือสิ่งเดียวที่วิเศษที่สุดในโลกใบนี้ครับ"

หากท่านพอมีเวลา ท่านลองฟังเพลง "หนึ่งเดียวคือแม่" นะครับ

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ม.ม้า ม.แม่

วันนี้ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างน้อมถวายความจงรักภักดี ถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าราชินีฯ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

โดยเมื่อเช้าของวันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าราชินีฯ ร่วมกันหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุบลราชธานี และหลังจากนั้นก็ใช้เวลาไปห้างสรรพสินค้าต่างๆ จนถึงเที่ยงวัน ทำให้ผู้เขียนได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับ “วันแม่” มีแม่ลูกคู่หนึ่งที่แต่งกายเหมือนกันทุกอย่างตั้งแต่ทรงผม เสื้อผ้า กระโปรง รองเท้า ทำให้รู้สึกแม่และลูกคู่นั้นมีความตั้งใจเป็นอย่างมาก และทั้งคู่เวลาเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข และมีอีกส่วนที่ผู้เขียนได้เห็นคือ มากันทั้งยาย แม่ และ ลูก ชวนกันไปรับประทานอาหารกลางวัน รู้สึกว่าสังคมไทยของเรามีความอบอุ่นเป็นอย่างมากมีความผูกพันทั้งรุ่นยาย รุ่มแม่ รุ่นลูก ทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ทำไมตัวเราไม่เคยจะทำแบบนี้ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะผู้เขียนไม่เคยเห็นหน้าคุณยายเลย และใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่เพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรครับ พระคุณของคุณแม่นั้นยังตราตรึงอยู่ในจิตใจทุกห้วงเวลา

คำว่า “แม่” นั้น เป็นแหล่งกำเนิด เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นประโยชน์มหาศาล มีพละกำลัง มีอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งคำว่า “แม่” ถูกนำไปใช้นำหน้านามหรือสิ่งต่างๆ ที่ระบุถึงสิ่งที่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เช่น

- ใช้นำหน้า “น้ำ” กลายเป็น “แม่น้ำ” คือ แหล่งให้กำหนดน้ำที่หล่อเลี้ยงมนุษยชาติในประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้

- ใช้นำหน้า “ทัพ” กลายเป็น “แม่ทัพ” คือ ผู้กล้า ผู้ที่มีสติปัญญา ผู้นำ ในการออกศึกเพื่อป้องกันประเทศชาติให้รอดพ้นจากผู้รุกราน

- ใช้นำหน้า “สี” กลายเป็น “แม่สี” คือ สีที่เป็นแหล่งกำหนดของสีต่างๆ กล่าวคือ แม่สีประกอบด้วยสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน เป็นบ่อเกิดของสีต่างๆ มากมาย เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมายเช่นกัน

- ใช้นำหน้า “คุณ” กลายเป็น “แม่คุณ” คือ หญิงอันเป็นที่รักยิ่งของชายให้ความเคารพนับถือ (อันนี้ผู้เขียนคิดเองนะครับ)

- ใช้นำหน้า “พิมพ์” กลายเป็น “แม่พิมพ์” คือ ผู้ให้ความรู้สั่งสอนเราให้ได้แต่สิ่งดีๆ สำหรับการดำรงชีวิต ซึ่งก็คือ “ครู” ผู้สอนเรานั้นเอง

- ใช้นำหน้า “ครัว” กลายเป็น “แม่ครัว” คือ ผู้ที่ประกอบอาหารให้เราได้รับประทานเป็นอย่างดี

นอกจากนั้น คำว่า “แม่” ใช้นำหน้าคำอื่นๆ อีกมากมาย เช่น แม่โพสพ แม่พระธรณี แม่ย่านาง แม่นม เป็นต้น แต่บางครั้งคำว่า “แม่” ก็ยังสามารถนำไปใช้ชีวิตประจำวัน เช่น แม่ยก แม่สื่อแม่ชัก แม่เลี้ยง

ท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่านครับ คำว่า “แม่” นั้น ยิ่งใหญ่มหาศาลเกินที่เราทุกคนจะคณานับได้ และยิ่งเป็นที่น่าแปลกใจประหลาดใจเป็นอย่างมาก คือ ทุกชนชาติ ล้วนเอยคำที่เรียกผู้ที่ให้กำเนิดเกิดเรามานั้น ด้วยคำที่มี “ม.ม้า” ล้วนแทบทั้งสิ้น กล่าวคือ ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สหรัฐ จะเรียกผู้ที่ให้กำเนิดว่า “MOM หรือ MAM” คนเอเชียจีน จะเรียกว่า “ม๊ะ ม่า หรือ ม่ามี้” สำหรับคนไทยทุกคนก็เรียกว่า “แม่” ซึ่งจะเห็นว่าล้วนใช้ตัว ม.ม้า กันเกือบทุกส่วนในโลกใบนี้ เรื่องนี้แหละที่ทำให้ผู้เขียนประหลาดใจและคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ภาษาไทยพยัญชนะของไทยเรา ทำไมถึงเรียก “ม.” ว่า “ม.ม้า” ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาเป็นเรียกว่า “ม.แม่” ที่เป็นอย่างนี้ ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนที่เกิดมาล้วนเกิดได้ก็เพราะแม่ และเราจะระลึกถึงแม่อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่

ไม่เป็นไรครับ ผู้เขียนเพียงแต่ขอเสนอความคิดเห็นส่วนตัวเพียงเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ตามแต่ “ม.แม่” สำหรับผู้เขียนแล้วไม่มีสิ่งใดที่ทดแทนได้ พระคุณของแม่ผู้ให้กำเนิดผู้เขียนก็ไม่รู้ว่าจะทดแทนอย่างไร ได้เพียงแต่พยายามทำตัวเองให้ดี ทำดีเพื่อส่วนร่วมเท่าที่จะทำได้ตามโอกาสและศักยภาพของตัวเราเอง ผู้อ่านหลายๆ ท่านที่มีคุณแม่อยู่ด้วยท่านก็คงจะทำหน้าที่ที่ดีของท่านในฐานะของลูก ส่วนท่านใดที่เป็นคุณแม่ก็คงทำหน้าที่ของตัวท่านให้ดีที่สุด ผู้เขียนไม่โอกาสอย่างหลายๆ ท่าน คุณแม่ของผู้เขียนได้จากโลกใบนี้นานแล้ว แต่อย่างไรก็ดี ผู้เขียนและคุณแม่ของผู้เขียน สิ่งที่ที่เหมือนกัน นั้น คือ มี “ม.แม่” ด้วยกัน เพราะชื่อของคุณแม่ผู้เขียนมีชื่อว่า “มะลิ” ส่วนผู้เขียนก็มี “ม.แม่” คือ ชื่อว่า “มนูญ”

ดังนั้น เนื่องในโอกาสวันนี้เป็นวันแม่ ขอให้แม่ทุกท่านมีความสุข มีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และสุดท้ายอยากจะเชิญชวนทุกท่าน มาเรียก “ม.ม้า” เป็น “ม.แม่” เพื่อเราทุกคนจะได้ระลึกถึงพระคุณของ “แม่” อยู่ตลอดเวลา

อ้างอิงเพิ่มเติม "ที่นี้"