วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

หากต้องการ "เพิ่ม" ก็จำเป็นจะต้อง "หา"

ในช่วงนี้คนไทยคงจะได้ยินหรือทราบข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อโทรทัศน์หรือสื่อหลายๆ สื่อ โดยนักการเมืองหรือพรรคการเมืองต่างก็เสนอว่า "จะเพิ่ม" หลายสิ่งหลายอย่างให้กับประชาชน

เราต่างก็รู้กันดีว่า "เพิ่ม" หรือ "การเพิ่ม" นั้นทำให้มีจำนวนมาก หรือ จำนวนสูงขึ้น เช่น การเพิ่มน้ำหนักของร่างกาย ทำให้เรามีน้ำหนักสูงขึ้นมากขึ้น เป็นต้น

ครอบครัวทุกครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ล้วนต้องการเพิ่มคุณภาพให้กับลูกๆ ทั้งการเพิ่มคุณภาพชีวิต คุณภาพการเรียน จะต้องพาไปกวดวิชาทั้งวันหยุดหรือหลังจากเลิกเรียน ดังนั้น จะเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่นั้นมีความต้องการที่จะเพิ่มหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีๆ ให้กับลูกๆ

องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนก็ย่อมต้องการที่จะเพิ่มคุณภาพเพิ่มชื่อเสียงหรือแม้กระทั้งเพิ่มประสิทธิภาพประสิทธิผลขององค์กร (ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ) มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน ท่านอธิการบดีหรือท่านผู้อำนวยการต่างก็มีความต้องการ "เพิ่ม" คุณภาพ "เพิ่ม"ประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัยหรือของโรงเรียน อย่างไรก็ดี การเพิ่มความต้องการดังกล่าวนั้น ย่อมคู่กันกับ "การหา" ซึ่งการหาในที่นี้ คือ การหาทรัพยากรหรืองบประมาณ (เงิน) เพื่อ "เพิ่ม" คุณภาพประสิทธิภาพชองมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน แต่กล่าวสำหรับภาคเอกชนหากเขาต้องการเพิ่มคุณภาพเพิ่มประสิทธภาพ บริษัทนั้นๆ อาจจะออกหุ้นกู้หรือกู้เงินเพื่อนำมาสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพทำให้ผลประกอบการมีผลกำไร "เพิ่ม" มากยิ่งขึ้น จะเห็นว่าการ "หา" ดังกล่าว คือ การหาเงินลงทุนโดยการ "กู้"

แน่นอนครับ สำหรับประเทศไทย นักการเมืองหรือพรรคการเมือง ต่างก็โฆษณาประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อว่าจะเพิ่มอย่างนั้นอย่างนี้ให้กับประชาชน แต่สิ่งที่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองลืมบอกประชาชน คือ เมื่อต้องการเพิ่มแล้ว การหาจะเป็นอย่างไร จะเป็นการกู้เงินมาลงทุนหรือไม่ หรือ ทำอย่างไรที่จะเป็นการหางบประมาณเข้ามาเพื่อสำหรับการ "เพิ่ม" ที่นักการเมืองต้องการ

