วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

กด กลด แล้วก็ กฎ

กด เป็นลักษณะอาการการกระทำที่ใช้กำลังพลังทำอะไรกับสิ่งของวัตถุหนึ่ง เพื่อให้สิ่งนั้น หยุดไม่เคลื่อนไหว ให้ยุบลงไป ให้คลายตัว ให้สลายตัวแตกตัว ซึ่งจะเห็นว่าการกดอะไรก็ตามแต่จะต้องใช้กำลังและมีเป้าหมายคือ วัตถุ สัตว์ (มนุษย์ก็ได้) หรือสิ่งของ และประการสำคัญคือ การกด ทำให้ สิ่งของวัตถุมีการเปลี่ยนสถานะไป แต่ถ้าหากเป็นคนที่โดนกด (ถ้าเป็นการกดนวดแผนไทยก็เป็นการดี) เกี่ยวกับการเรียนหนังสือ การทำงานปฏิบัติงาน แล้วมักจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร เพราะทำให้เกิดความเครียดจากการถูกกด ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากผู้ที่อำนาจหรือผู้ที่กำลังมากกว่า กด ผู้อ่อนแอกว่า แล้วอาจจะทำให้เกิดปัญหาของการดันกลับคืน ซึ่งที่เรียกว่า ถูกกดดัน ซึ่งเขาเหล่านั้นก็จะหาโอกาสในการกดกลับคืนเช่นกัน (แต่อาจจะเป็นในการที่ลับไม่ต่อหน้านั่นเอง) ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นผู้มีอำนาจหรือผู้มีพละกำลังที่มากกว่า ก็พยายามอย่า กด ผู้ที่ด้อยกว่าก็แล้วกัน

ที่มามาถึง คำว่า กลด คือ ร่มขนาดใหญ่มีด้ามยาวถอดเก็บได้ที่ชายร่มมีผ้ามุ้งเย็บติดโดยรอบหรือมีมุ้งขนาดใหญ่ครอบต่างหาก กลดใช้เป็นบริขารพิเศษของพระธุดงค์ ซึ่งโดยธรรมเนียมการอยู่กลดเป็นวิธีที่จะทำให้ไม่เห็นแก่ความสุขสบายส่วนตัวไม่ยึดติดกับความสะดวกสบายในการนอน เป็นการสละกิเลสส่วนหนึ่งได้ ก็เช่นเดียวกันถ้าหากเราสามารถปักกลดดังกล่าวในจิตใจของเราได้ เป็นร่มที่จะคอยเตือนใจ เตือนสติของเราว่า อะไรที่สะดวกสบายเราก็ควรจะลดละเลิก (แต่ค่อยๆ ทำก็ได้)

แต่สำหรับ กฎ ตัวสุดท้าย ผู้เขียนคิดว่าเราทุกคนทราบกันดีว่ามีความหมายเป็นอย่างไร แต่เพื่อให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอในส่วนของกฎที่มาจากหนังสือของของ ไชย ณ พล (เรื่อง ปรัชญาแห่งชีวิต) ได้กล่าวถึงเกณฑ์กฎหมายไว้น่าสนใจมากเลยที่เดียว กล่าวคือ กฎหมาย คือ ข้อตกลงของสมาชิกในสังคมหนึ่งๆ ว่านั่นคือเกณฑ์ความดีสำหรับพวกเขาตามสถานการณ์ในยุดนั้น โดยตัวแปรสำคัญที่จะทำให้กฎหมายดีมาก หรือดีน้อย คือ 1. ผู้ออกกฎเป็นใคร 2. เจตนารมณ์แห่งการบัญญัติกฎคืออะไ3. การบังคับใช้กฎหมายในสังคมเหมาะสมเพียงใด ด้วยเหตุนี้ จึงยังต้องมีกฎแห่งกฎหมายอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้กฎหมายเป็นกฎที่ดีสำหรับส่วนรวม กฎแห่งกฎหมาย คือ

1.ผู้ออกกฎต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องในผลได้ผลเสียจากกฎกติกานั้น

2. เจตนารมณ์แห่งบทบัญญัติต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม หรือไม่บั่นทอนประโยชน์สุขส่วนรวมโดยไม่ชอบธรรม ทั้งไม่ทำลายสิทธิพื้นฐานส่วนตัวแห่งมนุษยชน

3. กฎหมายไม่มีอำนาจบังคับย้อยหลังไปยังเหตุการณ์ก่อนการบัญญัติกฎหมาย

4. กฎหมายจะมีอำนาจบังคับใช้เมื่อได้ประกาศให้สาธารณะทราบทั่วกันแล้ว

5. การบังคับใช้กฎนั้นต้องทั่วถึงและเป็นธรรม

6. กฎหมายที่ดีต้องมีข้อยกเว้นเสมอ เพราะการออกกฎหมายเป็นการบัญญัติเพื่อสนองความต้องการของสังคมในสถานการณ์หนึ่งๆ ในกาลหนึ่ง แต่อาจมีสถานการณ์อื่นที่เกิดด้วยเหตุผลอื่นในกาลเดียวกัน หรือกาลอื่น ที่กฎหมายนั้นไม่มีความเหมาะสมที่จะใช้ก็ได้

จากข้างต้น ผู้อ่านจะเห็นว่าทั้ง 3 กด กลด และกฎ นั้น มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่พอสมควร คือ การทำอะไรก็ตามแต่จะต้องพอเหมาะพอดีแก่ทุกฝ่ายแก่ทุกสิ่ง วันนี้เราทุกคนมาเริ่มกด ดีไม่ครับ คือ กดจิตตัวเองให้อยู่กับสิ่งดีๆ ภายใต้กลดของความดี และภายใต้กฎของธรรมชาติ

มนูญ ศรีวิรัตน์

ความงาม

ความงาม เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายล้วนต้องการ สำหรับผู้หญิงก็ต้องการมีรูปร่างหน้าตาที่งาม สำหรับผู้ชายก็ต้องการมีหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาที่งามมาอยู่ใกล้ จะเป็นเห็นว่าความงามไม่เพียงแต่ต้องการของมนุษย์ดังที่กล่าวไว้เท่านั้น ระดับครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือระดับประเทศก็ยังต้องการความงาม เพราะมีการประกวดผู้หญิงที่มีความงาม ซึ่งจะเรียกชื่อต่างกันไปก็ตาม เช่น ประกวดนางงามหมู่บ้าน ประกวดนางงามประจำอำเภอ ประกวดนางงามประจำจังหวัด เป็นต้น

นอกจากนั้น ก็ยังมีการประกวดตามฤดูกาล ตามประเพณี เช่น ประกวดนางงามสงกรานต์ ประกวดนางงามเทียนพรรษา ประกวดนางงามฤดูหนาวชาวเหนือ เป็นต้น และการประกวดระดับประเทศมักจะถูกเรียกว่า MISS ... ต่างๆ (แต่ก็แปลกเหมือนกันนะครับว่า เวลาเป็นภาษาไทย เรียกว่า ประกวดนางงาม แต่พอเป็นภาษาอังกฤษ เรียกว่า MISS ทั้งนี้ MISS = นางสาว แต่ไม่เป็นไร เพราะมีบางเวทีก็เรียกว่า ประกวดนางสาวไทย ไม่ได้เรียกว่า ประกวดนางงามไทย คิดเล่นๆ เท่านั้นเอง)

ที่นี้ มาดูเรื่องความงามต่อ สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองยังมีความงามไม่เพียงพอ ท่านเหล่านั้นก็จะัพยายามหาโอกาส หาวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความงามมากยิ่งๆ ขึ้น จนเป็นที่พอใจของตนเองและเพื่อนๆ รอบข้าง อย่างไรก็ดี หากยังไม่พอใจอีกก็ต้องหาหนทางที่ยากขึ้นและได้ผลดียิ่งๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปพบผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่าในปัจจุบันมีการทำความงามที่เรียกกันว่า ศัลยกรรมให้งามขึ้น จนบางครั้งคนที่ไปทำมายังจำตัวเองแทบจะไม่ได้ เพราะทำได้ดีมากๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นไรครับ เพราะการที่เรามีความงามที่มากยิ่งขึ้น ทำให้เรามีความสุข คนอื่นๆ ที่ดูเราก็มีความสุขไปด้วย

เมื่อกล่าวถึงความสุขในความงาม เราทุกคนต่างมีความสุข เมื่อเราได้เห็นอะไรที่มีความงาม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ วัตถุ สถานที่ และโดยเฉพาะความงามของมนุษย์ แค่เราได้เห็นใบหน้าของคนงามเหล่านั้น เราก็สุขใจในบันดล การเห็นดังกล่าวไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยจริงๆ ซึ่งๆ หน้าก็ได้ เราเห็นจากหนังสือรูปภาพเราก็มีความสุข เห็นจากโทรทัศน์เราก็มีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งละครของไทยเดี๋ยวนี้ นางเอกในเรื่องหรือตัวประกอบก็ตามแต่นั้น ทุกคนมีความงามเป็นอย่างมาก เมื่อเราดูละครเราก็มีความสุขไปด้วย และที่สำคัญ คือ ละครที่มีชื่อว่า วนิดา ผู้เขียนเชื่อว่าใครที่ได้ดูละครเรื่องนี้แล้วจะต้องมีความสุข เพราะได้ดูได้ชมในเรื่องที่งามๆ ทั้งนั้น เพราะ วนิดา แปลว่า หญิงงาม เมื่อได้ดูหญิงงามก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนที่จะชอบ (เนื่องจาก มองด้วยดวงตา เพื่อเห็น ส่งข้อมูลไปสมอง (จะปรุงแต่งไม่ปรุงแต่งก็ตามแต่) สมองได้รับรู้หลั่งสารมีความสุขออกมา)

