วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พระราชดำรัส′ในหลวง′พระราชทานแก่ประชาชนโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๗

พระราชดำรัส′ในหลวง′พระราชทานแก่ประชาชนโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๗ "คิดจะทำสิ่งใด ให้นึกถึงส่วนรวมและความเป็นไทย"



ต้องนึกถึงส่วนรวม ทุกคนร่วมความเป็นไทย
สิ่งหนึ่งในจิตใจ พ่อหลวงไทยยั่งยืนยิ่ง


ส่วนรวมของคนไทย ทุกหัวใจพร้อมทุกสิ่ง

ส่วนรวมที่แท้จริง เป็นทุกสิ่งความเป็นไทย


ความเป็นไทยใหญ่ยิ่ง มีอยู่จริงหากพร้อมใจ

“สามัคคี” นั่นไง มาคนไทยช่วยกันทำ


ส่วนรวมด้วยธรรมะ น้อมจิตตะยุติธรรม

ส่วนรวมต้องเป็นธรรม ไทยน้อมทำนำสุขเอย


อจต.

๑ มกราคม ๒๕๕๗


พระราชดำรัส′ในหลวง′พระราชทานแก่ประชาชนโอกาสขึ้นปีใหม่"คิดจะทำสิ่งใด ให้นึกถึงส่วนรวมและความเป็นไทย"



เมื่อวันอังคาร ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๗



ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย



บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุก ๆ คน ให้มีความสุข ความเจริญ และความสำเร็จสมประสงค์ ในสิ่งที่ปรารถนา.



ความปรารถนาของทุกคน คงไม่แตกต่างกันนัก คือต้องการให้ตนเอง มีความสุขความเจริญ และให้บ้านเมือง มีความสงบร่มเย็น. ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ท่านทั้งหลาย รักษาสุขภาพกายสุขภาพจิต ให้สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อให้สามารถปฏิบัติภาระหน้าที่ได้เต็มกำลัง. ข้อสำคัญ จะคิดจะทำสิ่งใด ให้นึกถึงส่วนรวมและความเป็นไทยไว้เสมอ. งานของตน และงานของชาติ จักได้ดำเนินก้าวหน้าไปโดยถูกต้อง เที่ยงตรง ไม่ติดขัด และบรรลุถึงประโยชน์ เป็นความสุข ความเจริญ และความสงบร่มเย็น ดังที่ทุกคนตั้งใจปรารถนา.



ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกายสุขใจ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน

เชิญชมและรับฟัง

พระราชดำรัส ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๗



วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สมรัก สมรส

เมื่อวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๕๖ เจ้าสาว (ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำกัด) ได้ให้เกียรติผมกล่าวคำอวยพรในฐานะผู้บังคับบัญชา (คือ ผมในตำแหน่งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำกัด)  ดังนั้น สิ่งที่ได้กล่าวเมื่อคำคืนวันที่ ๓ พ.ย.๒๕๕๖ ที่ผ่านมาคือ

กราบเรียน ท่าน ดร.ศรีภูมิ สุขเนตร และคุณหญิง  ท่าน สมาชิกวุฒิสภา ท่าน ศ.ดร.เชิดชัย รัตนะเศรษฐากุล และแขกผู้เกีียรติ ที่เคารพ

ผมต้องขอขอบคุณเจ้าสาวที่ได้ให้เกียรติผมขึ้นมากล่าวอวยพรในค่ำคืนนี้  เมื่อตอนที่ผมเขามาในงานก็ได้เขียนคำอวยพรไปแล้ว ว่า "สมรัก สมรส" ซึ่งสมรสที่ว่า คือ ให้เรียนรู้ในทุกรสชาดของชีวิต เพราะชีวิตรักจะต้องมีหลายรสชาด ทั้งหวาน เปรี้ยว เค็ม มัน ดังนั้น การอยู่ด้วยกันจะต้องเรียนรู้ให้ครบทุกรส 