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามแต่ หากต้องการ "เพิ่ม" จะต้องรู้จักวิธีการ "หา" คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเพิ่มสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อลูกๆ ก็ย่อมจะต้องคิดหาวิธีการได้มาซึ่งงบประมาณ (เงิน) สำหรับการเพิ่ม ซึ่งหากไม่สามารถที่จะหาได้ ก็จะต้องพยายามลดในค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อนำส่วนต่างดังกล่าวไปเพื่อเพิ่มสำหรับสิ่งที่ต้องการทำให้ลูกๆ อันเป็นที่รัก ครอบครัวใดที่ต้องการเพิ่ม แต่ไม่สามารถที่จะหาเข้ามาทดแทนได้ ก็อาจจะเป็นการกู้หนี้ยืมสิน อันนี้แหละครับที่ทำให้เกิดความทุกข์ในครอบครัว และเช่นเดียวกันถ้าหากเป็นไปในระดับประเทศชาติที่ต้องการเพิ่มในสิ่งต่างๆ ให้กับประชาชน แต่จำเป็นจะต้อง "หา" โดยการกู้ ก็ย่อมจะเกิดทุกข์ในระดับประเทศเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ถ้าเมื่อใดที่มาพูดกับเราว่าจะเพิ่มอย่างนั้นอย่างนี้ให้กับเรา เราควรจะมีสติและถามกลับไปว่า แล้วเขาจะหาเงินงบประมาณ เพื่อทำให้การเพิ่มเป็นจริงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนก็เลยอยากจะเสนอว่า "เมื่อเพิ่มก็ต้องหา เมื่อหาก็จะได้เพิ่ม" เหมือนกับท่านใดที่ต้องการเพิ่มความรักให้กับองค์กรที่เราทำงานอยู่ ก็จำเป็นจะต้อง "หา" เวลาทำงานให้องค์กรมากๆ นะครับ

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

ยา + สูบ

ยา เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อเราป่วยมีสุขภาพไม่แข็งแรงเราจะต้องอาศัย "ยา" ในการช่วยให้ร่างกายของเรากลับคืนสู่สภาพปกติ ตั้งแต่โบร่ำโบราณเราต่างมียาแผนโบราณตามสติปัญญาภูมิปัญญาที่ได้สะสมกันมาเป็นเวลายาวนาน
ยา เป็นสิ่งที่มนุษย์ยุดสมัยได้พัฒนาตามหลักทางวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัชศาสตร์ เพื่อให้ตัวยามีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาชีวิตของมนุษย์ ยาบางประเภทมีประสิทธิภาพสูงราคาก็สูงแพงไปด้วย ยาที่มีใช้ประจำที่บ้านพักอาศัยเพื่อใช้แก้ไข้ แก้อาการป่วยปกติที่เราเป็นอยู่ เช่น ท้องเสีย ปวดหัว เป็นต้น ก็มักจะถูกเรียกว่า ยาสามัญประจำบ้าน
ยา เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสุข หายจากทุกข์ ยานั้นมีหลายประเภททั้งชนิดเม็ด ชนิดน้ำ และอื่นๆ ถูกใช้ตามความเหมาะสมตามที่แพทย์หรือเภสัชศาสตร์ได้สั่งจ่ายให้
ครับ สำหรับ "ยา" ผู้เขียนมีความรู้ไม่มาก คงจะพอแค่นี้ก่อน แต่สิ่งที่ต้องการจะเขียนต่อ คือ เรื่องของ "สูบ"
สูบ เป็นลักษณะของการนำ น้ำ (ของเหลว) อากาศ หรือ ควัน จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งโดยใช้พลังงานในการนำ โดยลักษณะอาจจะเป็นการนำจากที่ต่ำไปสู่ที่สูง หรือ จากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ หรือ จากข้างในไปข้างนอก หรือ จากข้างนอกไปข้างใน แล้วเรื่องของสูบเกี่ยวอะไรกับเรื่องของยา แน่นอนครับ ยาบางอย่างจะต้องสูดดม หรือ สูบ เข้าไปในร่างกาย (จากข้างนอกเข้าไปในร่างกายของเรา)
อย่างไรก็ดี เมื่อสองคำ คือ "ยา" และ "สูบ" มารวมกันจะกลายเป็นคำนาม "ยาสูบ" ที่หมายถึงสิ่งเสพติดที่ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกาย มีแต่เกิดโทษเป็นบ่อเกิดโรคทางเดินหายใจ โรคปอด หรือ มะเร็งปอด
ยาสูบ นั้นทำให้เราจะต้องสูญเสียเงินเผาเงินไปโดยเอาควันเข้าสู่ปอด สำหรับคนที่สูบอาจจะมีความรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้สูบ แต่อย่างไรก็ตาม หากสูบไปนานๆ มีแต่ข้อเสีย (๑) สูญเสียเงินทาอง (๒) ทำให้เสียสุขภาพ และ (๓) อื่นๆ ที่สังคมอาจจะไม่ยอมรับ
โดยเฉพาะในช่วงนี้หากท่านใดได้ฟังเรื่องอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เราจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของ "ยาสูบ" เลยทำให้คนไทยทราบว่าต้นทุนของยาสูบต่างประเทศนั้น ต้นทุนเพียงประมาณ ๘ บาท แต่จำหน่ายราคาขายประมาณ ๖๐ - ๘๐ บาท ดังนั้น ผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมราคาถึงสูงขนาดนั้น แล้วส่วนต่างมันเป็นอย่างไร ผู้เขียนไม่มีความรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะขออนุญาตเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของยาสูบ คือ มันสูบเข้าไปแล้ว มันจะสูบเวลาการใช้ชีวิตของเรา ทำให้เราจะต้องสูญเสียเวลา สูญเสียสุขภาพ เป็นการสูบสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกจากตัวเอง และสูบเอาแต่โทษเข้าสู่ตัวเรา
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนอยากจะให้เราทุกคนใช้ยาอย่างมีประโยชน์ และไม่ควรจะสูบยา หลีกเลี่ยง "ยาสูบ" เมื่อเราไม่สูบ ยาสูบ ก็จะไม่มีอยู่ในประเทศไทยของเราอีกต่อไป ดังนั้น ขอเชิญชวนทุกท่านได้ช่วยกันรณรงค์เรื่องดังกล่าว