ผู้อ่านเห็นหรือยังครับว่า ความงาม นั้น ล้วนทำให้เรามีความสุข และเป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินทองมากมาย ด้วยเหตุนี้ เรามาลองช่วยกันเห็นสิ่งที่งามๆ ร่วมกันแล้วเราก็จะมีความสุขร่วมกัน การเห็นความงามผู้เขียนคิดว่าไม่ยาก หากไม่สามารถดูได้ที่บ้านในบ้าน ตอนเช้าๆ ท่านลองออกมานอกบ้านเวลาสักประมาณ 06.00 น. เพื่อดูแสงอาทิตย์ยามเช้าตัดกับท้องฟ้ายามเช้า แล้วท่านจะเห็นความงามของธรรมชาติที่ไม่ต้องซื้อหาใช้เงินทอง และประการสำคัญ นอกจากท่านได้เห็นความงามดังกล่าวแล้ว ท่านยังได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ยามเช้า ยิ่งทำให้ท่านมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดังกล่าวมาข้างต้น ความงาม เป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ดี หากเรามีความงามรูปกายภายนอกที่คิดว่ายังไม่ดีพอก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เรามีความงามที่จิตใจก็พอ การที่จะเป็น วนิดา ได้นั้น ไม่ใช่ว่าจะมีความงามภายนอกเท่านั้น จะต้องมีความงามในจิตใจภายในด้วย ถึงจะเป็น วนิดา อย่างแท้จริง แต่บางครั้งมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อไรก็ตามมีหน้าที่งามๆ แต่ถ้า สลับกลับกัน เป็น งามหน้า ละก็ เป็นเรื่องอย่างแน่นอน

เนื่องจาก งามหน้า เป็นเรื่องของการกระทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร ก็มีให้เราเห็นในละครไทยเช่นกัน ที่แม่ของลูกสะใภ้มักจะพูดให้ลูกสะใภ้ว่า งามหน้าหรือไม่ละ ที่ออกไปนอกบ้านแล้วเกิดเรื่อง(เกิดเรื่องในที่นี้ มักจะหมายถึงเรื่องเหตุการณ์ในทางที่ไม่ดี) ดังนั้น เราทุกคนทุกท่าน ทำอะไรก็ตามแต่ ก็ขอให้เป็นเรื่องที่หน้างาม หรือมีความงาม ก็อย่าให้เป็นเรื่องที่ งามหน้า ก็แล้วกัน

มนูญ ศรีวิรัตน์


วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

การติดตาม

ติด คือ ลักษณะที่ทำให้วัตถุสิ่งของตั้งแต่สองสิ่ง หรือ ผู้คน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป ได้มีโอกาสได้เข้ามาใกล้กันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สิ่งนั้นๆ อยู่ด้วยกันไปไม่ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายไปไหน สภาพใดก็ตามแต่ ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่เราติดอะไรบางอย่างไปแล้วเรามักจะอยู่กับสิ่งนั้นๆ เช่น การติดเกมส์ การติดเหล้า การติดบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งการติดดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ถ้าหากเราติดบางเรื่องหรือหลายเรื่องที่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สนใจและเกิดผลดีเกิดกุศลในการติด เช่น การติดการอ่านหนังสือ การติดการทำความดี การติดการบริจาคเพื่อคนยากไร้ เป็นต้น ท่านผู้อ่านเห็นหรือยังครับว่า การติดในเรื่องที่ดีนั้น รับรองได้ว่า การติดดังกล่าวเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรจะติด

ส่วน คำว่า ตาม คือ ลักษณะที่วัตถุสิ่งของตั้งแต่สองสิ่ง หรือ ผู้คน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป มีการไปด้วยกัน โดยมีวัตถุ สิ่งของ หรือ ผู้คน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีตำแหน่งอยู่ก่อน หรือ ข้างหน้า และอีกฝ่ายหนึ่ง มีตำแหน่งอยู่หลัง หรือ ข้างหลัง หรือ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ เช่น เรากำลังตามหลังรถยนต์ข้างหน้า เรากำลังตามหาสิ่งของบางอย่างที่มีค่า เรากำลังตามหาคนรัก เป็นต้น การตามก็เช่นเดียวกัน หากเราตามสิ่งใดๆ อยู่ตลอดเวลา เรามักจะอยู่ใกล้ๆ สิ่งนั้นๆ (ไม่ถึงอยู่ติดนะครับ) การตามหาเรื่องดีๆ ก็ควรที่จะต้องตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดการติดได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น การตาม และ การติด เป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถกระทำได้โดยควรจะต้องตามเสียก่อนเมื่อเราตามอยู่เป็นประจำ สนใจเรื่องนั้นๆ เป็นประจำ เราก็จะติดกับสิ่งนั้นๆ ซึ่งในที่สุด เราก็จะเรียกมันว่า การติดตาม จะเห็นว่า การติดตามที่ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้อย่างแท้จริงนั้น ควรจะต้องใส่ใจลงไปด้วย ใส่จิตวิญญานในเรื่องนั้นอย่างจริงใจ เพราะเมื่อไรก็ตาม ถ้าหากเรามีการติดตามเรื่องใดๆ ด้วยความไม่จริงใจ ด้วยความไม่ใส่ใจ ท่านก็จะตามไม่ทัน และไม่ติดในที่สุด การติดตามดังกล่าวแล้วนั้น ก็จะล้มเหลว

เพื่อนของผู้เขียน สมมติชื่อว่า วันชนะ เขาเองตั้งแต่ขณะที่เรียนมัธยมศึกษาตอนต้น วันชนะมีความสนใจในการเป็นผู้พิทักสันติราษฎร์ เขาจะแต่งตั้งหรือทั้งทรงผม การพูด การแสดงออก จะมีลักษณะที่เขาต้องการปกป้องสร้างความสงบสุขให้กับคนที่รอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวันชนะเติบโตเข้าวัยเรียนในมัธยมศึกษาตอนปลาย เรามีการติดตามว่าการจะเป็นตำรวจเป็นนายร้อย เข้าเรียนที่โรงเรียนตำรวจ โรงเรียนเตรียมทหารจะทำอย่างไร มีการเตรียมตัวอย่างไร วันชนะออกกำลังกายทุกวันหลังจากที่เลิกเรียน ทั้งวิ่งทั้งว่ายน้ำและอื่นๆ เพื่อทำให้ร่างกายของแข็งแกร่ง พร้อมทั้งอ่านหนังสือเป็นประจำทุกวัน เมื่อจบ ม.หก วันชนะเ้ข้าสอบเพื่อศึกษาต่อในสถาบันที่เขาได้ติดตามมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ดี วันชนะไม่สามารถที่เข้าศึกษาต่อในสถาบันแห่งนั้นได้ วันชนะก็ไม่ได้เลิกล้มความตั้งใจ แต่เขาก็สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายสิบตำรวจ (แสดงว่าวันชนะก็ยังติดตามในความตั้งใจจริงของเขาอยู่) วันชนะเข้าเรียนโรงเรียนดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งปี และเขาก็ได้แสดงความจำนงอีกครั้งหนึ่งในการที่เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผลการการติดตามของวันชนะอย่างใกล้ชิด ในที่สุด วันชนะก็สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ และเป็นตำรวจที่ดีในปัจจุบัน

ผู้อ่านเห็นหรือยังครับว่า การติดตาม ตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าหากเราติดเรื่องดังกล่าวด้วยจิตใจที่แน่วแน่เข้มแข็งไม่ย้อท้อ และตามอยู่ตลอดเวลาแล้ว รับรองได้เลยมา การติดตามจะประสบความสำเร็จ แต่เราไม่ควรจะตามติดนะครับ เพราะการตามติด คือ การไปหาสิ่งนั้นเพื่อทำให้ติดกับสิ่งนั้นมากที่สุด เช่น นักข่าวตามติดดาราเพื่อได้ภาพข่าวที่น่าสนใจ

กล่าวสุรป คือ การติดตาม หมายถึง การติดกับเรื่องนั้นๆ และตามเื่รื่องนั้นด้วยสติกับเรื่องนั้นๆ เมื่อมีสติก็จะเกิดสมาธิและเกิดปัญญาในการติดตามทำเรื่องนั้นๆ ครับ และประสบความสำเร็จในที่สุด ผู้เขียนของให้เราทุกคนได้ติดตามในเรื่องที่ประโยชน์ต่อตัวเรา ต่อครอบครัว ต่อสังคมและต่อประเทศชาตินะครับ

