วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สอ มอ ศอ ยุบ หรือ ไม่ยุบ

ช่วงนี้กระแส คสช. แรงมาก เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ แต่ด้านหนึ่งที่น่าสนใจ คือ เกี่ยวกับการศึกษา โดยเฉพาะด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือสำนักงานรับรองมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา(สมศ.) มีการกล่าวถึงว่า "จะยุบ หรือ ไม่ยุบ" จะดีหรือไม่อย่างไร
 
ผู้เขียนไม่ขอกล่าวถึงก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าในอดีตขณะที่ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ก็มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านประกันคุณภาพการศึกษาอยู่ช่วงหนึ่งก็ตามแต่
 
ต่อไปนี้ ผู้เขียนขออนุญาตกล่าวถึงเฉพาะ "การประกันคุณภาพการศึกษา กับ อุดมศึกษา" ก็แล้วกัน นะครับ
 
สำหรับ สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ผู้เขียนคิดว่ามีการบริหารงานภายใต้พระราชบัญญัติของสถาบันนั้นๆ ซึ่งเชื่อว่าภายใต้พระราชบัญญัตินั้น ได้กำหนดพันธกิจไว้ คือ ๑. ผลิตบัญฑิต ๒. ทำงานวิจัย ๓. ให้บริการด้านวิชาการ และ ๔. ทำนุบำรุงวัฒนธรรมศิลปะ
 
พันธกิจ ทั้ง ๔ อย่างข้างต้น เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้มีคุณภาพมากที่สุด อันเป็นการสะท้อนคุณภาพของสถาบันนั้นๆ  แน่นอนว่า สมศ. เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา ที่ควบคุมมีตัวชี้วัดตัวบ่งชี้ต่างๆ ในการด้านต่างๆ องค์ประกอบต่างๆ ทั้งเกี่ยวข้องกับพันธกิจทั้ง ๔ ด้าน ทั้งด้านที่เรียกว่า
Input Process Output ก็ว่ากันไป
 
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะสะท้อนว่า หากว่าเราคนไทยในฐานะที่นับถือพระพุทธศาสนา เราลองสังเกตว่า "วัด" ต่างๆ จะมีคุณภาพได้อย่างไร เราดูที่จุดไหน ผู้เขียนคิดว่าสิ่งหนึ่งที่มองคือ คุณภาพของพระสงฆ์ เจ้าอาวาส พระผู้หลักผู้ใหญ่ของวัด หากว่าพระเหล่านั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คุณภาพของวัดของพระลูกวัดก็ดีตามมาด้วย อันดีผู้อ่านคิดว่าใช่หรือไม่ ผู้เขียน ขออนุญาตยกตัวอย่าง เช่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (จ.อุทัยธานี) หลวงพ่อจรัญ (จ.สิงห์บุรี) เป็นต้น สำนักพระพุทธศาสนาฯ หรือ มหาเถรสมาคม ได้มีตรวจคุณภาพของวัดของพระ มีตัวบ่งชี้ตัวชี้วัดองค์ประกอบต่างๆ หรือไม่ อันนี้ น่าคิดอย่างยิ่ง
 
เมื่อพุทธศาสนิกชนเห็นดังกล่าวก็มั่นใจในเรื่องคุณภาพของวัด จะทำการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นทำบุญในโอกาสต่างๆ ก็มักจะไปวัดเหล่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับวัดบางวัด (อาจจะมีส่วนน้อยมากในประเทศไทย) ที่เจ้าอาวาสวัดไม่สนใจพัฒนาวัด พระผู้ใหญ่ในวัดไม่สนใจปฏิบัติธรรมปฏิบัติชอบในทางที่พระพุทธเจ้าทรงได้สั่งสอนไว้ ผู้อ่านคิดว่าจะมีพุทธศาสนิกชนไปทำบุญหรือวัดดังกล่าวหรือไม่อย่างไร ครับ
 