กล่าวสำหรับเจ้าบ่าว เนื่องจากเป็นลูกศิษย์ ม.อุบลฯ ทั้งระดับปริญญาตรี และปริญญาโท จาก ม.อุบลฯ และทำงานในตำแหน่งหน้าที่ด้านงานตรวจสอบภายในของ ม.อุบลฯ ซึ่งที่ผ่านมา ๑๐ กว่าปีที่ผมทำงานในตำแหน่งรองอธิการบดีของ ม.อุบลฯ ก็ได้รู้จักกับเจ้าบ่าวเป็นอย่างดี เจ้าบ่าวเป็นคนดี ขยัน โดยเห็นได้จากเวลาที่ผมไปตลาดสดวารินฯ ไปเวลาเช้า (มากๆ) ก็มักจะเห็นเจ้าบ่าวช่วยเหลืองานที่ร้านตั้งแต่เช้าเป็นประจำ  

ส่วนเจ้าสาวนั้น จำได้ว่าเมื่อตอนที่ผมเป็นผู้จัดการสหกรณ์ระยะสี่ปีแล้ว เจ้าสาวก็มาทำหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ฯ ต่อจากผม และหายไปช่วงหนึ่งแล้วกลับมาใหม่ โดยได้ร่วมงานกับผมมาเป็นเวลาเกือบ ๔ ปี นับได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านสหกรณ์อย่างยิ่งเนื่องจากสำเร็จปริญญา ตรี โท จาก ม.เกษตร  ดังนั้น สหกรณ์ฯ ม.อุบลฯ โชคดีที่ได้มีเจ้าสาวเป็นผู้จัดการฯ ซึ่งหน้าที่ของผู้จัดการจะต้องทราบเรื่องของเดรบิต เครดิต เรื่องของความสมดุลเป็นอย่างดี ดังนั้น ชีวิตสมรสก็เช่นกันจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้มีความสมดุล เพื่อให้มีที่เรียกว่า

- ไม้เท้ายอดทอง คือ อยู่ด้วยกันจนแก่ชราอย่างมีคุณค่า
- กระบองยอดเพชร คือ อยู่ด้วยกันครองรักกันอันเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งดั่งเพชร 

นอกจากนั้น ชีิวิตคู่ ชีวิตสมรส จะต้องให้เหมือน "มะม่วง" เพราะ มะม่วงตอนดิบก็กินได้อร่อยมันส์ดี ตอนสุกก็หวานอร่อย และตอนสุกมากๆ ก็เอาไปทำเป็นมะม่วงกวน ดังนั้น จะต้องครองคู่กันให้เหมือนมะม่วง นะครับ 

และที่สำคัญ คือ ขอให้ทั้งสอง "รวย" รวยที่ว่า ประกอบด้วย ดังนี้
 "ร" รักกันให้มากๆ มีความรุ่งเรืองให้หน้าที่การงาน
 "ว" วุฒิภาวะ ให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นในการอยู่ร่วมกัน
 "ย" ยอม กัน โดย ยอมที่ว่าขอขยายเป็นดังนี้

       "ย" ยุติ ให้ยุติโดยเร็วเวลาที่เกิดมีเรื่องต่อกันทะเลาะกัน 
           "อ" อดทน ให้อดทนซึ่งกันและกัน
           "ม" ไม่เอาอีกแล้ว หากมีเรื่องกันก็พิจารณากันว่าจะไม่เอาอีกแล้วในเรื่องนั้น ๆ

และสุดท้ายเพื่อให้เข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ผมขอเสนอให้ความรักของทั้งสอง "เลิศ" แต่เลิศที่่ว่าขอเป็นภาษาอังกฤษ คือ "LERT" โดยที่ 
 "L" คือ Love รักกันให้มากๆ 
 "E" คือ Emotion ความรู้สึกที่ดีๆๆ ต่อกัน
 "R" คือ Relax ผ่อนคลาย ชีวิตคู่จะต้องผ่อนคลายกันบ้าง และที่สำคัญคือ ตัว "T"
 "T" คือ Time เวลา จะต้องมีเวลาให้กันและกัน 

ดังนั้น ขอให้ทั้งสอง รวยๆๆๆ และ LERTๆๆๆ นะครับ 

ขอบพระคุณครับ
 

 

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อ้าว เอาอีกแล้ว “คนจังหวัดนี้”

วันนี้ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ได้มีโอกาสนั่งรถ Taxi  เมื่อขึ้นนั่งด้านในแล้ว สิ่งแรกที่ผมจะขาดไม่ได้ คือ ทักทายคนขับ “อ้ายเจ้าอยู่บ้านได๋”  ได้รับคำตอบกลับคืนว่า “แถวบ้านเฮานั่นแหละ” แล้วผมก็ไม่ได้ถามต่อว่าอยู่จังหวัดอะไร แต่สิ่งที่เราแลกเปลี่ยนกันคือ “ความน่าเบื่อของเมืองหลวงมันวุ่นวายเหลือเกิน”  พอพูดคุยกันไปพอสมควร  ในที่สุดคนขับ Taxi ก็เล่าให้ผมฟังดังนี้

“เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาได้ลาออกจากบริษัท (มหาชน) แห่งหนึ่ง ได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เลยซื้อ Taxi ต่อจากอาเพื่อขับรับจ้าง และขณะเดียวกันก็มีเงินเหลือบ้างส่วนส่งกลับบ้านโดยนำเงินไปเซ้งที่ขายเสื้อผ้าในบริเวณของ Lotus Express (ซึ่งตั้งที่เทศบาลตำบล ที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอ) โดยให้แม่เป็นคนดูแลกิจการดังกล่าว โดยนำเสื้อผ้าจากตลาดโบ้เบ้ ประตูน้ำ หรือ แพลทตินั่ม เป็นต้น โดยวิธีการคือจะมีลูกค้าสั่งผ่านแม่แล้วก็ส่ง Line หรือ Facebook ส่งรายละเอียดมาให้  แล้วก็จะขับ Taxi ไปซื้อที่ ตลาดโบ้เบ้ ประตูน้ำ หรือ แพลทตินั่ม หลังจากนั้นก็ส่งผ่านรถทัวร์ที่สถานนี้ขนส่งหมอชิต (ส่งเย็นถึงเช้า หรือ ส่งเช้าถึงเย็น) ก็ดำเนินการกิจการนี้มาเป็นเวลาปีกว่าๆ ทั้งขับรถ Taxi ไปด้วย  ก็นับว่ากิจการไปได้ด้วยดี  กำไรที่จากการขายเสื้อผ้าก็พอสมควรเพราะกลุ่มลูกค้าในเทศบาลตำบลมีทั้งนักเรียน แม่ค้า ข้าราชการ (ครู อบต) เป็นต้น  สิ่งที่คิดและทำเสมอคือ การคิดดี  ขับ Taxi ก็คิดแต่ดีๆ  การขายเสื้อผ้าก็เหลือแต่อันดีๆๆ ให้ลูกค้า”

ครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมจับใจความจากการสนใจกันในระยะเวลาสั้นๆ ของช่วงการนั่ง Taxi ทำให้ผมทราบว่า คนขับ Taxi คนนี้ จะต้องเป็นคนดี เพราะเขาพูดถึง “แม่” เขาเสมอว่าที่เขาโตและมีวันนี้ได้ก็เพราะ “แม่” ของเขา (พ่อของเขาเสียไปนานแล้ว) เขาอยากจะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด อยากจะมีความสุขในการใช้ชีวิตที่ไม่วุ่นวาย ซึ่งเขาได้วางแผนชีวิตไว้เช่นกันว่า ขับ Taxi และขายเสื้อผ้า เก็บเงินอีกสักพักหนึ่งก็คงจะหาลู่ทางกลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างแน่นอน
จากสิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้น ทำให้ผมทราบว่า คนขับ Taxi ท่านนี้มีสิ่งต่อไปนี้
-         ระลึกถึงพระคุณของผู้ให้กำเนิด (พ่อแม่) อยู่ตลอดเวลา
-         เป็นผู้ที่มีการวางแผน (ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนจบระดับปริญญาแต่อย่างใด)
-         เป็นผู้ที่รู้จักนำ Social Networks มาใช้ประกอบในการหารายได้ (ซึ่งเวลาหลังจากที่เลิกขับ Taxi ในตอนเย็นแล้ว เขาก็ดู Internet อ่านข่าว หาข้อมูลเกี่ยวกับอันที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง อันนี้เขาเล่าให้ผมฟังครับ)

และสุดท้ายเมื่อผมจะลงจาก Taxi ก็เลยถามเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เป็นคนที่ไหนครับ” เขาผมว่า
     “บ้านผมที่ตำบลแห่งหนึ่งของอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดร้อยเอ็ด ครับ”

 และแล้วก็ทำให้ผมได้รู้จักคนบ้านเดียวกันอีกท่านหนึ่ง “เราคนร้อยเอ็ดเหมือนกันครับ คนบ้านเดียวกัน

อจต. (มณูญพงศ์ ศรีวิรัตน์)

บันทึกไว้วันศุกร์ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ สนามบินดอนเมือง เวลา ๑๕.๓๐ น. 