มนูญ ศรีวิรัตน์

หมด

หมด เป็นสิ่งหนึ่งที่คนเราไม่ต้องการได้ยิน ไม่ต้องการได้รับ เหมือนเราตั้งใจจะไปซื้อของสินค้าบางอย่างในร้านหรือห้างแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อไปถึงพนักงานขายคนขาย เขาบอกเราว่า หมด เราเองเมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ก็ หมด เช่นกัน แต่เป็นการหมดอารมณ์หรือเสียอารมณ์

หมด เป็นสิ่งที่บ่งบอก ถึงการเคยมีมาของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นข้าวของเงินทองที่เคยมี เช่น การเคยมีเงินจำนวนหนึ่ง (หนึ่งบาง หนึ่งหมื่น หนึ่งแสน หนึ่งล้าน) แล้วมันหมดไปเพราะการใช้จ่าย การเคยมีน้ำมันในถังรถยนต์ของเรา แล้วมันหมดไปเพราะการขับขี่ การเคยมีความรักให้ใครสักคนหนึ่ง แล้วมันหมดไปเพราะเขาไม่ได้รักเราแล้ว (มันเกี่ยวกันหรือเปล่าเนี้ย) เป็นต้น

หมด เป็นสิ่งที่เรามนุษย์ไม่ต้องการ เพราะทำให้เราเป็นทุกข์ ว่าสิ่งที่มันหมดไปนั้น เราจะหามาได้อีกอย่างไร เกิดความอยากควบคู่มากับคำว่า หมด ขึ้นมาทันที่ แต่เมื่อไรก็ตาม หากที่หมดไปแล้วมันไม่มีค่ากับเราเอาเสียเลย เราก็ไม่เกิดความอยากไม่มีความอยากขึ้นมาอีก กล่าวง่ายๆ คือ ไม่ต้องการอีกแล้ว

หมด เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับมัน เพราะบางครั้งเราจะใจจดใจจ่อว่าเมื่อไรมันจะหมดเสีย ถ้าหากเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์เราก็ไม่อยากให้มันหมดไปจากโลกนี้ (เช่น อากาศ น้ำมัน) ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากสิ่งไหนไม่ดีไม่มีประโยชน์ เราก็อยากจะให้มันหมดสูญสิ้นไปจากโลกใบนี้ของเรา (เช่น น้ำเสีย ขยะ) ดังนั้น จะเห็นว่า ของที่เราคิดว่าดีๆ หากหมดไป เราก็เสียใจ ของที่เราคิดว่าไม่ดีหากหมดไปเราก็ดีใจ (คนดีๆ ในสังคมหากหมดไปจากประเทศไทยของเรา เราคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก แต่สำหรับคนไม่ดี หากรีบหมดไปจากสังคมไทยคงจะดีไม่น้อย)

แล้วท่านเคยถามตัวเองหรือไม่ครับ ว่า มีอะไรที่หมดไปแล้ว เราดีใจ หรือ เสียใจบ้าง ในแต่วันหนึ่งๆ ของเราคงจะต้องมีสิ่งที่หมดไปทั้งเป็นสิ่งที่ดีและไม่ดีผสมปนกันไป อย่างไรก็ดี ถ้าหากเราสามารถทำได้หรือปฏิบัติได้ คือ ทิ้งสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ให้โทษ หมดออกไปจากตัวของเรา จากครอบครัวของเรา จากสังคมของเราให้เร็วที่สุดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะทำให้เรามีแต่ความสุข ที่นี่ เห็นหรือยังครับว่า หมด นั้น ก็มีความหมาย และ เป็นสิ่งที่เตือนใจของเราให้เกิดแต่สิ่งดีๆ ได้

บางครั้งเราก็อาจจะเกิดความรู้สึกว่า หมด ขึ้นมาในใจในบางส่วนบางตอนของชีวิต ซึ่งก็อาจจะเป็น หมดหวัง ซึ่งการหมดหวัง ผู้เขียนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะพยายามไม่ไห้เกิดขึ้น ไม่ให้มีในจิตใจของเรา ด้วยเหตุนี้ พยายามนะครับ เอา หมด ออกจาก หวัง ให้ได้ ใช้จิตที่เข้มแข็งของเราในการสั่งสมองและสมองจะสั่งร่างกายอีกต่อหนึ่ง (ไม่มีอะไรที่จิตของเราจะทำไม่ได้ ถ้าหากว่าเราจะทำ โปรดจำไว้นะครับ) ประการสำคัญ คือ อย่าให้จิตของเรามีลักษณะหรือมีความรู้สึกที่ว่า หมดอาลัย ตายอยาก

ที่แน่ๆ คือ ผู้เขียนเชื่อว่า สิ่งที่คนไทยไม่ต้องการให้หมดไป คือ การสร้างความดีร่วมกันของคนในชาติ เพราะถ้าหากเมื่อไรเราคนไทย หมด ความดีให้กันและกันแล้ว ประเทศไทยของเราคงจะไม่มีความสุข เราลองมาเปลี่ยน คำ หมด ให้เป็นดังนี้ จะดีหรือไม่ครับ
ห หมายถึง ให้
ม หมายถึง มี
ด หมายถึง ดีๆ
ให้ทุกคนในครอบครัว องค์กร สังคม มีแต่สิ่งที่ ดีๆ ให้กันและกัน รับรองได้ว่า หมด จะกลายเป็น ให้มีดีๆๆๆๆๆ
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

บริจาค

คำภาษาไทยที่มี คำว่า บริ มีจำนวนมากมาย เช่น บริการ บริโภค บริกรรมคาถา บริบท บริบูรณ์ บริสุทธิ์ บริหาร บริษัท เป็นต้น อย่างไรก็ดี มีอีก บริ หนึ่งที่น่าสนใจ คือ บริจาค คำๆ นี้ มาจาก บริ + จาค

สำหรับ บริ หมายถึง รอบ ๆ ถ้วนทั่ว
และ
จาค หรือ จาคะ หมายถึงการสละสิ่งของและความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

ดังนั้น บริจาค เป็น การสละสิ่งของและความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นเป็นรอบๆ เมื่อถึงเวลาเราก็บริจาค เพื่อให้เห็นภาพดังกล่าว ขอยกตัวอย่างเช่น บริจาคโลหิต ที่เป็นการสละสิ่งเลือดของเราเป็นรอบๆ คือทุก 3 เดือน (ถ้าเป็นไปได้) การบริจาคเสื้อผ้ากันหนาว เป็นการสละเสื้อผ้ากันหนาวที่เราไม่ได้ใช้แล้วให้ผู้เดือดร้อนในหน้าฤดูหนาว เป็นต้น

จะเห็นว่า การบริจาค นั้น เป็นส่งที่เราทุกคนควรจะต้องช่วยกันในสังคม เพราะถ้าหากท่านใดมีข้าวของเงินทองที่มากพอแล้ว ต้องการที่จะสละเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นคนอื่นๆ เป็นประจำทุกๆ ปี ทุกรอบๆ ก็อาจจะเป็นการบริจาคในการครบรอบวันสำคัญของท่าน วันพิเศษของท่านแล้ว รับรองได้ว่า ท่านจะได้บุญกุศลอย่างมาก การบริจาคเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนยากจน สำหรับคนที่ยากจน เขาก็สามารถที่จะบริจาคได้เช่นกัน ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่า คนยากจนบางท่าน ท่านบริจาคโลหิตของท่าน ท่านบริจาคร่างชีวิตของท่าน (เมื่อท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว)

ผู้เขียนเอง ก็เคยมีความคิดเหมือนกันว่า ถ้าหากเป็นไปได้ (คือมีเงินทองมากมายๆ) จะตั้งกองทุนหรือมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือนักเรียนเรียนดีแต่ยากจน อยากจะให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสทางการศึกษา เพราะหากพวกเขามีโอกาสได้เล่าเรียน พวกเขาก็จะเป็นคนดี (ไม่จำเป็นจะต้องคนเก่งก็ได้ เพราะคนดี เมื่อทำอะไรก็จะมีแต่เรื่องที่ดีๆ) อย่างไรก็ดี ขณะนี้ผู้เขียนไม่ได้เป็นอย่างนั้น (ไม่ได้ร่ำรวย เงินทอง) แต่ผู้เขียนตั้งใจไว้เสมอว่า จะบริจาคในสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นเป็นรอบๆ นั่นคือ การบริจาคโลหิต และก็ได้ทำเป็นประจำ (โดยเฉพาะการบริจาคเกร็ดเลือด ซึ่งสามารถบริจาคได้ทุกๆ 1 เดือน) ก็คิดว่า การบริจาคดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่ต้องการนั้นได้ประโยชน์

และอีกประการหนึ่ง ที่อยากจะเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันบริจาค และเป็นสิ่งง่ายๆ และทำได้เลย นับตั้งแต่วันนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ คือ การบริจาคเวลาของเราให้กับองค์กร คือ มาทำงานเร็วขึ้น 10 นาที กลับบ้านหลังเวลา 10 นาที ซึ่งเวลา 20 นาทีที่ท่านบริจาคให้ท่านนำไปใช้ในการจัดเก็บโต๊ะทำงานของท่านให้เรียบร้อย สะอาด เป็นระเบียบ ถ้าหากทุกคนในองค์กรร่วมกันบริจาคได้ดังนั้นแล้ว จะทำให้องค์กรของเราน่าอยู่เป็นอย่างมากเลยครับ จริงแล้วมีเรื่อง บริจาค ที่เราสามารถทำได้เลยอีกมากมาย ครับ เพียงแต่ท่านมีจิตที่ต้องการเห็นคนอื่นๆ มีความสุข ผู้เขียนเชื่อว่าท่านจะสามารถบริจาคได้มากยิ่งๆ ขึ้น