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

สูญเสีย

เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาได้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงกับเพื่อนมนุษย์ประเทศญี่ปุ่นแผ่นดินไหวและสึนามิขนาดใหญ่ถล่มตึกรามบ้านช่องทรัพย์สินอย่างมากมาย ผู้เขียนเชื่อว่าเราคนไทยทุกคนต่างก็รู้สึกเสียใจเศร้าใจกับความสูญเสียดังกล่าว ดังนั้น ขอเชิญชวนคนไทยทุกคนได้ช่วยกันส่งกำลังใจไปช่วยเหลือเพื่อนชาวญี่ปุ่นนะครับ

"สูญเสีย" สูญ เป็นสิ่งที่มีอยู่หายจากไปไม่กลับมาเหมือนเดิม เสีย ก็คงจะเหมือนกัน คือ สิ่งนั้นทำงานไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้น สูญเสียเป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่ต้องการอย่างแน่นอน มนุษย์เราทุกคนย่อมไม่อยากไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียไม่ว่าจะเกิดกับสิ่งใดๆ ก็ตามแต่ เพราะความสูญเสียทำให้เกิดความทุกข์ เศร้าใจ เดือดร้อน

อย่างไรก็ดี หากเราพิจารณาให้ดีๆ ชีวิตของคนเรานั้น หากเราทำความเข้าใจเรื่องของธรรมชาติให้ดี จะเห็นว่าทุกชีวิตล้วนมี "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" อย่างหลีกหนีไม่พ้น ทั้ง "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" หากเราพิจารณาลงไปอีก จะเห็นว่าทั้ง ๔ คำดังกล่าวนั้น เรามีความสุขเฉพาะตอนเกิดเท่านั้น เมื่อเกิดก็ฉลองกัน และเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดต่างก็จัดงานเลี้ยงฉลองกันยกใหญ่ ส่วนอีก ๓ คำ คือ แก่ เจ็บ ตาย เราต่างก็ไม่ชอบทำให้เกิดทุกข์ คนบ้างคนก็พยายามหาวิธีชะลอความแก่ คนบ้างคนก็พยายามจะไม่ให้เกิดตัวเองเจ็บ (ป่วย) แต่ที่สำคัญคือ ทุกคนต่างหลักหนีความตายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่าหากเราคิดตามหลักของคณิตศาสตร์หลักสถิติแล้วนั้น ในชีวิตของคนเรามีสุขน้อยกว่าทุกข์เป็นอย่างมาก เพราะ สุข เมื่อเกิด ทุกข์ เมื่อ แก่ เจ็บ ตาย ความสุขจากการเกิดมีเพียงร้อยละ ๒๕ เท่านั้น ส่วนอีกร้อยละ ๗๕ (แก่ เจ็บ ตาย) ล้วนเป็นทุกข์