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บัว






>>>> “บัว” <<<<
===============
เรื่องของบัว ทั่วไป ไม่รู้ดี
บัวมีดี ราชินี แห่งพืชน้ำ
บัวที่เห็น เป็นอยู่ งามเลิศล้ำ
ควรจดจำ นำรู้ คู่บูชา

บัวอียิปต์ มีดี  สีพันปี
บัวหลายสี ที่เป็น เห็นล้ำค่า
บัวอุบล ล่องหน คนสืบหา
บัวมีค่า หารู้ คู่อุบลฯ






ดอกบัวกับพุทธศาสนา
เมื่อพระสิทธัตถะออกบวช ทรงกระทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนบรรลุอนุตรสัมมาโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ทรงพิจารณาถึงธรรมที่ทรงตรัสรู้ว่าเป็นธรรมะอันล้ำลึกยากที่ชนผู้ยินดีในกามคุณจะรู้ตามได้ แต่อาศัยพระมหากรุณาในหมู่สัตว์ ทรงพิจารณาทบทวนดูอัธยาศัยเวไนยสัตว์อีก ก็ทรงทราบว่าผู้มีกิเลสเบาบางอันอาจรู้ตามได้ก็มี จึงเกิดอุปมาเวไนยสัตว์เหมือน “ดอกบัว”ว่า
เวไนยสัตว์ย่อมแบ่งออกเป็นสี่เหล่าตามอัธยาศัย คือ

หล่า ๑  ผู้มีกิเลสน้อยเบาบาง มีอินทรีย์กล้าจะพึงสอนให้รู้โดยง่าย อาจรู้ธรรมพิเศษได้ฉับพลัน อันเปรียบเหมือนดอกปทุมชาติที่โผล่พ้นจากพื้นน้ำขึ้นมา แล้วคอยสัมผัสรัศมีพระอาทิตย์อยู่ จักบานในวันนี้

เหล่า ๑ ผู้มีกิเลสค่อนข้างน้อย มีอินทรีย์ปานกลาง ได้รับอบรมจนอุปนิสัยแก่กล้าแล้ว ก็สามารถบรรลุธรรมพิเศษได้ เปรียบเสมือนดอกบัวซึ่งยังตั้งอยู่เสมอพื้นน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้

เหล่า ๑ ผู้ที่มีกิเลสยังไม่เบาบาง ก็ยังควรได้รับคำแนะนำในธรรมปฏิบัติไปก่อนจนกว่าอินทรีย์จะแก่กล้า จึงสอนให้รู้ธรรมะขั้นสูง ก็จะบรรลุธรรมพิเศษ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำ คอยเวลาที่จะเลื่อนขึ้นจากน้ำ และบานในวันต่อ ๆ ไป

เหล่า ๑ ผู้ที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบหาอุปนิสัยไม่ได้เลย ไม่สามารถจะบรรลุธรรมพิเศษได้ เปรียบเหมือนดอกบัวที่จมอยู่ใต้น้ำ และเป็นภักษาของเต่าปลา
(อ้างอิงที่มา หนังสือ “บัว ราชินีแห่งไม้น้ำ โดยคุณหญิงคณิตา เลขะกุล)


>>>>  บัวสี่เหล่า  <<<<
อันว่าบัว ทั่วไป ให้เหมือนคน
มีปะปน คนไป ในสี่เหล่า
จมใต้น้ำ ตามจิต คิดโง่เขลา
คงต้องเศร้า เหงาใจ ไปอีกนาน

บัวในน้ำ ดำดิ่ง นิ่งไม่ได้
ไม่สุขใจ ได้อยู่ อีกช้านาน
บัวพื้นน้ำ ยามนี้ ดีก่อสาน
ไม่ช้านาน สานก่อ ต่อเรื่องดี

บัวพ้นน้ำ ทำดี มีมากมาย
ย่อมสบาย กายใจ ให้สุขี
บัวสูงส่ง ตรงธรรม นำความดี
ย่อมจะดี มีพ้น ล้นทางธรรม