สุดท้ายนี้ ผู้เขียน ก็อยากจะเชิญชวนอีกครั้ง ให้ทุกท่านมาร่วมกับนิสัยให้เกิดการบริจาคจนเป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกๆ วัน (เป็นรอบๆ รอบ 1 วัน รอบ 1 สัปดาห์ รอบ 1 เดือน รอบ 1 ปี) เพื่อจะทำให้องค์กรของเรา สังคมของเรามีแต่ความสุข เพราะการบริจาค ก็เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นๆ ครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ผิด . . . หวัง

วันนี้ขออนุญาตมาแปลกครับ คือเรื่องของ ผิด

ผิด ความผิด เป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นใครอายุเท่าไร การงานอาชีพอะไรก็ตาม ความผิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราไม่ได้ทำตามที่กฎธรรมชาติ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศต่างๆ ที่มีมนุษย์ได้จัดทำไว้ แต่สำหรับกฎธรรมชาตินั้นเราไม่สามารถกำหนดได้ ทุกคนล้วนจะต้องทำตามกฎธรรมชาติ ใครที่ฝืนกฎธรรมชาติมักจะได้รับความเดือดร้อน อย่างไรก็ดี บางครั้งนั้น สิ่งที่เราคิดว่าไม่ิผิด แต่มันผิดเพราะคนอื่นๆำ เขากำหนดกดเอาไว้ก็เป็นได้

ส่วนอีกคำหนึ่งสำหรับวันนี้ คือ หวัง หรือ ความหวัง ความคาดหวัง เป็นสิ่งที่มนุษย์คนเราได้กำหนดไว้ในอนาคตว่าอยากจะได้อย่างนั้น อยากจะได้อย่างนี้ อยากจะเป็นโน้นอยากจะเป็นนี่ อยากประสบความสำเร็จ อยากจะได้เขามาเป็นแฟน อยากจะดู อยากจะไป สรุปง่ายๆ คือ ความอยาก หรือที่เรียกว่า กิเลส นั้นเอง หวังไว้สูงๆ เกินกว่าความสามารถของตัวเราเอง (คือ ไม่ประเมินตัวเอง หรือที่เรียกว่า รู้ตัวตนของเรา) ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เห็นภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียน ขออนุญาตให้ตัวอย่างประกอบ ดังนี้

เด็กชายคนหนึ่ง เอาเป็นว่า ชื่อ ชาย ก็แล้วกันจะได้เรียกง่ายๆ เป็นเด็กบ้านนอกอยู่ต่างอำเภอ เขาจบ ม.3 แล้วคิดว่าอยากจะเรียนช่างยนต์ (เพราะเขาชอบเรื่องรถ ทั้งรถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถยนต์) อยากเรียนเทคนิค ชายก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะสมัยก่อนการจบ ม.3 แล้วเข้าเรียนต่อเทคนิค อาจจะไม่ยากสักเท่าไร แต่อยู่วันหนึ่งแม่และน้าของชาย บอกว่า "เองน่าจะไปลองสอบโรงเรียนประจำจังหวัดดู" สอบได้ก็เรียน สอบไม่ได้ก็เรียนที่เทคนิค เมื่อชายได้ยินดังนั้น เขาก็เริ่มคิดว่า ถ้าไปสอบโรงเรียนประจำจังหวัดก็ต้องรีบอ่านหนังสือ และในทีสุดเขาก็สรุปได้ว่า เขาจะเริ่มอ่านหนังสือ โดยวันแรกชายคิดว่า อ่านหนังสือได้เท่าไร ก็เอาที่สรุปที่อ่านได้เขียนไว้ข้างฝาห้องนอน (จริงแล้วชายไม่มีห้องนอนหรอกครับ มีเฉพาะฝาบ้าน) วันแรกก็ไม่เท่าไร แต่วันต่อๆ ไป ไอ้ที่สรุปไว้เริ่มติดข้างฝามากยิ่งๆ ขึ้น แต่ชายก็ต้องอ่านสรุปก่อนนอนทุกวัน เพื่อจะได้ช่วยในเรื่องความจำ ชายคิดเพียงแต่ว่าไปสอบแล้วขอให้ได้เรียนที่โรงเรียนประจำัจังหวัดเท่านั้น นั้นคือ ความหวังของชาย และแล้ววันประกาศผลสอบก็มาถึุง ชายไปดูผลสอบโดยตื่นนอนแต่เช้ามืดเดินทางจากบ้านนอกสู่ตัวจังหวัด ชายตื่นเต้นมาก เขามีความหวัง เขามีความอยาก ชายเริ่มดูผลสอบตั้งแ่ต่ลำดับสุดท้ายไปเรื่อยๆ จนไปถึงลำัดับที่ 42 ชายก็ต้องหยุดดูผลสอบต่อ เพราะ คนที่สอบได้ลำดับที่ 42 นั้น เป็นนักเรียนทีุ่ 1 ของโรงเรียนที่ชายจบ ม.3 มาและเป็นที่ 1 ของอำเภอ ความหวังของชายแทบจะสูญสิ้นไป หัวใจแทบจะหมดพลังกำลัง น้ำตาของเขาเริ่มที่ไหลออกมา พร้อมในใจก็คิดว่า "จะกลับไปบอกพ่อกับแม่ว่าอย่างไรดี...." ชายหันหลังให้กับกระดานประกาศผล เดินกลับไปที่ประตูทางเข้าของโรงเรียนประจำจังหวัด ขณะนั้นเอง มีเพื่่อนของชายคนหนึ่งเขามาถามเขาว่า "มึงเป็นอะไร ทำไมมึงถึงหน้าเศร้า" ชายก็ตอบไปว่า "กูสอบไม่ติดวะ" เื่พื่อนคนนั้น กล่าวออกมาเสียงดังว่า "มึงจะบ้าหรือ มึงสอบได้ตั้งที่ 7" ชายได้ยินอย่างนั้น เขารีบวิ่งไปที่กระดานประกาศผลอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่มีพลังกำลังและความหวังอีกครั้งว่าจะเป็นจริงตามที่เพื่อนพูดหรือไม่ และแล้วในที่สุด ชายก็เห็นชื่อของเขา เป็นผู้ทีสอบผ่านการเข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดลำดับที 7 ความหวังของชายก็เป็นจริง

จะเห็นว่า เมื่อไรก็ตามที่เราหวังอะไรที่ต่ำๆ แล้วเราทำได้เกินกว่าที่หวังนั้น จะมีความสุขอย่างมาก และหากเราทำอย่างนี้บ่อยๆ จิตและสมองจะทำงานสัมพันธ์กันเป็ยอย่างดีและจะมีความสุขบ่อยๆ เช่นกัน อย่างไรก็ดี ในทางตรงกันข้าม หากเราหวังอะไรที่สูงๆ แล้วเราทำไม่ได้ รับรองได้เลย จะมีคำว่า "ผิดหวัง" เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ครับ

มนุษย์เรานี้ก็แปลกดี มีแต่ผิดหวัง มันน่าจะมีคำว่า ถูกหวัง บ้างนะ ( เพราะ ผิด ตรงข้่ามกับ ถูก) ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเราทุกคนทำเรื่องที่ถูก เรื่องที่ถูกต้อง ที่ถูกที่ควรที่พอดีพองาม ตามธรรมชาติ ตามข้อเท็จริงทีเป็นอยู่ (และอนาคตก็เป็นอยู่) ผู้เขียนรับรองได้ว่า เราจะไม่มีคำว่า "ผิดหวัง"

มนูญ ศรีวิรัตน์

กำลังใจ

มีนักศึกษาบอกว่าให้เขียนเกี่ยวกับเรื่อง กำลังใจ ผู้เขียนเองไม่ต้องคิดเลยว่าจะไม่เขียน พออ่านข้อความของนักศึกษาแล้ว ผู้เขียนรีบตั้งสติ และตั้งชื่อเรื่องเลยว่า กำลังใจ

กำลัง เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีพลังงานมีแรงมากยิ่งขึ้น ถ้าหากร่างกายต้องการกำลัง เราจะต้องรับประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัยให้ครบทุกหมู่อาหาร ที่นี้ ถ้าเป็นกำลังใจ ก็ควรจะต้องทำเหมือนกัน กล่าวคือ จะต้องทำให้ใจของเราได้รับสารที่กระตุ้นให้มีพลังก้าวไปข้างหน้า ครับฟังดูง่ายๆ แต่อาจจะทำยากมาก ที่นี้แล้วเราจะทำอย่างไรดีครับ เรามาเริ่มต้นได้เลยเพื่อจะมีกำลังใจ โดยการบอกตัวเองว่า เราต้องทำได้ เราต้องทำได้ เราจะไม่เป็นผู้แพ้ การบอกตัวเองดังกล่าว เป็นการใช้จิตของเรา หากท่านต้องการให้ได้ผลมากยิ่งขึ้น ให้ท่านหาที่สงบเงียบเพื่อตั้งสติและสมาธิ แล้วเริ่มต้นใช้จิตบอกกับตัวของเราว่า "เราทำได้อย่างแน่นอน" "เราจะไม่เหนื่อย"