ครับ หากเราคิดว่าเราต้องการให้เป็นสุขมากขึ้น เราควรจะต้องมีการสร้างความเข้าใจหลักของธรรมชาติของความแก่ ความเจ็บ ความตาย เมื่อมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นกับทั้ง ๓ อย่างแล้ว ย่อมจะทำให้เราเข้าใจ "ความสูญเสีย" และเมื่อเป็นอย่างนั้น ความสูญเสียก็จะไม่สามารถทำให้เกิดความทุกข์ เพราะเมื่อเราเข้าใจว่า เราไม่สามารถหลีกพ้นความแก่ได้ หลีกพ้นความเจ็บได้ หลีกพ้นความตายได้ เราเข้าหามันให้มันรู้ว่า แก่ คือแก่ เจ็บ คือ เจ็บ และ ตาย คือ ตาย และคิดอยู่เสมอว่า "ความตาย" เป็นสิ่งที่เกิดได้ทุกเมื่อ ซึ่งหากเราทำได้อย่างนั้นแล้ว "สูญเสีย" จะเป็นสิ่งที่เรากล้าเผชิญและเกิดความสุขได้

ร่างกายของมนุษย์เราส่วนต่างๆ ในร่างกาย (Cell) เราต่างก็ได้ถูกกำหนดให้มีระยะเวลาการทำหน้าที่ทำงานตามรหัสของธรรมชาติที่ได้ตั้งไว้ บางคนอาจจะถูกกำหนดให้มีอายุระยะเวลาที่ยาวนาน บางคนก็อาจจะถูกกำหนดให้อายุระยะเวลาที่สั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเราสามารถที่จะยึดเวลาได้ คือ จะต้องทำความดีทั้งกายวาจาใจอย่างบริสุทธิ์ เมื่อเราทำได้จิตของเราก็จะมีความสุข และช่วยทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ไปได้ และเมื่อมีความสมบูรณ์ก็ย่อมจะมีระยะเวลาทำงานยึดยาวยิ่งขึ้น

ดังนั้น "สูญเสีย" ถึงแม้จะเกิดขึ้นอย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามธรรมชาติ หากเราไม่ดูแลธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติ สักวันธรรมชาติก็จะลงโทษเรากลับคืน นั้นเป็นหลักของความเป็นจริง และเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า แรงกระทบเท่ากับแรงสะท้อน และเช่นกันทางพุทธศาสนาของเราก็บอกได้ว่า เมื่อทำดี ย่อมได้ดี และเมื่อทำชั่ว ย่อมได้รับความชั่วความไม่ดีกลับคืน

เมื่อเรา "สูญเสีย" แล้วทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นๆ หากหนทางที่ไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีกหรือถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นก็ขอให้เกิดความเสียหายจำนวนไม่มาก และที่สำคัญ คือ เราจะต้องไม่ "เสีย 0" นั้นคือ อยู่บนความเป็นกลาง ทางสายกลาง ไม่เอนเอียงได้ทางใดทางหนึ่ง และเมื่อเป็นเช่นนั้นเราไม่เสียศูนย์ เราย่อมจะไม่เกิดความ "สูญเสีย" และที่สำคัญ คือ หากเราสามัคคีกันเดินทางไปด้วยกันด้วยความรัก เราจะไม่เสีย 0 และ สูญเสีย ลองฟังดูครับ If we hold on together
เพื่อว่าเราจะได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปด้วยกัน
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

๒ อ.