มณูญพงศ์ ศรีวิรัตน์
๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖

อ่านเรื่อง บัวอุบล => BUA UBON 

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

๑๕ สิงหาคม : หลวงพ่อจรัญ

เนื่องจากวันนี้ (๑๕ สิงหาคม ) เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่กระผมได้ระลึกถึงมาประมาณหลายปีที่ผ่านมา (เดี๋ยวในท้ายบทความจะเฉลยว่าเป็นวันอะไรนะครับ)

เกี่ยวกับ “หลวงพ่อจรัญ” ผู้อ่านหลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินและรับทราบถึงหลวงพ่อจรัญเป็นอย่างดี สำหรับผมเองไม่เคยเจอกับท่านหลวงพ่อจรัญ แต่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่าน

เมื่อหลายปีก่อนประมาณ พ.ศ.๒๕๕๓ คุณพ่อของผมท่านป่วย (อาจจะตามอายุสังขารของท่าน เนื่องจากท่านอายุมากกว่า ๘๐ ปี) และท่านก็จะบอกให้พาท่านไปหาคุณหมอท่านหนึ่งที่อุบลราชธานี  (คือท่านคุณหมอประวิทย์ โภคสวัสดิ์ : ชยางกูลคลินิก) และคุณพ่อของผมก็รู้สึกว่าจะมีความกลัวใน “ความตาย” ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  ก็เลยนำหนังสือธรรมะของหลวงพ่อจรัญ เช่น  กรรมกำหนด และอื่นๆ อีกประมาณ ๒ ๓ เล่ม วางไว้ที่บ้านของคุณพ่อ (ที่อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด) น่าจะประมาณ ปี พ.ศ.๒๕๕๔ (วางทิ้งไว้เฉยๆ โดยที่ไม่ได้บอกให้คุณพ่ออ่าน) ปรากฏว่าเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ ผมกลับไปที่อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ในงานประจำปี คือ บุญบั้งไฟ  คุณพ่อของผมก็มานั่งคุยกับผมที่บริเวณหน้าบ้าน

แล้วประโยคหนึ่งที่คุณพ่อพูดขึ้นมาคือว่า “คนเราก็แค่นี้ ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้” แล้วคุณพ่อก็หยิบหนังสือธรรมะของหลวงพ่อจรัญขึ้นให้ดู (ผมคิดในใจตอนนั้นว่า "แสดงว่าคุณพ่อของผมได้อ่านหนังสือที่ผมวางทิ้งไว้อย่างแน่นอน" ซึ่งท่านได้กล่าวต่อไปว่า "หนังสือเหล่านี้จริงๆ ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อตัวของพ่อ"

แล้วคุณพ่อของผมก็กล่าวต่อไปว่า “หากตายก็ขอเพียงแต่นอนหลับ แล้วก็ไปเลยก็พอ” นี้แหละครับ เป็นสิ่งที่ผมเองก็ดีใจอย่างยิ่งในคำพูดดังกล่าวของคุณพ่อ เพราะทำให้ชีวิตของท่านไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นห่วงในตัวร่างกายในชีวิตว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเกิดมาก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องแก่ และต้องตายกันทุกคน  

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้ผมได้มั่นใจและแน่ใจว่า “หนังสือธรรมะของหลวงพ่อจรัญ” ได้ช่วยให้คุณพ่อของผมได้พบกับทางแสงสว่างในธรรมะ  (และในปีถัดมา พ.ศ.๒๕๕๕ เดือนเมษายน คุณพ่อผมก็ได้ถวายพระประธาน ให้กับวัดต่างๆ ในอำเภอสุวรรณภูมิ เป็นจำนวน ๔ วัด รวมจำนวนทั้งหมดที่คุณพ่อได้ถวายวัดต่างๆ ไปแล้วเป็นจำนวน ๙ วัด)

ครับ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเรื่องของ “หนังสือธรรมะหลวงพ่อจรัญกับคุณพ่อของผม”  ด้วยเหตุดังกล่าว ผมจึงได้กำหนดให้มีการทำบุญพิธีเบิกเนตร“พระพุทธปทุมมุกดานพรัตน์” ณ ภูผาเจีย วิทยาเขตมุกดาหาร (มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี) โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธาน โดยกำหนดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ 

ทั้งนี้ วันที่ ๑๕ สิงหาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน “หลวงพ่อจรัญ” ผมคิดว่าในวันดีๆ ดังกล่าว หากเป็นไปได้ก็อาจจเริ่มต้นจากการหาอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อจรัญ แล้วคอยพิจารณาลองปฏิบัติดูนะครับ อาจจะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีเหมือนกับ “คุณพ่ออ้วน ศรีวิรัตน์” ผู้ไม่กลัวความตายแล้วในตอนนี้ 