ถ้าหากจิตของเราเข้มแข็ง ไม่เหนื่อยแล้ว ตัวร่างกายของเราจะเริ่มเข้มแข็งไปด้วยและจะเริ่มมีพลัง ด้ังคำกล่าวที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ด้วยเหตุนี้ กำลังใจ จะต้องใช้จิตของเราในการเติมเพิ่มพลัง และใช้จะจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพก็อาจจะโดยการนั่งฟังเพลงบรรเลง (เน้นความถึ่ต่ำ เช่น Prajna Paramita) หรือที่สงบเงียบเพื่อให้เรามีสติ มีสมาธิ เราอย่าปล่อยให้ กายเป็นนาย จิตเป็นบ่าว ก็แล้วกัน เมื่อเหนื่อยล้าร่างกายก็ต้องการพักผ่อน เราก็พักผ่อนตามธรรมชาติของร่างกาย อย่าไปฝืนธรรมชาติของมัน ซึ่งในขณะเดียวกันเราลองใช้จิตของเราบอกตัวเรา บอกร่างของเราว่า พอแล้ว ลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป ลุกขึ้นมาเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่หน้าของเรา เราพร้อมที่จะเป็นผู้ชนะ เป็นผู้ที่สามารถทำได้ เอาน่า สู้กับมัน

ที่นี้ บางท่านอาจจะไม่สามารถทำได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น จำเป็นอย่างยิ่งทีจะต้องหาใครสักคนที่เขามีำพลังกำลังใจที่ดี มีกำลังที่มากกว่าเรา เข้ามาช่วยเหลือเรา เข้ามาแนะนำเรา ใกล้ตัวเราที่สุดในครอบครัว คือ คุณพ่อ คุณแม่ พี่ๆ ของเรา ญาติของเรา ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนมีความรักที่บริสุทธิ์ต่อเรา เขาพร้อมที่จะให้กำลังใจกับเรา อย่างไรก็ดี หากเราจะต้องห่างไกลกับบุคคลเหล่านั้นที่กล่าวมา เราจะต้องหาใครสักคน ที่เราคิดว่าจะสามาถช่วยเราได้ เข้าพบคุณครูถ้าหากกำลังเรียนหนังสืออยู่ (ควรเลือกอาจารย์ที่ดีมีเวลาให้กับเรา) เข้าพบหัวหน้าถ้าหากกำลังทำงานอยู่ (ควรจะเลือกดูัหัวหน้าที่เป็นคนดี ไม่ใช่คนเก่ง) และหนทางหนึ่งที่สำคัญ คือ การเข้าวััดฟังธรรม เพื่อจะได้ทำให้จิตสงบ แล้วจะเกิดพลังกำลังใจตามที่กล่าวมาตั้งแต่เริ่มต้น

สำหรับ ใครคนหนึ่ง นั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเอามากๆ เพราะสังคมไทยได้เปลี่ยนไปมีแต่ชิงดีชิงเด่นกัน มีแต่เอารัดเอาเปรียบกัน จะหาคนที่คอยให้กำลังใจนั้นน้อยลงไปทุกๆ วัน แต่เราก็จะต้องพยายามต่อไป เพราะผู้เขียนเชื่อว่า จะต้องมีใครสักคนที่จะมาให้กำลังใจ ครับ ประเทศไทยของเราก็นับว่าโชคดีที่เราเหมือนกันที่เรายังพอจะมีเพลงที่เกี่ยวกับกำลังใจเพลงหนึ่ง ซึ่งบางท่านคงทราบดี คือ เพลงชื่อ กำลังใจ ของศิลปิน : โฮป

ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึงและคอยห่วงใย
ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใคร ปลอบใจสักคน
ในวันที่โลกร้าง ความหวังให้วาด มันขาดมันหาย ใครจะช่วยเติม
เพิ่มพลังใจ ให้ฉันได้เริ่ม ต่อสู้อีกครั้ง บนหนทางไกล
..กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่ ให้ชีวิตได้มีแรงใจ
ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฉันได้ไหม
ดั่งหยาดฝน บนฝากฟ้าไกล ที่หยาดริน สู่พื้นดินแห้งผาก

ครับ หากเราไม่ทดลองเราไม่รู้หรอกครับ ว่าเราสามารถทำได้ ดังนั้น กำลังใจของท่านจะกลับคืนมา ท่านจะมีพลังกำลังใจที่กล้าหาญมากยิ่งขึ้น ท่านจะมีพลังในการต่อสู้กับเรื่องต่างๆ อย่างแน่นอน โดยใช้จิตที่บริสุทธิ์ของท่าน

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ต่อ กับ สู้

มนุษย์เราเกิดมานั้นก็เพื่อเจริญเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการพัฒนาด้านการศึกษา หน้าที่และการงาน ซึ่งการที่จะเป็นอย่างนั้นได้ จะต้องมีการพัฒนา เจริญ ก้าวหน้า ทำให้ดีขึ้น หรืออาจจะเรียกง่ายๆ ว่า มีการต่อ เพราะคำว่า ต่อ หมายถึง เพิ่มให้ยึดออกไป เพิ่มให้ยาวออกไป จะเห็นว่า เราทุกคนต่างก็ทำอะไรต่างๆ ตั้งแต่เด็กนั้นให้เพิ่มยึดออกไป เพิ่มให้ดีขึ้น เพิ่มให้สมบูรณ์ขึ้น ด้วยเหตุนี้ การทำอะไรก็ตามแต่ที่มีการต่อนั้นมักจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอ และประการสำคัญ คือ ควรจะต้องทำอย่างไม่ขาดตอน หรือ ที่เรียกว่า ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม หากเมื่อไรถ้าเราทำอะไรอยู่แล้วเกิดเหนื่อยล้าจากสิ่งนั้นๆ เราอาจจะหยุดพักเสียก่อนเพื่อให้มีกำลัง มีสติเพื่อจะเดินหน้าต่อ เพื่อทำงานต่อ ท่านผู้อ่านเห็นหรือยังครับว่า คำว่า ต่อ มีความหมายในตัวของมันเป็นอย่างดียิ่ง เพื่อทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เพราะหลายๆ ครั้ง อาจจะเคยได้ยินว่า เป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน ดังนั้น จะต้องใช้คำว่า ต่อ เสมอ

ที่นี้ มาดูคำว่า สู้ ผู้เขียนคิดว่า ผู้อ่านทุกท่านก็คงจะทราบดีว่า สู้ หมายถึง การเอาชนะกันด้วยกาย อาวุธ หรือ สติปัญญาความสามารถที่มีอยู่ แต่ผลการของการสู้ มีทั้งแพ้ หรือ ชนะ หรือ เสมอ มนุษย์เราทุกคนล้วนจะต้องเอาชนะสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เอาชนะธรรมชาติ เอาชนะศัตรู ที่สำคัญที่สุด คือ การเอาชนะตัวเอง

สู้ ทำให้เราจะต้องหาหนทาง หากลยุทธ์ หาวิธีการต่างๆ เพื่อได้มาซึ่งชัยชนะ หลายๆ เราสู้แล้วเราแพ้ แพ้แล้วแพ้อีก หรือที่เรียกว่า แพ้วันยังค่ำ คือหมายถึง แพ้แน่นอน ถ้าหากการสู้แบบนั้นแล้วรู้ว่าผลจะออกมาว่าแพ้แน่นอน บางครั้งเราก็ไม่อยากจะสู้ แต่ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าหากเราลองเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนความคิดใหม่ ให้เป็นการ ต่อสู้ ซึ่งหมายถึง สู้เพื่อเพิ่มให้ดีขึ้น สู้เพื่อเพิ่มให้สมบูรณ์ขึ้น สู้เพื่อให้ได้ชัยชนะในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ต่อสู้ เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร ทำงานอะไร จะเรียนอะไร จะทำสิ่งใด ขอเพียงเรามีใจที่จะต่อสู้ เพราะสักวันหนึ่งเราจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน ดังตัวอย่างเรื่องสั้นต่อไปนี้

"ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมติว่า ชื่อ หญิง เขาเรียนจบมัธยมศึกษชั้นปีที่ ๖ แต่เนื่องจากที่เรียนหนังสือไม่เก่ง ฐานะก็ยากจนพ่อแม่มีอาชีพทำนา จึงเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนในสถาบันอุดมศึกษาระบบเปิดพร้อมทั้งทำงานไปด้วย แต่ก็เรียนไม่จบ ต้องกลับมาที่บ้านเกิด และมีสามีในที่สุด โดยมีลูกด้วยกันสองคน สามีทำงานในสำนักงานที่มีห้องปรับอากาศที่เย็นสบาย ส่วนหญิงเองต้องทำงานทั้งงานบ้านและงานรับตัดเย็บเสื้อผ้าไปด้วย แต่ชีวิตของมนุษย์เราไม่แน่นอน อยู่มาวันหนึ่งหญิงต้องแยกทางจากสามี เนื่องจากเขาไปมีคนอื่นๆ หญิงก็ต้องเฝ้าทนเลี้ยงลูกทั้งสองด้วยความลำบาก แต่หญิงก็ไม่ย้อท้อ อดทนต่อสู้ รับงานพิเศษที่ตลาดสดในช่วงตอนเช้ามืดตั้งแต่ประมาณเวลาตีสี่ตีห้า ตอนเย็นประมาณห้าโมงหกโมงเย็นก็รับงานเก็บของที่ตลาดสดเช่นกัน ช่วงกลางวันและช่วงกลางคืน หญิงก็จะรับงานตัดเย็บเสื้อผ้า จะเห็นว่าในเวลา ๒๔ ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น หญิงแทบจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเอาเสียเลย (เข้านอนเี่ที่ยงคืนตื่นตีสี่) แต่หญิงได้ต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อลูกทั้งสอง หญิงอดออมเก็บเงินที่หามาได้ความลำบาก เพื่อวันหนึ่งเขาจะมีร้านรับซักแห้งร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความฝันที่หญิงตั้งใจไว้ และแล้วในที่สุด การต่อสู้ของหญิงก็ประสบความสำเร็จ จากการต่อสู้กับปัญหาของครอบครัวที่ขาดสามีขาดพ่อของลูกๆ จากปัญหาของการเลี้ยงลูกทั้งสองด้วยตัวคนเดียว จากปัญหาของการประกอบอาชีพ หญิงต่อสู้ด้วยจิตใจที่ไม่ย้อท้อและเข้มแข็ง โดยหญิงบอกตัวเองเสมอทุกเวลาทุกวันว่า จะต้อง ต่อสู้ เพื่อชีวิตที่ดีในวันหน้า วันนี้ ผู้เขียนจึงขอเรียกหญิงว่า คุณหญิง "

ครับ วันนี้เป็นต้นไป เรามาตั้งใจนำคำว่า ต่อ กับ สู้ มารวมกัน ให้เป็น ต่อสู้ แล้วเราจะชนะไปทุกเรื่อง
มนูญ ศรีวิรัตน์


วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

เพลงนั้นสำคัญไฉน

สืบเนื่องจากที่ท่านโสภณ สุภาพงษ์ ได้บรรยายพิเศษภายใต้หัวข้อเรื่อง เพลงสร้างจิต เรียนรู้ได้จริงหรือ?(http://ubumukajmanoon.blogspot.com/2010/09/blog-post_5404.html) ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังเพลง Scarborough Fair (ไม่ใช้เพลง scar ของ SHINee นะครับ) และมีผู้รู้ความหมายของเพลงนี้ โดยหลายๆ ท่านได้เขียนไว้ใน Blog ต่างๆ เช่น http://www.oknation.net/blog/print.php?id=30442 เป็นต้น

และหลายๆ ท่านก็ให้ความหมายไว้ดีมากๆ ว่าเป็น มหัศจรรย์แห่งความรัก

เพลงมหัศจรรย์แห่งความรักนี้สำคัญไฉน เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรให้ความสนใจและให้ความสำคัญ เพราะว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรานั้นมีความสุขจากการฟังเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงช้าๆ เพลงที่มีความถี่ต่ำ จะทำให้เรานั้นมีสมาธิ เกิดสติขึ้น ได้คิดได้ทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา

เพลงสามารถทำให้เราได้คิดถามว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือไม่ หลายๆ เพลงให้แง่คิดที่ดีมากๆ สำหรับการดำรงชีวิตของเรา สำหรับการปฏิบัติงานของเรา หากเราพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าคนแต่งเพลงนั้น เป็นบุคคลที่มีความสามารถเป็นอย่างยิ่งที่จะสื่อความหมายของคำต่างๆ ถ่ายทอดเชื่อมโยงให้เราได้ฟัง เพื่อคำที่เขาเรียกว่า "ซึ้งในบทเพลง"

ดังนั้น หากวันนี้ เรามาร่วมกันฟังเพลงที่สร้างสรรค์ในความรักความสามัคคีของคนในองค์กร ในสังคม ในชุมชน ในชาติ เราสามารถที่จะรวมกันจิตใจเป็นหนึ่งเดียวด้วยเสียงเพลง และเช่นเดียวกันผู้เขียนเชื่อว่ามีเพลงหนึ่งเพลงที่ทุกคนชนในชาติไทยของเราถ้าได้ฟังได้ร่วมกันร้องแล้วละก็จะต้องมีความสุข มีความปิติ มีทุกสิ่งทุกอย่างทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ท่าน คือ เพลงสรรเสริญพระบารมี

ที่นี้ ขอกลับมาที่เพลง Scarborough Fair อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วว่า มีผู้ให้ความหมายหรือแปลไว้เป็นอย่างดีมากมายตามที่เราทราบ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้เขียนจะขออนุญาตเพิ่มเติม คือ ส่วนที่ว่า a true love of mine คำำๆ นี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ ต้องการได้รับ

นั้นหมายความ ลูกๆ ก็ต้องการความรักที่แท้จริงจากคุณพ่อคุณแม่
ลูกศิษย์ นักเรียน นักศึกษา ก็ต้องการความรักที่แท้จริงจากครูบาอาจารย์
โดยความรักที่ว่า คือ ความรักในการที่ให้ความรู้ องค์ความรู้
ข้อคิดเห็น ข้อประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์
ลูกน้อง ก็ต้องการความรักแท้จากเจ้านาย โดยความรักที่ว่า คือ ความรักใน
ฐานะที่ต้องการให้ดูแลช่วยเหลือในการทำงาน เมื่อยามได้รับความ
เดือดร้อนในด้านต่างๆ


ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นลูก เป็นลูกศิษย์ เป็นลูกน้อง เป็นพ่อแม่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นเจ้านาย ถ้าต่างๆ คนรู้จักหน้าที่ของตัวเราในฐานะที่เป็นอยู่และต่างมอบความรักที่แท้จริงของตัวเองให้กับอื่นๆ ตามสถานะเช่นกัน ผู้เขียนเชื่อได้ครับว่า โลกนี้มันจะเป็นโลกของสีชมพูที่มีแต่ความรัก และเป็นความรักแท้ที่แน่นอนมั่นคงตลอดไป ขอให้กำลังใจสำหรับทุกท่านที่กำลังจะฟังเพลง เพื่อสร้างจิตในการเรียนรู้ชีวิตให้มากขึ้น ครับ ก่อนจบเรามาร่วมกันฟังเพลง Scarborough Fair พร้อมกันอีกครั้งครับ




มนูญ ศรีวิรัตน์

สิ่งที่ . . . ที่สุด คือ . . .

ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าเคยอ่านหนังสือที่ไหน และได้กล่าวคำคม ไว้ดังนี้

สิ่งที่ หนา ที่สุด คือ หน้า

สิ่งที่ บ้า ที่สุด คือ ใจ

สิ่งที่ ไว ที่สุด คือ ปาก

สิ่งที่ มาก ที่สุด คือ อารมณ์

สิ่งที่ คม ที่สุด คือ คำพูด

ผู้เขียนต้องขอคารวะผู้คิดข้อความข้างต้น ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองเห็นตัวเราได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้เราได้คิด ได้ทบทวนว่า ตัวเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ แน่นอนครับ ถ้าผู้อ่านได้ คิดทบทวนได้ด้วยท่านจะเข้าใจว่าความหมายเป็นอย่างไร แต่สำหรับสิ่งที่ผู้เขียนจะขอเพิ่มเติมจากข้างต้นนั้น คิดว่าน่าจะมีประโยชน์เพิ่มเติมต่อการดำรงชีวิต การใช้ชีวิต การทำงาน การเรียน ของพวกเราทุกคน ดังนี้

สิ่งที่ หนา ที่สุด คือ หน้า

สิ่งที่ บ้า ที่สุด คือ ใจ

สิ่งที่ ไว ที่สุด คือ ปาก

สิ่งที่ มาก ที่สุด คือ อารมณ์

สิ่งที่ คม ที่สุด คือ คำพูด

สิ่งที่ บูด ที่สุด คือ หน้าของเรา

นั้นหมายความว่า ทุกสิ่งกลับไปที่หน้าของเรา ที่เรียกว่า หน้าบูด ที่นี้หน้าบูดเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ไม่ยากครับท่าน เพียงแต่ท่านลองไม่พอใจเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่งในขณะนี้ต่อหน้าท่าน รับรองได้เลยครับว่า หน้าของท่านจะบูดทันที และการที่บูดนี้แหละ ทำให้เกิดของเหม็นขึ้นมาด้วยทันทีเช่นกัน เพราะสิ่งของอาหารต่างๆ ที่บูดแล้วจะส่งกลิ่นที่เหม็นมากออกมาเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใบหน้าของเราแทบทั้งสิ้น ทั้ง จะหนา จะมีอารมณ์ จะบ้า จะโกรธ จะลุ่มหลง ก็ตามแต่ที่เขาบอกว่าใบหน้าคือสิ่งที่บอกซึ่งจิตใจของหน้าคนๆ คนนั้น เป็นเรื่องจริงครับ ที่นี้เราจะควบคุมใบหน้าของเราได้อย่างไรดี มีเพียงหนึ่งเดียวที่จะกระทำได้ คือ การสั่งจิต ให้จิตมีสติ มีสมาธิ มันโกรธขึ้นมาใช้สติ จิต ระงับในทันที (ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่เร็วมาๆ เสี้ยววินาที) แต่ถ้าหากเราลองฝึกบ่อยๆ มันเกิดปุ๊บ ให้มันดับปั๊บ ของมัน นั้นหมายความว่าท่านจะต้องใช้สติ จิตที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อจะไม่ให้ใบหน้าของเราแสดงอาการออกมา ผู้เขียนเองก็ยังทำไม่ได้หรอกครับ มีแต่พูด แต่อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันผู้เขียนก็พยายามฝึกอยู่ตลอดเวลา มันเกิดปุ๊บให้มันดับปั๊บ แทนที่จะเป็น เปิดปุ๊บติดปั๊บ เราก็เปลี่ยนใหม่เป็น เปิดปุ๊บปิดปั๊บ ให้มันดับไปเลย มาลองกันนะครับ ลองวันนิดจิตของเราจะแจ่มใส