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ (๖ มีนาคม ๒๕๕๔) ตั้งใจว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง อ.อ่าง ตอนแรกคิดว่าจะเขียนถึงอุดร (ที่เราคนไทยทราบกับดีว่า เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ เป็นวันที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีพระราชทานเพลง "หลวงตามหาบัว") แต่พอนั่งนึกและอ่านข่าวที่ หลวงปู่จันศรี จันททีโป รองสมเด็จพระราชาคณะ (ซึ่งมีสมณศักดิ์สูงสุดในภาคอีสาน เจ้าอาวาสวันโพธิสมภรณ์ ) ท่านได้เทศนาตอนหนึ่งว่า ขณะที่นอนหลับได้ฝันว่า หลวงตามหาบัวมาลาและห่มผ้ามาเรียบร้อย พอมาถึงก้มกราบและบอกว่า "ผมจะไปล่ะ" อาตมาถามว่า "จะไปไหน" หลวงตามหาบัวตอบว่า "ผมไปไม่กลับ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของผม"

ผมก็เลยคิดว่า น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ๒ อ. คือ อดีต และ อนาคต และจะเขียนอย่างไรดี ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับฝันของหลวงปู่จันศรี ข้างต้น (แต่จะพยายามเขียนครับ)

ครับ อดีตคู่กับอนาคต ยากคู่กับง่าย (๑.อดีตกับง่าย ๒. อดีตกับยาก ๓. อนาคตกับง่าย ๔. อนาคตกับยาก ท่านเลือกเอาจะเอาอะไร ให้เลือกได้อย่างหนึ่ง)

มนุษย์เราโดยส่วนมากแล้วย่อมจะมักแต่เรื่องที่ง่ายๆ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับด้านใดก็ตามแต่ อันไหนที่ยากๆ ก็มักจะหลีกเลี่ยงหรือไม่อยากจะทำไม่อยากจะเผชิญ

เช่นเดียวกันกับเรื่องของอดีตและอนาคตก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเสมอ ดั่งเช่นเรื่องของยากกับง่ายที่ตรงกันข้ามกันเสมอ แต่วันนี้ผู้เขียนอยากจะสื่อถึงเรื่องอดีตที่น่าจะคู่กับคำว่ายาก และเรื่องอนาคตน่าจะคู่กับคำว่าง่าย

ที่นี้เป็นอย่างไรกัน อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านแล้วเราไม่สามารถที่จะกลับไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ มันจึงเป็นเรื่องยาก นอกจากนั้น กว่าเราจะฟันผ่าอุปสรรคต่างๆ ในอดีตได้มานั้นนับว่ามีความลำบากยากเข็ญเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เด็กเล็กกว่าจะโตเข้าเรียนประถมมัธยม (อ่านหนังสือสอบ วิ่งกวดวิชา พ่อแม่ลำบากไปด้วย) เติบใหญ่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย (หากท่านใดโชคดีมีเงินทอง ท่านใดไม่มีเงินทองและไม่มีโชค ก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่าเป็นโชคชะตาชีวิตลิขิตมาแล้ว) เมื่อจบก็วิ่งเต้นสอบเข้าทำงาน ปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้มีตำแหน่งที่ใหญ่โต มีอาขีพที่มั่นคงก้าวหน้า นับว่าเหนื่อยครับท่าน จะเห็นว่าเรื่องราวในอดีตของเราทุกท่านนั้น มีความยากง่ายแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งของอดีต คือ เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อวันผ่านไปแล้วย่อมให้มันผ่าน สิ่งใดที่เราเคยทำผิดเคยผิดพลาดก็คอยเฝ้าแต่ใช้สติและปัญญาไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกเพียงเท่านั้น ดังนั้น อ.อดีต ของท่านใดที่ผ่านมามีความสุข เรานั่งคิดถึงก็อยากจะให้หวนกลับมาอีก และอดีตของท่านใดที่มีแต่ความทุกข์ก็ย่อมไม่อยากที่จะคิดไม่อยากจะได้ยินได้ฟังได้เห็นภาพอีก ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนก็เลยสรุปว่า เรื่องของอดีตเป็นเรื่องที่คู่กับยาก

