วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไม่เอา ไม่พูด



















ท่านผู้อ่านเคยเป็นหรือมีอาการที่เรียกว่า "ไม่เอา ไม่พูด" หรือ "ไม่อยากจะพูด" หรือ "พูดไม่ได้" หรือไม่ครับ

บางครั้งบางเรื่องที่เป็นเรื่องที่ว่าด้วย “ความลับ” เป็นสิ่งที่จะต้องรักษาไว้ให้ได้ ซึ่งทางราชการมีชั้นความลับตั้งแต่ ลับ ลับมาก ลับมากที่สุด แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ความลับไม่มีในโลกใบนี้

วกกลับมาที่ การ "ไม่เอา ไม่พูด" ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี หากว่าเรื่องดังกล่าวเมื่อเราพูดออกไปแล้วทำให้เกิดความเสียหาย ดังนั้น ก็ที่เราจะพูดอะไรออกไป ควรจะต้องสืบหาข้อมูลข้อเท็จจริงว่าเรื่องดังกล่าวเป็นมาอย่างไร มีความเป็นจริงอย่างไรบ้าง และคิดก่อนพูด (หรือให้มีสติ ซึ่งเมื่อมีสติก็จะเกิดปัญญา) ว่า พูดออกไปให้คนอื่นได้ยินนั้น จะเกิดอะไรขึ้น เกิดความทุกข์ เกิดความเสียหาย เกิดความเข้าใจผิดเกิดขึ้นหรือไม่ บางคน (ที่เป็นส่วนน้อย) ก็ได้ยินอะไรมา ก็พูดต่อโดยไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง และยิ่งใส่ความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น เราที่เป็นมนุษย์หากทุกคนต่างได้รับข้อมูลไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตามแต่ หากเราได้พิจารณาอย่างมีสติให้ครบถ้วนถึงข้อมูลดังกล่าวแล้ว หากเราจะสื่อสารออกไปด้วยการพูด ก็ขอให้พูดในสิ่งที่อันก่อเกิดประโยชน์ต่อการทำงาน ต่อการปฏิบัติงาน หรือต่อการอะไรก็ตาม แต่โดยส่วนมากคนเราหากรู้อะไรมาแล้ว ก็มักจะอยากจะพูดต่อ เพราะถ้าไม่อย่างงั้นจะอกแต่ตาย (สำหรับบางคนส่วนน้อยเท่านั้น)

อย่างไรก็ดี บางครั้งการไม่ได้พูดก็ไม่ดี เพราะมีความรู้สึกอัดอั้นเครียดไม่ได้ระบาย จนบางครั้งหากไม่ได้พูดหรือพูดไม่ได้ อาจจะอกแตกตายก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องทำจิตใจให้เย็นๆ ปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่ต้องไปสนใจมัน มันก็เป็นอย่างนี้ หากเราไม่ได้พูดออกไป ก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น นั้นหมายความว่าไม่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นๆ (มันเป็นเรื่องที่ทำยากมาก แต่หากเรามั่นฝึกฝน ทดลองดู รับรองได้ว่า เราจะสามารถทำได้อย่างแน่นอน) ซึ่งหากท่านใดพอที่จะนึกออกว่าการไม่ได้พูดนั้น เป็นเรื่องหนึ่งใน ๑๐ ชาติของพระพุทธเจ้า คือ "เตมีย์ใบ้" และถ้าเราทำได้อย่างนั้นเพียงบางส่วนก็นับได้ว่าดีเช่นกัน

ดังนั้น ท่านใดที่สามารถฝึกปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่ "ไม่พูด" ในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ "ไม่พูด" ในเรื่องที่เกิดโทษเกิดทุกข์ต่อตัวเอง ต่อผู้คนรอบข้าง ต่อเพื่อนร่วมงาน และต่อสังคม ได้ ผู้เขียนคิดว่า สังคมเราจะเงียบสงบและมีความสุขเป็นอย่างมาก
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ขอ.... ให้.....

หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียและเสียใจให้กับผู้คนที่เกี่ยวข้องมากมายนั้น เราทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี หากว่าเราไม่สามารถที่ห้ามเหตุการณ์ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องทำความเข้าใจ ทำใจในสิ่งนั้น เราไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ดั่งเดิม ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมของสิ่งที่กำหนด (ฟ้ากำหนดไว้แล้ว)
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนก็เลยขอเสนอ เรื่อง ขอ... ให้...
"ขอ" ที่ว่า คือ ขอโทษ หากเมื่อไรก็ตามที่เรากระทำการใดๆ ก็ตามแต่จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่หากสิ่งที่เราทำไปนั้นมันเกิดโทษเกิดความทุกข์ต่อผู้คนที่ใกล้ชิดเรา หรือไม่ใกล้ชิดก็แล้วแต่ หรือคนอื่นๆ ที่เราไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่สิ่งนั้นได้ก่อเกิดความเดือดร้อนตามมาก หากว่าเราได้คิด ได้สติ ได้สำนักในสิ่งที่เรากระทำลงไปนั้น ผู้เขียนอยากจะให้เราได้เอยคำว่า "ขอโทษ" ที่เป็นคำมาจากจิตใจของเราอย่างแท้จริง (ไม่ใช่ขอโทษแต่ปาก หรือคำพูด) คำขอโทษ เป็นคำที่เอยง่ายนิดเดียว แต่เป็นคำที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับความเป็นมนุษย์ของเรา ในแต่ละวันอาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้ทำผิดไป ทำไม่ถูกไม่ควรลงไป เราก็ลองคิดอย่างมีสติให้รู้ให้ทราบ แล้วเราก็ลองฝึกขอโทษ จะเป็นการขอโทษตัวเราเองก็ได้ ขอโทษตัวเองที่ไม่ได้คิด ขอโทษตัวเองที่ไม่ได้ใส่ใจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า สังคมของเราคงจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอย่างไม่ใช่น้อย อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้เคยทำผิดทำให้แม่เสียใจจนหลั่งน้ำตาออกมา ผู้เขียนก็รู้สึกเสียใจ แต่ตอนนั้น (เป็นเด็ก) ไม่เคยได้กล่าวคำ "ขอโทษ" แม่ตัวเอง มาวันนี้ คงจะยังไม่สายเกินไปที่อยากจะบอกว่า "ลูกขอโทษ" ถึงแม้ว่าแม่ของผู้เขียนจะจากลาลับจากโลกไปนานมาแล้วก็ตาม คำขอโทษนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ผู้เขียนมีความสุข (สำนึกในสิ่งที่เคยทำผิดไป) ดังนั้น ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราทุกคนลองมาฝึกคำว่า "ขอโทษ" ขอโทษต่อแผ่นดินที่เราไม่ได้ช่วยกันดูแลให้แผ่นดินไทยของเรามีความร่มเย็น ขอโทษแผ่นดินไทยของเราที่เราต่างมีแต่แย่งกันในการใช้ประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพร้อง ขอโทษแผ่นดินที่เราไม่ได้ช่วยกันปลูกป่าและอนุรักษ์ป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์
ครับ เมื่อมีคำว่า "ขอ" แล้ว ย่อมจะต้องมีคำว่า "ให้" เป็นสิ่งที่คู่กันเสมอมา
โดย "ให้" ในที่นี้ ผู้เขียนเสนอว่าเป็นการ "ให้อภัย" เมื่อไรก็ตามที่มีผู้กระทำผิดต่อเรา ต่อชุมชน ต่อประชาคม ต่อองค์กร ต่อสังคม เข้าผู้นั้นได้ขอโทษและสำนึกผิดในการกระทำอย่างจริงใจ เราคนไทยด้วยกัน ก็ควรจะต้องกล่าวคำว่า "ให้อภัย" และควรจะต้องให้อภัยที่ออกมาจากใจเช่นกัน (ไม่ใช่ออกมาเป็นเพียงวาจาเท่านั้น) การให้อภัยเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่อยากถ้าหากว่าเราจะทำ เพียงแต่ว่าเราจะต้องทำความเข้าใจว่า ในโลกใบนี้ "ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยกระทำความผิด" ความผิดพลาดทำให้เกิดการเรียนรู้เป็นบทเรียนที่มีค่าอย่างมาก ดังนั้น "ให้อภัย" ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนควรจะฝึกปฏิบัติเช่นกัน เพราะหากว่าเราสามารถฝึกฝนจนเป็นประจำแล้ว "ให้อภัย" จะเป็นเป็นการทำบุญกุศลให้เรานั้นเกิดความสุขในการปฏิบัติงาน ในการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก

สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านได้พยายามฝึกนะครับ "ขอ..." คือ "ขอโทษ" และ "ให้..." คือ "ให้อภัย" เมื่อเราทุกคนฝึกได้แล้วสังคมทุกหมู่เหล่าในประเทศไทยของเราก็จะมีแต่ความสุข ความเจริญกันถ้วนหน้า
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Let me go home

วันนี้ขอมาแบบแปลกที่ชื่อของเรื่องเป็นภาษาอังกฤษที่ว่า "Let me go home" ผู้เขียนก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่าทำไมมีเวลาว่างตอนเที่ยง ทำไมต้องการเขียนเกี่ยวกับเรื่องบ้าน ตามที่ชื่อเรื่องนั้น คือ "ปล่อยให้ฉันกลับบ้านเถอะ"

บ้าน ที่ทั้งที่เรียกว่า บ้านเกิด (สถานที่ภูมิลำเนาที่เราเกิดมา) บ้านที่พักอาศัย (สถานที่เราอยู่ขณะที่ทำงานให้ที่ใดจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง) แต่หลายๆ ท่านอาจจะเกิดและทำงานอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกันก็นับว่าโชคดีที่ทั้งบ้านเกิดและบ้านพักอาศัยเป็นแหล่งเดียวกัน

บ้านทำให้เรามีความสุขตั้งแต่เช้า เป็นสถานที่รับประทานอาหารเช้า (กลางวันอาจจะต้องไม่ทำงาน แต่บางท่านก็ ใช้บ้านที่เป็นที่ทำงานค้าขายหรือประกอบการอย่างอื่นก็แล้วแต่) รับประทานอาหารเย็น เป็นสถานที่กิจกรรมต่างๆ ของครอบครัว ทำให้เกิดความอบอุ่นเกิดความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว (ครอบครัวใหญ่ก็อาจจะมีสมาชิกมากหน่อย ครอบครัวเล็กก็อาจจะมีจำนวนไม่มาก) เกิดความสุข เป็นที่หลับนอนพักผ่อนร่างกาย จะเห็นว่า บ้าน เป็นสถานที่บางท่านอาจจะเรียกว่า "สวรรค์" เพราะทำอะไรที่บ้านแล้วมีความรู้สึกว่ามีความสุขไปหมดทุกเรื่อง แต่สำหรับบางท่านบ้านอาจจะเป็น "นรก" เพราะทำอะไรก็เกิดแต่เรื่องเกิดแต่ความทุกข์ ไม่มีความสุขเอาเสียเลย

ตามชื่อเรื่อง "ปล่อยให้ฉันกลับบ้านเถอะ" เมื่อวาน กลุ่มคนบางกลุ่มที่ถูกคุมขัง ก็เรียกร้องผ่านความยุติธรรม จนในที่สุดศาลก็อนุญาตให้กลับบ้าน ก็เกิดความสุขขึ้นสำหรับคนที่ถูกคุมขัง ญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องก็ยินดีปรีดาไปด้วยกับการที่ Let me go home

สำหรับ Home ภาษาอังกฤษ ก็ตรงกันกับภาษาอีสาน โฮม ที่มีความหมายว่า "มารวมกัน" เหมือนกับคนอีสานเวลามีงานประเพณีใดๆ ก็มักจะมีการโฮมกัน คือ มารวมกันสร้างความสามัคคีในหมู่คณะเกิดความสุขร่วมกัน ดังนั้น ทั้ง Home หรือ โฮม ล้วนต่างก็ทำให้เกิดมีความสุขแทบทั้งสิ้น

เราทุกคนผู้เขียนเชื่อว่าเวลาที่เรามีความทุกข์ เราต่างย่อมอยากที่จะกลับมาบ้าน (ทั้งบ้านเกิด บ้านพักอาศัย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บ้านเกิดมีทั้งคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้องคอยให้กำลังเวลาที่เราได้รับความทุกข์ ทุกคนจะคอยปลอบประโลมเอาใจใส่ในความรู้สึกของเรา และเช่นเดียวกันยามใดที่เราประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียนการทำงานหรือการใดก็ตามแต่ เวลาเรากลับบ้านจะมีความสุขเป็นอย่างมากมีคนใกล้ชิดเรามาชื่นชมในความสำเร็จที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเราจะทุกข์หรือสุขเมื่อเรากลับมาบ้านจะมีคนคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ

แต่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนที่หลีกหนีไม่พ้น คือ การกลับบ้านเก่า ไม่ว่าใครหน้าไหนจะรวยจะจน จะเรียนระดับไหน อาชีพอะไร เราไม่สามารถหลีกพ้นบ้านเก่าของเราได้ นั้นคือ บ้านเก่าที่เราเกิดมา บ้านเก่าที่ให้เราได้มีโอกาสหายใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก เมื่อเราเกิดขึ้นมาจากแห่งนี้ เราย่อมจะกลับไปสู่แห่งนั้นวันยังค่ำ บ้านเก่า คือ สิ่งที่เราทุกคนจะต้องกลับไป สำหรับท่านใดที่ทำบุญเยอะๆ การกลับบ้านเก่าก็จะมีแต่ความสุข แต่สำหรับท่านใดที่ชีวิตนี้ทำแต่บาป การกลับบ้านเก่าก็ย่อมมีแต่ความทุกข์ไปด้วย การจะกลับมาเก่าจะเร็วหรือช้า ก็ขึ้นกับสิ่งที่เราได้กระทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อนและชาติปัจจุบัน ไม่มีใครที่จะสามารถล่วงรู้ได้


ครับ ผู้เขียนคิดว่า จะกลับบ้านเร็วหรือช้าไม่เป็นไร ขอเพียงแต่กลับบ้านแล้วมีความสุขก็พอ และเพื่อไม่ให้ผู้อ่านเครียดกับการอ่านบทความข้อคิดเห็นในวันนี้มากเกินไป ลองมาฟังเพลง "Let me go home" ฟังแล้วมีประโยคใดที่ท่านชื่นชอบก็บอกกับบ้างนะครับ ขอให้ทุกท่านกลับบ้านในแต่ละวันให้มีความสุขอย่างเต็มที่นะครับ

มนูญ ศรีวิรัตน์

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ค่อยจะต้องการสักเท่าไรนัก เพราะความไม่แน่นอนเป็นบ่อเกิดของความไม่มั่นคง พูดอีกก็ถูกอีกว่า ความไม่แน่นอน คือ ความไม่มั่นคง

ไม่เป็นไรครับ วันนี้ก็ไม่แน่นอน ก็เลยเขียนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเสียเลย

ความไม่แน่นอนเกิดได้ทุกเสี้ยววินาทีของชีวิตคนเรา เพราะถ้าหากเราลองสังเกตตัวเราจิตของเราดูจะรู้ว่าเมื่อไรก็ตามที่เราไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ความไม่แน่นอนจะแวบเกิดขึ้นมาทันทีทันใด ถ้าหากท่านไม่เชื่อลองดูก็ ว่า ตัวเรานั้นไม่แน่นอนเลยว่าจะทำอะไรหากว่าจิตของเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไม่อยู่กับอาการที่เราเป็นอยู่

ชีวิตเราขณะนี้เป็นอย่างนี้ไม่รู้ว่าวินาทีข้างหน้าที่จะเป็นอย่างไร ความไม่แน่นอนสามารถเกิดขึ้นอยู่กับตัวเราได้เสมอ หลายๆ ท่านอาจจะบอกว่าที่จะเรากำหนดไว้จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่ท่านอย่าลืมนะครับว่าในโลกใบนี้นั้นมีปัจจัยต่างๆ มากมายมากระทบมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น ตัวอย่างมีมากมาย เหมือนเช้านี้ผู้เขียนตั้งใจว่าจะไปรับประทานอาหารเช้าที่ร้านน้องโอ๋ (หน้ามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) แต่พอขับรถยนต์มาติดไปแดงและจิตก็แวบว่าอยากจะทานอะไรร้อนๆ (สงสัยเพราะ ดวงตา มองไปเห็นไฟจราจรสีแดง) ก็เลยเปลี่ยนใจไปที่ 7-11 หาโจ๊กหมูร้อนๆ ทานดีกว่า นี้เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยในชีวิตของมนุษย์เราในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง แต่ละนาที่ แต่ละวินาที่ แต่และเสี้ยววินาที

ด้วยเหตุนี้ ความไม่แน่นอนจะเข้ามาหาเราได้ทุกเมื่อเวลา อย่างไรก็ดี หากเราต้องการไม่ให้มันเกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ก็ต้องใช้สติ มีสติ อยู่กับสติ เพื่อทำให้เกิดสมาธิ อันนี้แหละจะเป็นสิ่งที่ขจัดความไม่แน่นอนลงไปได้

สำหรับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการชราภาพของร่างกาย (แต่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการชราภาพของจิตใจได้ ถ้าหากท่านต้องการ) จะกินยาหยุดความชราร่างกายก็ไม่สามารถทำได้ เรื่องดังกล่าว ย่อมจะเรื่องที่แน่นอนสำหรับความแก่ชราที่หลีกหนีไม่พ้น เรื่องของสุขภาพก็เช่นกันสักวันเราก็ต้องเจ็บป่วยอย่าหนีไม่พ้น แต่หากว่าท่านใดที่มีสติ เฝ้าดูแลร่างกายสุขภาพของตัวเองเป็นประจำ (อาจจะ ปีละครั้ง เดือนละครั้ง หรือเวลาใดก็ตามแต่) ความไม่แน่นอนของการเจ็บป่วยก็สามารถที่จะบรรเทาลงไปได้ ความไม่แน่นอนของเรื่องสุขภาพในทุกวันนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เนื่องจากเรื่องของอาหารการกินที่มีสิ่งแปลกปลอมมากมายเข้ามาในชีวิต คนไทยสมัยก่อนรับประทานอาหารที่ปลอดสารพิษ แต่สำหรับประเทศไทยวันนี้ เราต่างได้รับสิ่งที่ไม่แน่นอนเข้าสู่ร่างกาย ก็เลยทำให้ร่างกายของเราไม่มีความแน่นอนว่าจะอยู่ได้ถึงเมื่อไร

ผู้เขียนขอให้ท่านใดที่ไม่อยากจะมีความไม่แน่นอน จงมีสติ มีพลังจิตที่ดีในการสร้างความแน่นอนให้กับชีวิต และขอให้ท่านใดที่เกิดความไม่แน่นอนในชีวิตที่ผ่านมา จงสามารถฟันผ่าอุปสรรคมีสติมีพลังจิตเพื่อสร้างความแน่นอนให้กับตนเอง ให้กับคนในครอบครัว ให้กับคนรอบข้าง ให้กับเพื่อนร่วมงาน

สุดท้ายนี้ ความไม่แน่นอน จะไม่เกิดขึ้น หากเราเฝ้ามองตัวเราอย่างใกล้ชิดอย่างมีสติในทุกอย่างที่เราทำอยู่ และขอให้เรามาร่วมกัน "สร้างสติและปัญญา แก่สังคมบนพื้นฐานความพอเพียง" ซึ่งเป็นปรัชญาของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีของเรา
มนูญ ศรีวิรัตน์

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รัก คนที่มี ก.ไก่

อันความรักไม่เข้าใครออกใคร หากจะรักใครแล้วบ้างครั้งก็ไม่มีเหตุผล ขอเพียงได้รักก็พอและมีความสุขแล้ว แน่นอนครับความรัก กับ ก.ไก่ และคนที่มี ก.ไก่ เป็นชื่อเรื่องของวันนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะบอกและเล่าให้ฟัง ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็จะพยายามให้มันเกี่ยวข้องกันให้ได้

รัก และ ความรัก ต่อเนื่องจากบทความ เรื่อง “ความรักเจ้าเอย” เมื่อวันก่อน และ ก.ไก่ เป็นอักษรแรกของพยัญชนะไทยที่มีอยู่ หลายๆ คนเคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไม่จะต้องเป็น ก.ไก่ ครั้งหนึ่งผู้เขียนก็มีข้อสงสัยเหมือนกัน ว่า ทำไมถึงเรียก ก.ไก่ ในที่สุดผู้เขียนก็คิดได้ว่า มันน่าจะเป็นเพราะ ไก่ เป็นสัตว์ที่ตื่นก่อนใครๆ แทบทั้งสิ้นและเมื่อเขาตื่นแล้วเขาจะขันเป็นเสียงที่เราทุกคนต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอนในตอนเช้าตรู่ ดังนั้น ก.ไก่ เลยจะต้องมาก่อนอักษรใดๆ ของไทยเราอย่างแน่นอน