ท่านใดที่จิตดี ใบหน้าจะดีแจ่มใส่ ท่านใดที่เป็นทุกข์เดือดร้อน ใบหน้าก็ร้อนไปด้วย หากใบหน้าที่ร้อนอยู่เป็นประจำจะมีพลังงานความร้อนที่เซลล์ของใบหน้าทำให้เสื่อมสภาพจากความร้อน ดังนั้น หากท่านใดที่มีอาการร้อนที่ใบหน้าละก็สามารถลดความร้อนดังกล่าวโดยการใช้สติ คิด ฝึกจิตให้มีเหตุมีผล เชื่อได้เลยครับว่าใบหน้าของท่านจะค่อยคลายความร้อนและเย็นในที่สุด เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ท่านจะพบว่าในโลกนี้มันมีแต่ความสุข เพราะหน้าของเราก็ไม่ร้อนมีแต่รอยยิ้ม เมื่อมีรอยยิ้มเกิดขึ้น ทุกอย่างในโลกนี้มันช่างสดใสเหลือเกินครับท่าน

มนูญ ศรีวิรัตน์

มะม่วง

ผู้เขียนได้อ่านหนังสือธรรมะของท่านหลวงปู่ชาแห่งวัดหนองป่าพง (อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี) เล่มหนึ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า มะม่วงมันอยู่สูงห้าเมตร เราอยากได้ เอาไม้สิบเมตรมาสอยไม่ได้ มันยาวเกินไป เอาไม้สองเมตรมาสอยมันก็ไม่ได้ ไม่พอดีมันสั้นเกินไป เราอย่าเข้าใจว่า คนจบดอกเตอร์มาปฏิบัติสบายเหลือเกิน เพราะเรียนรู้มาพอแล้ว อย่าเข้าใจอย่างนั้น ดอกเตอร์มันยาวเกินไปก็ได้

หลายๆ ท่านที่อ่านข้อความข้างต้นคงจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามีความหมายว่าอย่างไร ซึ่งผู้เขียนเองเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า บางอย่างนั้นจะต้องเหมาะสมพอดีกับสิ่งที่มันเป็นอยู่

แต่ที่จะกล่าวถึงในวันนี้ คือ ชื่อเรื่องที่ว่า มะม่วง มะม่วงนั้นมีหลายชนิดหลายประเภทมีผู้คนมากมายที่ชอบในรสชาติที่แตกต่างกันไป มะม่วงดิบก็ชอบ มะม่วงสุกก็ชอบ มะม่วงดิบก็สามารถกินกับน้ำปลาหวาน มะม่วงสักรับประทานกับข้าวเหนียวได้ กลายเป็นข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วงสุกมากๆ ก็ทำเป็นมะม่วงกวนซะเลย จะเป็นว่ามะม่วงเป็นผลไม้ที่รับประทานได้ทั้งตอนดิบและตอนสุก ไม่เหมือนกับผลไม้อย่างอื่น (น้อยหน่ากินตอนสุก ขนุนก็กินตอนสุก เท่านั้นเป็นต้น) แสดงให้เห็นว่ามะม่วงนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนหนุ่มดิบก็กินได้มีประโยชน์ ตอนแก่สุกก็กินได้มีประโยชน์

ถ้าหากมนุษย์เราเป็นดังมะม่วงก็คงจะดีนะครับ คือ เมื่อเป็นหนุ่มสาวก็มีศักยภาพมีประโยชน์ขยันในการศึกษาเล่าเรียน ทำงาน เมื่อแก่ตัวไปก็ยังขยันทำงานปฏิบัติตัวดีเป็นประโยชน์ไม่เสื่อมคลาย แก่ตัวมากๆ ก็ยังไม่ยอมให้ตัวเองหมดคุณค่าก็ยังทำงานสะสมความดีไปตลอด ท่านอยากเป็นอย่างมะม่วงหรือเปล่าครับ ถ้าหากจะเป็นอย่างมะม่วงก็ควรจะต้องกลับไปอ่านข้อความที่หลวงปู่ชาได้กล่าวไว้ข้างต้นอีกสักครั้งหนึ่งด้วยความรอบครอบและตั้งสติให้ดีทบทวนให้ดีว่า เราควรจะทำอย่างไร

แต่ที่แน่ๆ คือ ถ้าทุกอย่างเรากระทำด้วยความพอดีกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ ที่เรามีอยู่ ไม่กระทำใดๆ ที่เกินเลย เกินกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและของธรรมะ ท่านสามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นดั่งมะม่วงได้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราบางครั้งมันก็ไม่พอดี บางครั้งมันก็เกินไป แต่ถ้าหากพิจารณาให้ดีกับสิ่งที่เรามีอยู่ว่าเหมาะสมแล้ว พอควรแล้ว ไม่เกิน ไม่มากไป ไม่น้อยไป แล้วละก็จะทำให้เราไม่เกิดทุกข์ขึ้น ซึ่งเขาเรียกว่า ไม่เกิดกิเลสนั่นเอง ที่กล่าวมาผู้เขียนเองก็ทำไม่ได้หรอก เพราะยังไม่สามารถที่จะฝึกปฏิบัติได้ แต่ก็กำลังพยายาม และจะพยายามต่อไป เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องหาความพอดีให้กับตนเองให้ได้ และจะเป็นความพอดีที่เหมือนกับลักษณะของมะม่วงดังที่กล่าวมาแล้ว

สุดท้ายนี้ เรามาช่วยกันปลูกต้นมะม่วงเพื่อจะได้ผลมะม่วงทั้งดิบและสุกกันตั้งแต่วันนี้ แต่เป็นการปลูกในจิตใจของเรา นั่นคือ การทำความดีที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะอายุจะมากหรือน้อยก็ตามแต่ แล้วเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วผู้เขียนเชื่อว่า เราทุกคนจะพบกับความสุขที่เป็นความสุขทั้งเปรี้ยวและความสุขทั้งหวานตามระยะเวลาของอายุของเรา

มนูญ ศรีวิรัตน์

น่าจะรู้จัก

ผู้เขียนคิดว่าหลายๆ ท่านคงจะเห็นมีความรู้สึกว่า น่าจะรู้จัก และมีความรู้สึกว่าเสียดายที่พลาดโอกาสดังกล่าวไป ท่านเชื่อหรือไม่ครับ ว่าในโลกใบนี้ของเรานั้น โอกาสที่เราจะประสบกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักในแต่ละวันนั้นมีมากมายเหลือเกิน (อย่างไรก็ดี ถ้าหากท่านอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ อยู่บ้านเล็กๆ และไม่ออกไปพบปะผู้คนเลย รับรองได้เช่นกันว่าท่านจะไม่รู้จักประสบพบกับใครอย่างแน่นอนเช่นกัน) บางครั้งเราอาจจะมีความรู้สึกว่า คนนี้เราเคยพบที่ไหนสักแห่งเป็นอย่างแน่แท้ แต่เราคิดไม่ออก ที่เป็นเหตุนี้ก็เพราะเราพบกับเขาเหล่านั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หรือไม่เคยพบเลยก็ได้

ที่นี้กลับมาที่กล่าวไว้แล้วว่า น่าจะรู้จักกัน ถามว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์หรือไม่ แน่นอนครับ การรู้จักอะไรสักอย่าง เป็นเรื่องที่เราที่เป็นมนุษย์ควรที่รู้ควรที่จะเรียนรู้ในพบกับความจริงของสิ่งนั้นๆ ไอ้คำว่า น่าจะรู้จัก นี้ ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าเป็นเพียง น่าจะรู้จักกันระหว่างมนุษย์เท่านั้น แต่ผู้เขียนรวมความไปถึงสิ่งอื่นๆ ด้วย ซึ่งในที่นี้หมายถึง สิ่งของ เหตุการณ์ สิ่งต่างๆ ที่เกิดอยู่รอบตัวเราที่เกิดและดับให้เราได้เห็น ถามว่าแล้วมันจะมีประโยชน์อย่างไรกับเรา ครับ มีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รู้จักมัน ถ้าหากมันเป็นเรื่องที่ดี เราก็จะได้นำไปปฏิบัติประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหากว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นโทษ เรารู้จักแล้ว เราก็จะได้เป็นข้อเตือนใจ เตือนสติว่า เราจะไม่ทำแบบนั้น เราจะไม่แม้แต่คิดที่จะทำที่เลียนแบบ อย่างนี้เป็นต้น