ส่วนอนาคตแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เราสามารถที่กำหนดหรือตั้งเป้าที่จะไปหรือจะทำได้ และถ้าหากยิ่งมีความตั้งใจจริง หากเราตั้งใจบริหารจัดการ คือ การกำหนดเป้าหมาย และจัดการให้เดินไปจนถึงเป้าหมาย โดยใช้สิ่งที่มีอยู่ ทั้งคน ทั้ง งบประมาณ ประสบการณ์ ทักษะความรู้ สติและปัญญาของเรา แน่นอนครับเราจะได้พบกับอนาคตที่เราได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้ เหมือนดั่งท่านหลวงตามหาบัวที่ท่านได้สะสมความดี ประกอบคุณงามความดีอย่างที่เราทุกคนได้ประจักษ์กันอย่างทั่วหน้า เป้าหมายของท่านที่ได้มอบไว้ให้แผ่นดินไทยมีคุณเอนกอนันต์ที่คนไทยควรจะเอาแบบอย่าง หลวงตามหาบัวท่านได้กำหนดอนาคตโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดั่งท่านหลวงปู่จันศรีได้ฝ้น ดังนั้น ผู้เขียนคิดว่าเรื่องของอนาคตเป็นเรื่องที่ง่าย หากว่าเราได้ตั้งใจตั้งเป้าหมายด้วยสติและปัญญาและที่สำคัญจะต้องมั่นเพียรยึดมั่นที่จะไปให้ถึงให้ได้

ดังนั้น ลองนึกถึงคำสอนของหลวงตามหาบัวที่ว่า "เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล" ให้มากๆ กันนะครับ
มนูญ ศรีวิรัตน์
หากมองหาอดีตย่อมจะยาก
แต่หากมองหาอนาคตย่อมจะง่าย

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

งาม

เราทุกคนล้วนชอบในสิ่งที่ถูกเรียกว่า "งาม" ซึ่ง คำว่า "งาม" โดยส่วนมากมักจะถูกจับให้คู่กับคำว่า "สวย" กลายเป็นสวยงาม




ความสวยงาม เป็นสิ่งทำให้เรามีความสุขเมื่อเราพบเห็น และทุกท่านย่อมจะต้องชอบเช่นกันอย่างแน่นอน เช่น ความสวยงามของอาคารบ้านเรือน ความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว ความสวยงามของนางสาวไทย เป็นต้น จะเห็นว่า ควาวมสวยงามสามารถใช้ได้กับทั้งคนและสิ่งของสถานที่ และอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ความสวยงามจะทำให้เรามีความสุขเกิดขึ้น แต่อย่าลืมนะครับว่า สำหรับความงามของสถานที่อาคารบ้านเรือนนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์จัดสร้างขึ้น แต่หากว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น เป็นความสวยงามที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานี คือ สามพันโบก










สำหรับความสวยงามของสุภาพสตรี ผู้เขียนไม่ขอเขียนความสวยงามของนางสาวไทย เพราะไม่มีความถนัด ดังนั้น จึงขอข้ามไปก่อนนะครับ แต่อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่เป็นของคู่กันกับผู้หญิงไทยเราคือ ความงามของจิตใจ ที่เป็นสิ่งที่เราคนไทยรู้กันดี หญิงจะงามใช่หน้าตาอย่างเดียว จะต้องมีสิ่งอื่นๆ ที่เป็นสิ่งทั้งดีและงามไปด้วย

นอกจาก "งาม" จะคู่กับ "สวย" แล้ว งามก็มีจะคู่กับ "งด" เป็น "งดงาม" ซึ่งโดยส่วนมากเราก็มักจะได้ยินว่า "งดงาม ตระการตา" อย่างเช่น ขบวนเรือพระที่นั่ง




ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว เมืองไทยของเรามีสิ่งของ สถานที่ แห่งท่องเที่ยวที่งดงามตระการตามากมายหลายแห่ง เพียงแต่เราคนไทยจะต้องช่วยกันอนุรักษ์ส่งเสริมให้มีสมบูรณ์ไว้ให้ลูกหลานของเราได้เรียนรู้และเห็นความสำคัญ



ครับ งาม อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี หากใครมีความงามในตัวเอง ทั้งงามด้วยบุคลิก งามด้วยการพูดจา งามกริยามารยาท งามด้วยจิตใจ บุคคลนั้นจะเป็นคนที่มีความสุขในตัวเอง และเมื่อผู้คนคนอื่นได้มีโอกาสเข้าใกล้ได้ทำงานด้วย ได้ติดต่อด้วย คนๆ นั้น ก็ย่อมจะเกิดความสุขและมีความสุขไปด้วย ดังนั้น จะเห็นว่า "งาม" เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ สร้างได้ บางคนถึงมีเงินทองมากมายก่ายกองก็ไม่สามารถมีความงามที่บริสุทธิ์กับตัวเองได้ ถ้าหากเราสามารถกำหนดจิตใจของเราให้มีแต่ความงาม ทุกอย่างที่เรากระทำแสดงออกมาก็ย่อมจะมีความงามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ท่านใดที่มี "งาม" อยู่กับตัวเอง ก็ขอให้รักษาไว้ให้อยู่ตัวเองไปตลอด หากท่านใดยังไม่มีก็ขอให้ตั้งใจสร้างความ "งาม" ในด้านต่างๆ นะครับ



สิ่งหนึ่งที่คู่กับ "งาม" มาตลอด คือ "ตา" เพราะเราจะต้องใช้ "ตา" หรือ "ดวงตา" ในการมองสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่า "งาม" เมื่อเราพิจารณาดูแล้วด้วยตาด้วยสมองด้วยปัญญาแล้ว สิ่งที่เราเห็นด้วยตา ก็จะกลายเป็น "งามตา" ก็จะเกิดความสุขตามมาในที่สุด ใครท่านใดที่มี "งามตา" อยู่แล้วก็ดีไป ใครยังไม่มีก็ต้องรีบหานะครับ จะได้มีความสุข



แต่ "ตา" (ดวงตา) อยู่บนใบหน้าของเรา อย่าต้องการมาก อย่าโลภมากให้มากกว่า "ตา" ให้มันเท่าใบหน้าของเรา เพราะมันจะกลายเป็น "งามหน้า"

มนูญ ศรีวิรัตน์






วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันที่น้ำตาไหล (ออกมาโดยไม่รู้สึกตัว)

อีกไม่กี่เดือนกี่วัน เราก็จะได้กลับบ้านของเรากันแล้ว เพราะช่วงวันที่ ๑๓ ๑๔ ๑๕ เมษายน ของทุกๆ ปี เราคนไทยทุกคนควรจะต้องกลับบ้านของเราเพื่อไปสวัสดีปีใหม่ (ไทย) รดน้ำขอพรจากพ่อแม่ญาติของเรา ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น คนบ้านเดียวกันก็มีโอกาสที่จะได้พบปะกัน ถามทุกข์สุขกันว่าเป็นอย่างไร ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่มีความสุขอย่างมาก ทุกคนที่อยู่รอบข้างมีแต่รอยยิ้ม และที่สำคัญ คือ มีรอยคราบน้ำตาไหลออกมาจากพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ของเรารอคอยวันที่เรากลับมา เพื่อให้ทราบว่าลูกของท่านสบายดี ไม่มีทุกข์โศกไร้โรคภัยต่างๆ