ที่นี้ ก.ไก่ สำคัญอย่างไรกันเกี่ยวข้องกับคนที่มี ก.ไก่ อย่างไร ครับ จะเห็นว่า สำหรับผู้ชายแล้วเมื่อเจริญเติบโตขึ้นจะใช้คำนำหน้าว่า “นาย” และถ้าหากตามด้วย ก.ไก่ ที่เป็นตัวที่นำก่อนใครๆ อักษรใดๆ แล้วละก็ จะกลายเป็น “นายก” คือ ผู้ที่เป็นผู้นำขององค์กร หน่วยงาน ทั้งระดับประเทศ ระดับท้องถิ่น ระดับมหาวิทยาลัย ดังที่เรียกว่า นายกรัฐมนตรี นายกองค์การบริการส่วนจังหวัด นายกสภามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่กระทั่งระดับนักเรียน นักศึกษา เรายังเรียกว่า นายกสโมสรนักศึกษา นายกองค์กรนักศึกษา หรือท้องถิ่นระดับตำบล ก็เรียกว่า นายกองค์การบริการส่วนตำบล หรือ เทศบาล ก็เรียกว่า นายกเทศบาล

จะเห็นว่า นายก เหล่านี้ข้างต้นนั้น เราต่างก็ให้ความรัก (และจะต้องแถมด้วยคำว่า “เคารพ” ด้วย) เพราะท่านเหล่านั้นเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กรต่างๆ มีหน้าที่ที่จะบริหารนำพาองค์กรให้สำเร็จตามสิ่งที่ตั้งหมายมุ่งหวังไว้หรือตามวิสัยทัศน์ ความรักดังกล่าวนั้นเป็นความรักที่บางครั้งเราอาจจะเหมือนถูกบังคับให้รัก แต่ก็มีความรักด้วยความจริงใจด้วยเช่นกัน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นการบริหารงานการทำงานอยู่ร่วมกันย่อมจะไม่มีความสุขไปด้วย

นอกจากความรักที่มีต่อ คนที่มี ก.ไก่ ข้างบนที่เป็นนายกต่างๆ แล้วนั้น ผู้เขียนคิดว่า “รัก” หรือ “ความรัก” สำหรับ คนที่มี ก.ไก่ อีกอย่าง คือ ความรักที่มีต่อคนที่มี
ก.ที่เรียกว่า “กล้าหาญ คือ คนที่กล้าหาญในการทำงาน ในการปฏิบัติตนปฏิบัติงาน”
ก.ที่เรียกว่า “กีฬา คือ คนที่มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย”
ก.ที่เรียกว่า “กติกา คือ คนที่ทำงานหรืออะไรก็ตามแต่ภายใต้กติกาที่กำหนดไว้”
ก.ที่เรียกว่า “กลมเกลียว คือ คนที่มีความสามัคคีในองค์กรหน่วยงาน”
และที่สำคัญ จะต้องเป็นใช่คนที่มี ก.ไก่ ที่เป็น “ก่อเรื่อง” เป็นพอ

ครับ รักคนที่มี ก.ไก่ เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะต้องแสวงหา เพราะถ้าหากเราได้รู้จักเพื่อน ได้รู้จักน้อง ได้รู้จักพี่ ที่มี ก.ไก่ ดั่งข้างต้นแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าในชีวิตนี้เราจะมีสิ่งที่ดีๆ เข้ามาหาตัวเราและเราจะได้ ก.ไก่ เข้ามาหาเรา ที่หมายถึง “กรรมดี ที่เป็นบุญกุศลร่วมกัน”
และที่สำคัญคือ หากรักใครแล้ว ก็อย่าให้ ก.ไก่ ที่เรียกว่า กาลเวลา มากำหนด

มนูญ ศรีวิรัตน์
บทความนี้ ขอมอบให้ คนชื่อไก่ เป็นพิเศษ

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความรักเจ้าเอย

เดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆ ปีเป็นเดือนแห่งความรัก และสัปดาห์นี้จะเริ่มต้นเข้าสู่สัปดาห์แห่งความรัก สำหรับปี พ.ศ.๒๕๕๔ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เป็นวัน Valentine ที่ผู้คนส่วนมากโดยเฉพาะวัยรุ่นรู้จักกันดี

