วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เรื่องราวดีบนรถ Taxi วันที่ ๔ กรกฏาคม ๒๕๕๗

เรื่องราวเช้าวันนี้ตามชื่อเรื่อง ได้มีโอกาสนั่งรถแท็กซี่เพื่อจะไปสนามบินดอนเมือง โดยขึ้นรถคันนี้


พอขึ้นรถคนขับก็ทักทายเป็นอย่างดี และถามผมว่าท่านเป็นนายทหารหรือเปล่าครับ  ผมได้แต่ยิ้ม (คิดในใจว่า ถามในช่วงเวลาที่เหมาะสมเหลือเกิน ในช่วง "คสช.") ผมก็ตอบไปว่าไม่ใช่ครับ เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
 
คนขับท่านมีไมตรีจิตดีมากๆ  เพราะ สักครู่หนึ่งได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงท่านใด ได้ผู้คุยกัน และผมได้ยินคำว่า "ใจเย็นๆ ที่รัก" "ให้ทำใจให้สงบสบายๆ" และอื่นๆ อีก ซึ่งผมไม่ได้สนใจ
 
เมื่อคนขับหยุดพูดแล้ว ก็กลับมาขอโทษผม และบอกว่า คุยกับภรรยาที่โทรมาจากขอนแก่น
 
คนขับก็ถามผมว่ามาทำอะไรครับ ผมตอบไปว่ามาเข้าเฝ้าสมเด็จฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ครับ
 
และเมื่อถึงตอนนี้ คนขับก็ได้โอกาสเล่าเรื่องให้ผมฟังค่อนข้างจะยาว ดังต่อไปนี้
 
"เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว ตอนผมเรียนวิศวะที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีฯ และเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ  สมเด็จพระราชินีฯ เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ผิวพรรณผ่องใสงดงามเป็นอย่างยิ่ง  ผมได้มีโอกาสนั่งแถวหน้า และสมเด็จพระราชินีฯ ได้ตรัสถามผมว่า มาเรียนอะไร ผมก็กราบบังคมทูลไป ข้าพระพุทธเจ้าฯ   ...... สมเด็จพระราชินีฯ ตรัสรับสั่งว่า เมื่อจบแล้วให้กลับเมืองไทยของเรานะ
รู้สึกว่าเป็นบุญวาสนาอย่างยิ่งในชีวิต 
 
จริงๆ แล้วผมจะมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากผมได้บริจาคโลหิตมาแล้วกว่า ๑๒๖ ครั้ง ตอนนี้อายุ ๖๓ ปีแล้ว คุณหมอบอกว่า ต้องอย่างน้อย ๔ เดือนต่อ ๑ ครั้งถึงจะได้
 
ชีวิตผมที่ผ่านมาเมื่อจบมาแล้วกลับมาเมื่อไทยก็ทำงานเงินเดือนเป็นแสน เมื่อสมัยก่อน เป็นล่ามญี่ปุ่นด้วย  แต่เป็นคนที่ไม่ได้เก็บเงินสักเท่าไร ใครยืมก็ให้ไม่ได้สนใจ ได้เงินมาก็มือซ้ายคีบบุหรี่ มือขวาก็ยกแก้วเหล้า เป็นอย่างนี้อยู่หลายปีมาก จนมาวันหนึ่งลูกสาวที่เรียนอยู่ชั้นอนุบาลไอ (ซึ่งไม่ใช่ฤดูหนาว) ผมก็สังเกตว่าทำไมลูกสาวถึงไอไม่หยุด  ผมนั่งคิดได้สติสักครู่ เรียกภรรยามา แล้วบอกว่า ต่อไปนี้ "พ่อจะเลิกบุหรี่เพื่อลูก และเลิกเหล้าเมื่อแม่ (ภรรยา)" เท่านั้นแหละ ภรรยาผมก้มกราบที่เท้า แล้วบอกว่า "เชื่อว่าพ่อจะทำได้เพราะพ่อเป็นคนที่มีสัจจะ"  หลังจากนั้นมาผมไม่แตะต้องทั้งสองสิ่งเลย (บุหรี่และเหล้า)
 
ที่สำคัญ คือ ผมทำงานมาไม่เคยเก็บเงิน เลยต้องมาขับรถแท็กซี่เมื่อตอนอายุมาก แต่ผมก็มีความสุข เพราะเป็นอาชีพที่สุจริต ซึ่งผมเชื่อว่าที่ผมต้องขับแท็กซี่อยู่ตอนนี้ขณะนี้ คือ การชดใช้กรรมที่ผมทำผ่านมาในอดีต (ทั้งอดีตชาติ) ซึ่งเราต้องยอมรับและเผชิญหน้าอย่างมีความสุขใช่หรือเปล่าครับอาจารย์  อาจารย์เชื่อเรื่องบุญกรรมหรือเปล่าครับ"
 
มาถึงตอนนี้ ผมได้แต่ยิ้มๆ   คนขับยังกล่าวชมอีกว่า "อาจารย์นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะผมก็พอมีความรู้พวกนี้ผ่านอะไรมาเยอะมากมาย ผมดูใครไม่เคยผิดหรอก (คนขับ "ลุง") ผมว่าอาจาย์ต้องเป็นคนดีที่ดีอย่างแน่นอน" 
 
เมื่อคุณลุงพูดถึงตอนนี้ ผมก็ได้ตอบไปว่า "ไม่ได้เป็นคนดีอะไรหรอกครับ แค่อยากทำอะไรที่ไม่เป็นโทษกับตัวเราและผู้อื่น ครับ"  อะไรที่เราจะทำได้โดยเราไม่เดือดร้อนและคนอื่นได้ประโยชน์มีความสุขเราก็สมควรจะทำใช่หรือเปล่าครับ
 
คุณลุงได้เล่าต่อว่า "การขับแท็กซี่ผมได้เจอแต่คนดีๆ เคยรับพระสงฆ์ท่านไม่มีปัจจัย ผมก็ถวายเพิ่มเติมให้อีก โดยหลวงพ่อก็ให้พร  ผมก็มีความสุขแล้วครับ ซึ่งบางวันก็ไม่มีเงินเหลือสักเท่าไรเลยก็มีครับอาจารย์   แต่มีครั้งหนึ่งทำให้ผมถูกรางวัลล๊อดเตอร์รี่เหมือนกัน คือ เมื่อพระท่านลงไปแล้วเลขมิเตอร์ที่เป็นจำนวนเงินค่าแท็กซี่ ผมเอาไปซื้อถูกเลยครับ "
 
ที่เล่ามานี้ผมลืมบอกไปได้ ผมขอให้คุณลุงขึ้นทางด่วน เพราะ "เวลาเป็นสิ่งมีค่า"  เราซื้อเวลาได้ แล้วเอาเวลาไปทำประโยชน์ ครับ คุณลุงแก่ชอบใหญ่เลยครับ
 
ครับที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี้ (อาจจะไม่หมด) คัดเอามาเล่าให้อ่านเพื่อจะเป็นข้อคิดว่า "สัจจะ ความตั้งใจจริง ของคนเราสามารถทำได้ ถ้าเราจะทำ" และที่สำคัญคือ "ยอมรับผลกรรมของตนอย่างมีความสุขยิ้มเผชิญสู้ไม่ถอยหนีชีวีของเราก็ย่อมจะเป็นสุขครับ"
 
อจต.
มณูญพงศ์ ศรีวิรัตน์
บันทึก ณ สนามบินดอนเมือง เวลา ๑๐.๑๔ น. วันที่ ๔ ก.ค. ๒๕๕๗
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น