วันเวลาในช่วงดังกล่าวถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาของฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิที่สูง แต่เมื่อเราทุกคนในครอบครัวมาพร้อมหน้ากัน ความร้อนดังกล่าวกลับกลายเป็นความอบอุ่น และความร่มเย็นที่มีแต่ความสุข และความร่มเย็นดังกล่าว เราจะเห็นน้ำตาไหลออกมาจากผู้คนที่อยู่รอบข้างตัวเรา รวมทั้งตัวเราด้วย น้ำตาดังกล่าวเป็นน้ำที่


บริสุทธิ์ที่กลั่นออกมาจากจิตใจของเราอย่างแท้จริง เป็นน้ำที่ไหลออกมาโดยที่ไม่รู้สึกตัว เป็นน้ำที่บ่งบอกถึงความผูกพันที่มีต่อพ่อแม่ครอบครัวของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เราสร้างภูมิคุ้มกันให้กันตัวเราได้คิดถึงความสำคัญของคนบ้านเดียวกัน (ฟังเลยดีหรือเปล่าครับ "คนบ้านเดียวกัน") ซึ่งความหมายของคนบ้านเดียวกันนั้น มันลึกซึ้งเป็นอย่างมาก หากเราทุกคนสามารถเป็นคนบ้านเดียวกันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ย่อมจะประสบความสำเร็จทุกอย่างเพราะเราคนบ้านเดียวกันช่วยกันทำช่วยกันสามัคคีร่วมมือร่วมใจ



วันที่น้ำไหลที่ว่าข้างต้น เป็น "น้ำตา" ของเราที่บ่งบอกถึงความสุขที่เราไม่รู้สึกตัว ว่าความสุขนั้นถึงมีเงินทองก็ไม่สามารถหาซื้อได้ เศรษฐีมีเงินทองมากมายก่ายกองก็ไม่สามารถหาซื้อได้สำหรับความสุขดังกล่าว เป็นความสุขที่ทุกคนในครอบครัวต่างได้รับกันอย่างเท่าเทียมกับอย่างยุติธรรม

ครับ ผู้เขียนถึงแม้ว่าเวลากลับบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ เนื่องจากเหลือเพียงคุณพ่อคนเดียว แต่โชคดีที่มีหลานๆ และญาติๆ คอยช่วยดูแลคุณพ่อ อย่างไรก็ดี ผู้เขียนก็ได้พยายามบอกพ่อให้ท่านได้เข้าใจถึงสัจธรรมของชีวิตคนเราว่า เราไม่สามารถหลีกหนีสิ่งที่สวรรค์ได้ลิขิตเอาไว้ สักวันเราก็จะต้องไป แต่วันที่เราไปนั้น ขอเพียงแต่เราจะไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมา แสดงถึงความเสียใจ เสียดาย สูญเสียในสิ่งที่เราเป็นอยู่


ไม่เป็นไร วันเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วมากที่ผ่านไปอย่างที่เราไม่อยากจะให้ผ่านไป ความรู้สึกดังกล่าวทำให้เรามีกำลังใจในการเรียน ในการทำงาน ในการทำการใดๆ ทำให้เรากลับมามีพลังต่อสู้กับสิ่งต่างๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป เราจะต้องเข้มแข็ง นำเอาประสบการณ์ที่เคยผ่านเรียนรู้มาเป็นสิ่งเตือนใจเราไม่ให้ผิดพลาดในสิ่งต่างๆ อีก


สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้มีความสุขในวันที่น้ำ (ตา) ไหลออกมา (ออกมาโดยไม่รู้สึกตัว) ขอให้ทุกท่านได้พบกับความสุขอย่างแท้จริงกับวันที่เราพบกับคุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัว ไม่มีความสุขใดที่เท่าเทียมกับเราได้เห็นความสุขของคนที่เรารักคนที่ให้กำเนิดเรา ดังนั้น ให้มันไหลออกมาให้มากหากมันต้องการจะไหล และเมื่อไหลออกมาแล้ว เรามีแต่ความสุข ขอให้ทุกท่านประสบกับความสุขในวันครอบครัว (เดือนเมษายนนี้) ทุกท่านนะครับ


มนูญ ศรีวิรัตน์