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นคน หรือ มนุษย์ ด้วยแล้ว ถ้าหากเราได้รู้จักคนดี เพียงแค่เสี้ยวของวินาที และเรามีโอกาสที่จะได้คุยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ขอความคิดเห็น ขอคำแนะนำ ขอคำชี้แนะจากคนดีคนนั้นแล้ว เราก็ได้มีโอกาสได้นำข้อต่างๆ ที่ได้รับกลับไปคิดทบทวน ตั้งสติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาตัดสินประยุกต์กับตัวของเรา ด้วยเหตุนี้ เมื่อไรก็ตามที่เราได้มีโอกาสดังกล่าวแล้ว ควรจะต้องกระทำอย่างที่กล่าวไปแล้ว เพราะในอนาคต ท่านจะมารู้สึกคำว่าเสียดายภายหลัง แล้วกล่าวคำว่า น่าจะรู้จัก และผู้เขียนขอเสริมเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งคำ คือ คำว่า กัน เพื่อให้เป็นคำที่ว่า น่าจะรู้จักกัน ไอ้คำว่า กัน ก็แปลกดี เวลาอยู่คนเดียวแล้วมักจะไม่มีความหมาย แต่ถ้าหากไปรวมกับคำอื่นๆ แล้วจะมีความหมายเชิงบวกมากๆ เช่น รักกันและกัน ให้กันและกัน สัมพันธ์กัน ดูแลกัน พร้อมเพียงกัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี คำว่า กัน บางครั้งก็อาจจะมีความหมายทางลบ เช่น ซึ่งหน้ากันและกัน ประจันหน้ากัน เป็นต้น

น่าจะรู้จักกัน จะทำให้มนุษย์เราที่เป็นคนดีเกิดความสัมพันธ์ที่ดีช่วยเหลือกันในทางที่ดี คนดีที่เรารู้จักและมีศักยภาพ ถ้าหากเราเดือดร้อนและคนดีคนนั้นเขามีศักยภาพที่ช่วยเหลือเราได้ เขาก็จะได้บุญกุศลในการช่วยเหลือคนที่ลำบาก คนที่เดือดร้อนกว่า ซึ่งนับได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ของมนุษย์โลกให้มีความเอื้ออาทรต่อกัน โลกของเราก็จะมีแต่ความสุข ระบบอินเทอร์เน็ต Social Networks ที่เป็น Facebook ทำให้เราได้รู้จักกับคนอื่นๆ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนดีที่เราน่าจะรู้จัก แน่นอนครับเป็นเรื่องที่ยากมาก ยกเว้นแต่เราได้รู้จักประวัติของเขา ข้อมูลของเขา เราถึงจะเชื่อ ด้วยเหตุนี้ การให้ข้อมูลที่ไม่ปกปิดด้วยความจริงใจจะทำให้เราเป็นคนที่น่ารู้จัก เมื่อเรารู้จักกันแล้ว ช่วยกันแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ดีๆ ต่อกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะทำให้ทุกคนได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ มาช่วยกันรู้จักกันให้มากขึ้นนะครับ ภายใต้ ความดีให้กันและกัน แล้วในที่สุดเราจะไม่รู้สึกหรือกล่าวว่า น่าจะรู้จักกัน

มนูญ ศรีวิรัตน์

พอ . . . แล้ว . . .

ในหนังสือ ปรัชญาแห่งชีวิต เขียนโดย ไชย ณ พล

พอ ตอนเด็กๆ แล้ว พ่อแม่ก็สอนว่าครอบครัวสำคัญ

พอ ตอนไปโรงเรียน แล้ว ครูก็สั่งสอนทุกวันว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนมีเพื่อน แล้ว เพื่อนก็บอกว่าความสนุกสนานกับเพื่อนสัมพันธ์สำคัญ

พอ ตอนไปหาญาติผู้ใหญ่ แล้ว ผู้ใหญ่ก็บอกว่าการสร้างฐานะหาทรัพย์เงินทองเพื่อความอยู่รอดเป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนมีแฟน แล้ว แฟนก็บอกว่าความรักสำคัญ

พอ ตอนมีลูก แล้ว ลูกก็บอกเวลาเอาใจใส่ลูกเป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนทำงาน แล้ว ที่ทำทำงานก็บอกว่าความรับผิดชอบต่อประโยชน์ขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนมีลูกค้า แล้ว ลูกค้าก็บอกว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนมองเข้าไปในสภา แล้ว นักการเมืองก็บอกว่านโยบายของตนสำคัญ

พอ ตอนไปหาผู้ประสบความสำเร็จ แล้ว ผู้สำเร็จทั้งหลายก็บอกว่าการทำงานหนักเป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนป่วยไปหาหมอ แล้ว หมอก็บอกว่า อาหาร การออกกำลังกายและการพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนเหนื่อยใจไปหาพระ แล้ว พระก็บอกว่าวิเวกเป็นสิ่งสำคัญ

พอ ตอนตาย แล้ว ถึงมือสัปเหร่อ สัปเหร่อก็บอก ไม่เห็นมีอะไรสำคัญ

จะเห็นว่า พอ . . . แล้ว . . . ดังกล่าวข้างต้นล้วนแต่มีเหตุว่าเกิดจากอะไร ทำอะไร ต้องการอะไร แล้วมันจะเกิดอะไรตามมา หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างนั้น จะต้องมีเหตุและผล เหตุนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์เราต่างประสบพบเห็นหรือกำหนดขึ้นมาไม่ว่าจะจากตัวเองหรือคนอื่น รวมทั้งปัจจัยภายนอกที่เรากำหนดไม่ได้ เหตุที่เป็นกิเลสทำให้เราเป็นทุกข์ที่เป็นผลที่เกิดขึ้น ผลการเกิดทุกข์นั้นเราจำเป็นจะต้องแก้ที่เหตุ เพราะเมื่อไรก็ตามเราเข้าใจ เข้าถึงของเหตุที่เกิดขึ้นได้ว่าเพราะอะไร เราสามารถใช้จิตที่มีสติ มีสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาในการแก้ไขปัญหาสาเหตุได้

จากที่กล่าวข้างต้น ถ้าหากเราต้องการจะหยุด พอ . . . แล้ว . . . หรือทำให้มันหายไปหรือไม่เกิดขึ้นอีก เราสามารถที่จะกระทำได้โดยเพียงแต่ ทำให้มันมาอยู่ใกล้กัน เป็นเพียง พอแล้ว นั้นหมายถึงว่า เราจะต้องใช้ความกล้าหาญ ที่มีจิตแนวแน่ตั้งใจจริงในการที่กล่าวคำว่า พอแล้ว และลงมือกระทำปฏิบัติในสิ่งนั้นๆ ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์

ตัวอย่างเช่น หลายๆ ท่านที่เคยสูบบุหรี่ ซึ่งท่านเหล่านั้นล้วนทราบว่า พอ สูบบุหรี่ แล้ว จะทำให้เกิดโรคทางต่างๆ เกี่ยวกับทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นปอด วัณโรค เป็นต้น แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เขาได้ใช้จิตที่มีความกล้าหาญ กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าที่เปล่งวาจา ว่า พอแล้ว พอแล้วเราไม่เอาอีกแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า พอแล้ว ดังกล่าวจะมีคุณค่าอย่างมหาศาล

ที่ผ่านมาหลายๆ ท่านคงจะได้ลงมือทำหรือลงมือพูดคำว่า พอแล้ว คำดังกล่าวเป็นคำที่มีพลังอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงของชีวิต คนที่กล่าวหรือพูดหรือลงมือทำเกี่ยวกับ พอแล้ว ได้ จะเป็นคนที่จะต้องมีความตั้งใจจริง มีความแน่วแน่ที่จะหยุด ที่จะพอในสิ่งที่กระทำหรือสิ่งที่เป็นอยู่ อาจจะมีคำถามว่า พอแล้ว นี้ จะใช้ได้กับการเรียนได้หรือไม่ จะใช้ได้กับการประกอบอาชีพได้หรือไม่ ผู้เขียนคิดว่า พอแล้ว จะเหมาะสมกับเพียงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นเรื่องที่ไม่ดี เรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์ เรื่องที่ทำให้เกิดความเดือนร้อนกับตัวเรา ผู้อื่น สังคมและประเทศชาติ

วันนี้ ถ้าหากเราคนไทยมาเริ่มต้นมาพูด หรือ กระทำ เกี่ยวกับ คำว่า พอแล้ว ในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ เกิดโทษ เกิดความเดือนร้อน รับรองได้เลยว่าเราทุกคนในสังคม จะพบกับความสุขอย่างยั่งยืน เหมือนกับ คำข้างต้นที่ว่า พอ ตอนตาย แล้ว ถึงมือสัปเหร่อ สัปเหร่อก็บอก ไม่เห็นมีอะไรสำคัญ เราทุกข์ในโลกนี้ล้วนเอาอะไรไปไม่ได้ นอกจากความดีที่ได้สร้าง ได้กระทำต่อตนเอง ต่อคนอื่นๆ ต่อสังคม และต่อประเทศชาติ

มนูญ ศรีวิรัตน์