สำหรับความรักผู้เขียนคิดว่าเราทุกท่านก็รู้จักกันดีเป็นอย่างมาก ความรักที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ในฐานะของลูก ก็อยากจะให้ท่านมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ส่วนผู้ที่เป็นพ่อแม่ก็มอบความรักให้กับลูกในทุกอย่างที่จะทำได้ทั้งความเป็นห่วง ความกังวล ความอะไรต่างๆ มากมายที่พ่อแม่จะมอบให้ และสิ่งหนึ่งที่คนเป็นพ่อและแม่ต้องการจะมอบให้ คือ ต้องการมอบความรักให้ลูกเพื่อให้ลูกเป็นคนดีเจริญเติบโต มีอาชีพการงานหน้าที่ที่ดีมั่นคง กล่าวได้ว่าความรักของพ่อแม่ คือ ความรักที่มีแต่ให้ และจะให้ไปตลอดชีวิตของท่าน

ความรักนั้นมีหลายประเภท ผู้เขียนเองก็ไม่ได้เป็นผู้ที่สันทัดหรือเชี่ยวชาญสักเท่าไร แต่ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนที่เกิดมานั้นล้วนประสบพบรักในหลายรูปแบบ บางท่านก็มีความรักตั้งแต่เด็กๆ ที่เรียนกว่า ความรักเด็กๆ เติบโตขึ้นมาก็พบกับความรักอีกแบบที่เป็นแบบวัยรุ่นในวัยเรียนทั้งระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย และเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทำงานก็เป็นความรักอีกแบบหนึ่ง

อย่างไรก็ดี เมื่อมีรัก มีความรักเกิดขึ้น ก็ย่อมมีอีกสิ่งหนึ่งที่คู่กันเสมอ นั้นคือ ความผิดหวัง ความไม่สมหวัง ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ตามมาในที่สุด ผู้เขียนเชื่อว่าเราทุกคนไม่อยากจะเกิดความผิดหวังความทุกข์กันหรอก เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันไม่มีความสุขเลย จิตใจก็เฝ้าคิดเฝ้าคอยย้อนกลับถึงอดีตที่ผ่านมาว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้” บางคนก็โทษสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยิ่งทำให้เกิดทุกข์เกิดกรรมต่อกันเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

ความรักเป็นสิ่งที่ดี ที่เราสามารถมอบให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างของเราได้ ความรักง่ายๆ คือ ต้องการเห็นคนอื่นๆ (เพื่อนร่วมงาน เพื่อนเรียน เพื่อน หรือ เจ้านาย ลูกน้อง) มีความสุข ต้องการให้คนอื่นๆ ได้รับแต่ความสุข กล่าวง่ายๆ คือ หากว่าเราคิดดีแล้ว ย่อมจะเกิดความรักขึ้นมาได้ง่ายเช่นกัน อีกประการหนึ่ง คือ ความรักที่มีต่อสถาบัน ซึ่งสถาบันในที่นี้ คือ ครอบครัว โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน จังหวัด และประเทศชาติของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราที่เราทุกคนชาวไทยให้ความรักเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

ความรักที่อาจจะเป็นทุกข์ ผู้เขียนคิดว่าความรักที่ต้องการเป็นเจ้าของ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราต้องการอะไรและต้องการเป็นเจ้าของให้ได้ ก็จะเกิดกิเลสความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอเสนอว่าหากเราทุกคนลองประยุกต์เรื่องของความรัก ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราฯ ที่ว่า (๑) การมีเหตุผล (มีเหตุผลในความรักที่เกิดขึ้น) (๒) การมีความพอประมาณ (มีความพอประมาณในความรักไม่มากไปไม่น้อยไป) และ (๓) การมีความภูมิคุ้มกัน (ทำความเข้าใจร่วมกันในความรักที่เกิดขึ้น เพื่อให้เป็นความรักที่ยั่งยืนร่วมกัน) ภายใต้หลักของความซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ซึ่งผู้เขียนคิดว่า หากเราทุกคนเลือกที่รักอะไรก็ตามแต่ หากได้ลองใช้หลักข้างต้นดูก็น่าจะเกิดประโยชน์และความสุขในความรักนะครับ

ดังนั้น ในโอกาสที่เป็นเดือนแห่งความรัก ผู้เขียนก็ขออวยพรให้ทุกคนได้ประสบพบรักตามหลักข้างต้น และเมื่อเรารักใครแล้วก็ขอให้รักอย่างมีความสุขนะครับ และหากจะลองฟังเพลงนี้ ก็จะมีความสุขเช่นกัน "
ความรักเจ้าเอย"
มนูญ ศรีวิรัตน์