ซึ่งเหมือนกับที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่วัดหนองป่าพงของหลวงปู่ชา สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น มีลูกศิษย์ลูกหาต่างๆ มากมาย ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ แต่หลวงปู่ชาสามารถที่จะสอนได้ทุกรูปแบบ แม้ท่านจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่หลวงปู่ชาสามารถสอนพระฝรั่งได้ นับได้ว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของคุณภาพของวัดหนองป่าพง ที่ปัจจุบันก็ยังคงได้รับศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  คำถาม คือว่า วัดหนองป่าพง ทำอย่างไร หลวงปู่ชา ทำอย่างไร ถึงได้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับอย่างที่ไม่มีข้อสงสัย
 
ครับ ขอวกกลับมาสถาบันอุดมศึกษา ที่ปัจจุบันต่างแข่งขันในด้านต่างๆ ทั้งด้านปริมาณนักศึกษา (เนื่องจาก สถาบันอุดมศึกษาจะต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้) และคุณภาพละจะอย่างไร
 
สำหรับ "การผลิตบัณฑิต" หากเรายึด ผลลัพธ์ (คุณภาพ) ของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาเป็นหลัก ก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจาก บางสาขาวิชาต่างก็มีสภาวิชาชีพกำหนดว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแล้ว ยังจะต้องสอบเพื่อให้ได้ใบวิชาชีพ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัช วิศวะ นิติศาสตร์ (สอบเนติ ทนาย) เป็นต้น  แล้วดูว่า สถาบันใดที่สอบวิชาชีพผ่านสูงสุดก็แสดงว่ามีคุณภาพในสาขานั้นๆ โดยเรียงร้อยละจากมากไปน้อย ก็น่าจะทราบระดับคุณภาพในการผลิตบัณฑิตของสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ได้
 
ส่วน "งานวิจัย" ก็ดูว่าสถาบันใดนำงานวิจัยไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้ประโยชน์มากที่สุด (ขอเน้นนะครับ วิจัยเพื่อชาวบ้าน เพื่อสังคม ให้มีความอยู่ดีกินดีขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนงานวิจัยที่แข่งขันกับประเทศที่เจริญแล้ว ผู้เขียนไม่ขอก้าวล่วงก็แล้วกัน เพราะคิดว่าเราอาจจะไม่เท่าทันสักเท่าไร)
 
และ "การบริการวิชาการ" ก็เกิดจากงานวิจัยเพื่อชาวบ้านนั้นแหละ หากได้ผลก็นำไปอบรมเผยแพร่ประยุกต์ใช้งานต่อไป ปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อยๆ ให้ดียิ่งๆ นำกลับไปสอนเพื่อให้นักศึกษาทราบ ซึ่งมันก็จะเป็นวงจรบูรณาการการวิจัย บริการวิชาการ การสอน วนเวียนกัน เกิดพัฒนาอย่างไม่รู้จบ
 
ส่วน "การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม" อันไหนที่เป็นวัฒนธรรมที่ดี ศิลปะที่ดี น่าจะร่วมมือกับ "องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น" กับ "ชาวบ้าน" กับ "วัด" ร่วมกันช่วยกันนำสิ่งที่คิดว่าดีอยู่แล้วทำให้ดีกว่าเดิมเพื่อให้ลูกหลานชาวไทยได้รับทราบในอนาคต
 
 
ที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว (ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันหน่วยงานที่ผู้เขียนทำงานอยู่นะครับ) แต่หากว่าเป็นเรื่องที่ดี เราก็ควรจะ "ค้นหาสิ่งดีๆ มาปฏิรูปการศึกษา ให้ดียิ่งๆ ขึ้น โดยที่ไม่ทำให้เกิดความทุกข์กับใคร" ดั่งวิธีการปฏิบัติพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ที่ว่า "ประหยัด เรียบง่าย ประโยชน์สูงสุด" (อ้างอิงจาก http://ubumanoon.blogspot.com/2014/06/blog-post.html)
 
ผศ.ดร.มณูญพงศ์ ศรีวิรัตน์
อดีตรองอธิการบดี ม.อุบลฯ (พ.ศ.๒๕๔๕-๒๕๕๕)
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น