อจต.
๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖

 ดูชมตัวอย่างหนังสือธรรมะของหลวงพ่อจรัญ










วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พระอาจารย์ ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล)





บ่ายวันนี้ (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖) ได้รับเกียรติให้เป็นพิธีกรในการบรรยายพิเศษของ พระอาจารย์ ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล)" ผู้อำนวยการธรรมสถาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (วัดฝ่ายหิน) ณ ห้องบรรยาย อาคารเรียนรวม ๕ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

โดยผมจะพยายามสรุป เบื้องต้นตามนี้ครับ

กึ่งธาตุรู้ จะทำหน้าที่บังคับบัญชา เซลล์แต่ละเซลล์
ต้นไม้เป็นการร่วมตัวกันของกลุ่มกึ่งธาตุรู้ ไม่มีจิต อยู่แบ่งหน้าที่กันทำงาน

ธาตุรู้ปฐมภูมิ ที่สามารถควบคุมบังคับบัญชา => สัตว์เซลล์ สามารถดำรงชีวิตได้มีจิต แต่เป็นจิตชั้นต่ำ

มนุษย์ มีสมองใหญ่ทำให้เกิดการจิตนาการ ฉลาดมายิ่งขึ้น
มนุษย์  น่าจะมีวิวัฒนาการมาจากตัวตุ่น เช่น เมื่อโกรธกันก็ด่ากันว่า โง่เง่าเต่าตุ่น

หากว่าผิวหนังมนุษย์เราใสจนสามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ จะเกิดอะไรขึ้น

จิตเหนืออารมณ์ได้ จะเกิดการยุติ
เมื่อไม่ยินดีในการเกิด จิตจะกลับไปเป็น หนึ่งหน่วยพลังงานที่ทรงปัญญาเป็นอิสระ

พลังงานไม่ได้สูญหายไปไหน
นิพพาน ไม่ใช่การสูญหาย  อยู่ในสถานะที่อิสระ

ขบวนการเกิดทุกข์
อยาก (สมุทัย) => อยากดึงเข้า (โลภะ) อยากเอาออก (โทสะ)
ทำไมจึงอยาก เพราะ => ยึด รูปรสกลิ่นเสียง
ยึดมั่นตัวเองสูง
แล้วเราทำไมจึง ยึดเพราะอวิชชา (ไม่รู้ความจริง)
โมหะ (ความหลง ไม่เห็น) มิจฉาทิฎฐิ (รู้ผิด เห็นผิด)
ดังนั้น อวิชชา โมหะ มิจฉาทิฏฐิ => โง่

ด้วยเหตุนี้
เมื่อ โง่ =ยึด =อยาก =ทุกข์
จะแก้ทุกข์ได้อย่างไร?

มรรคมีองค์แปด (มรรค ๘ = ทางสายกลาง)
สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึง การปฏิบัติอย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดต้องสุภาพ พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน ไม่คดโกง เอาเปรียบผู้อื่น
สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
มรรค แต่ละคนไม่เหมือนกัน

ศีล สมาธิ ปัญญา (อธิษฐานนิพพานพลัน)
สิกขา (การศึกษา) มีไว้แก้โง่
สมถะ = ทำให้เกิดกำลังใจ (กำลัง) การเอาใจไปจดจ่อกับอะไรจะทำให้เกิดกำลัง (กรรมฐาน มี ๔๐ วิธี)
แต่กำลังอย่างเดียวไม่พอ จะต้องมีการทำงานวิเคราะห์ => วิปัสสนา
โยนิโสมนสิการ = คิดอย่างฉลาด คือ คิดที่ละเรื่อง คิดตั้งแต่ต้นต้นจนจบ
วิปัสสนา = ญาณ (วิชชา) รู้
เมื่อรู้ ก็เลิกโง่ เมื่อเลิกโง่ ก็เลิกยึด เมื่อเลิกยึด ก็เลิกอยาก เมื่อเลิกอยาก ก็เลิกทุกข์ ในที่สุด

อริยสัจ ๔คือ กฎแห่งความเป็นจริง
ไตรลักษณ์คือ กฎของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องมีเวลามีเกี่ยวข้อง
กรรมนิยามกฎแห่งกรรมของตน
ปฏิจจสมุปบาท” กฎการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน


ทุกข์ คือ สภาวะที่ทนได้ยาก
รักสุข เกลียดทุกข์
กลายมาเป็นวิวัฒนาการ
มีความสุขมากขึ้น มีความทุกข์น้อยลง

กฎธรรมชาติ มีกฎเดียว ไม่มีอะไรที่ขัดกัน
ธรรมชาติ ย่อมมีธรรมชาติที่ไม่มีสองกฎ
วิทยาศาสตร์ และศาสนา มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน คือ
ธรรมชาติ สนใจในเรื่องเดียวกัน แต่เป้าหมายต่างกัน วิทยาศาสตร์ สนใจธรรมชาติเพื่อความอยากรู้ ส่วนศาสนา เป้าหมายคือความหลุดพ้น

การบรรเทาทุกข์ การดับทุกข์
ทุกข์ คือ ทนได้อยาก
ทุกข์เบื้องต้น เกิดขึ้นเพราะอะไร ?
หลายสิ่งในโลกนี้ต่างมาจากที่เป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนแตกต่างกันไปเพราะพลังงาน 
เช่น น้ำ น้ำแข็ง ไอน้ำ คือ สิ่งเดียวกัน แต่เปลี่ยนไปเพราะสถานะโดยใช้พลังงาน

จิตเดิมแท้ คือ มีความสว่าง ประภัสสร บริสุทธิ์ คือ โง่บริสุทธิ์

ความรู้ รู้แล้วรู้เลย จะทำเป็นไม่รู้ไม่ได้
ความรู้เบื้องต้นดังเดิม คือ ความกลัวเช่น กลัวแสงสว่างมาก กลัวเสียงดังๆ แล้วก็นำพลังงานส่วนมาห่อหุ้มเพื่อป้องกันความกลัวของเรา ดังนั้น  เมื่อมีพลังงานมาห่อหุ้มขึ้นก็เกิดวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป เป็นสิ่งที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตในระดับต่างๆ เรื่อยๆ มาในที่สุด

มนุษย์
คิด => ทำ
ไม่คิด => ทำ
คิด =ไม่ทำ
ศีล เป็นความปกติ

ความเครียด เป็นสิ่งที่ตั้งค่าของจิตใจในความอยาก ค่าคาดหวังแล้วไม่สมใจ ค่าที่ตั้งไว้นั้น สมจริงหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ ดังนั้น จะต้องตรวจสอบค่าคาดหวังว่าเป็นอย่างไร

ตายไปไหน ไปด้วยกำลังของใจ ภพของใจจะถูกสร้างขึ้น  จิตเป็นสุขจะขึ้น จิตเป็นทุกข์จะลง เตรียมตัวก่อนตาย ดังนั้น ปมในใจ ลองทบทวนปมในใจ จิตจะวิ่งหาข้อมูลเก่าปมเก่า ไล่ถอยหาตัวแก้ปม เอาความจริงไปแก้ หาเหตุหาผลว่าทำไมปมถึงเป็นอย่างนั้น จิตคือ ธาตุรู้ จะต้องเข้าไปแก้ที่จิต หาคำตอบให้ปมดังกล่าว

บุญ คือ ความสุข ความเจริญ ไม่จำเป็นจะต้องไปทำที่วัดก็ได้ มีวิธีการมากมาย ที่จะทำเช่นเริ่มทำที่บ้านก่อน ด้วยการดูแลพ่อแม่ของเรา เลือกวิธีการที่เหมาะสม

ตัวสำคัญที่สุดให้การตัดสินที่จะไปอยู่ภพไหน คือ สภาพของจิต ดังนั้น ฝึกคิดเรื่องดี คือ ก่อนนอนทุกวัน ให้คิดและเขียนความดีของเราในแต่ละวัน ๓ ข้อในแต่ละคืนก่อนนอน ดังนั้น คนเราต้องมั่นคิดถึงความดีและทำความดีในทุกวัน และจัดทำรูปภาพในการทำบุญของแต่ละเดือนติดไว้ในบ้าน ภายใน ๑ ปี จะทำให้มีรูปภาพอย่างน้อย ๑๒ ภาพ

อจต.
ผู้รวบรวม

อ้างอิงเพิ่มเติมของการบรรยายของพระอาจารย์